7 พ.ย. เวลา 03:30 • กีฬา

การบ้าน"อโมริม" เมื่อ “โบอาส” โดนแข้งซีเนียร์ พังอาชีพโค้ช และเปลี่ยนชีวิตเขาตลอดกาล | Main Stand

คงไม่มีอะไรพลิกโผสำหรับกุนซือใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่น่าจะถูกครอบครองโดย รูเบน อโมริม โค้ชหนุ่มชาวโปรตุกีส ที่เขาว่ากันว่าจะเป็นปรากฎการณ์ใหม่เหมือนกับโค้ชโปรตุกีสระดับโลกอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่
แม้จะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เป็นเรื่องน่าห่วงในเวลาเดียวกัน เพราะย้อนอดีตกลับไป เจ้าของฉายา "นิว มูรินโญ่" อย่าง อังเดร วิลลาส โบอาส ที่เข้ามาคุมทีมดังในพรีเมียร์ลีก และโดนไล่ออกอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลแบบที่ว่า "เก่งเล็ก เจอเก่งใหญ่" หรือพูดง่าย ๆ ว่า "นักเตะซีเนียร์รวมหัวกันเลื่อยขาเก้าอี้"
สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเป็นอย่างไร และพอจะมีอะไรเป็นบทเรียนสำหรับ "นิว มูรินโญ่" คนปัจจุบันอย่าง อโมริม ได้บ้าง ? ไปย้อนอดีตกันที่นี่
จงเตรียมใจว่าจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 อังเดร วิลลาส โบอาส คือโค้ชอายุแค่ 33 ปี ซึ่งในยุคนั้นถือว่าน้อยมาก ๆ แตกต่างกับปัจจุบันที่เรื่องอายุถูกมองข้ามกันไปเรียบแล้ว ตราบใดที่มีปรัชญาและลงมือปฎิบัติตามสิ่งที่คิดได้จริง คุณก็มีสิทธิ์ได้งานใหญ่เช่นกัน
แต่ในวัย 33 ปี ของ โบอาส ได้สร้างผลงานสุดยอดด้วยการพา ปอร์โต้ คว้าทริปเบิลแชมป์ ได้แก่ฟุตบอลลีก, ฟุตบอลถ้วยในประเทศ และ ยูโรป้า ลีก เหนือสิ่งอื่นใดที่ได้รับคำชมมาก ๆ คือเรื่องการดึงศักยภาพนักเตะที่มีออกมาได้อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าดาวเตะดัง ๆ ของโลกฟุตบอลในยุคนั้น เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับทีม ปอร์โต้ ที่มี โบอาส เป็นกุนซือก็คงไม่ผิดนัก
เขาเป็นคนที่ทำงานกับทีมซื้อขายจนได้ตัวนักเตะอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ, เจา มูตินโญ่ และ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ในราคาไม่ถึง 20 ล้านยูโร เช่นเดียวกันกับการสร้างช้วงอาชีพที่ดีที่สุดของ ราดาเมล ฟัลเกา, ฮัลค์ และ เฟร็ดดี้ กัวริน ชื่อเหล่านี้ดังผ่านมือ โบอาส มาทั้งนั้น
และอีกเรื่องหนุ่งที่ได้คำชมมากพอ ๆ กันคือเรื่องการปกครองนักเตะด้วยการออกกฎระเบียบที่เข้มข้น ทำให้ดาวดังหลายคนในปอร์โต้ไม่ได้กระด้างกระเดื่อง แถมยังรวมกันเป็น 1 จนประสบความสำเร็จเป็นว่าเล่น
ด้วยวัย 33 ปี และเป็นชาวโปรตุกีส พร้อมด้วยฉายา "นิว มูรินโญ่" ทำให้ โรมัน อบราโมวิช ของเจ้าของสโมสร เชลซี ฉีกสัญญาเป็นจำนวนเงินถึง 13 ล้านปอนด์ เพื่อนำ โบอาส มาคุมทีม ... และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าจะทำให้อาชีพโค้ชที่ยังทำได้อีกยาว ๆ อย่างน้อยก็ 30 ปีของเขาต้องจบลง
โบอาส ให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาทีประสบความสำเร็จกับ ปอร์โต้ เพราะว่าสโมสรมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการทำงานร่วมกันในแทบทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการซื้อเข้า-ขายออก นั่นจึงทำให้เขาได้นักเตะที่ตรงสเป็กต์ทุกอย่าง และทำให้งานในสนามของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น
แต่ที่ เชลซี ทุกอย่างไมได้ขึ้นอยู่กับเขา การทำงานของเขาไม่ได้มีบทบาทถึงขั้นไปชี้ขาดว่าทีมจะต้องซื้อใครเข้ามา หรือขายใครออกไป ... มีคนที่ใหญ่กว่าเขาหลายตำแหน่ง และหน้าที่ของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการลงไปคุมทีมให้ชนะ นี่คือสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยากที่สุดสำหรับเขา ถ้าเลือกได้ โบอาส ยังพูดเองว่า เขาขอกลับไปทำงานแบบมีส่วนร่วมกับโครงสร้างสโมสรดีกว่า
"ที่ เชลซี สิ่งที่ผมเจอคล้ายกับโค้ชคนอื่น ๆ ที่ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ...การทำงานที่นั่นมันประมาณว่าถ้าคุณโชคดีคุณจะคว้าแชมป์ และทิ้งชื่อไว้ให้คนนึกถึงบ้าง แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้น" โบอาส กล่าวกับ เทเลกราฟ
"มันคือความผิดพลาดของผมเอง ผมตกลงว่าเราจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากในช่วงเริ่มต้น แต่ผมไม่คิดว่าปัญหาต่าง ๆ จะเกินการควบคุมกว่าที่อำนาจของผมมีได้"
โบอาส เล่าว่าเขาคุยกับทีมงานที่ "เสี่ยหมี" ตั้งขึ้นมา และร้องขอนักเตะในแดนกลางอย่าง ลูก้า โมดริช หรือ เจา มูตินโญ่ ลูกทีมเก่าของเขา ... เขามองว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด เริ่มจะอายุมาก และไม่ได้เล่นตรงตามแบบที่เขาอยากได้ เขาอยากได้ประเภทจอมทัพควบคุมจังหวะต่าง ๆ ของทีม ขณะที่ แลมพาร์ด เป็นแนวกองกลางตัวรุกที่ยืนหลังกองหน้ามากกว่า
ทางแบ็คซ้าย แอชลี่ย์ ก็เริ่มออด ๆ แอด ๆ แถมยังเล่นเกมบุกได้ไม่ตรงใจ โบอาส ที่อยากแบ็คซ้ายจาก ปอร์โต้ อย่าง อัลวาโร เปเรร่า มากกว่า ไหนจะในตำแหน่งกองหน้าที่ ดร็อกบา ก็เริ่มอายุเยอะ และเขาอยากจะได้ ราดาเมล ฟัลเกา ลูกทีมของเขาอีกคนมาแทนที่ แต่สุดท้ายทุกดีลก็ไม่เกิดขึ้น
โมดริช ย้ายจาก สเปอร์ส ไป เรอัล มาดริด, มูตินโญ่ และ เปเรร่า ที่อยากจะได้ถูกปฎิเสธโดย มารีน่า กรานอฟกาย่า ผอ.สโมสร เช่นเดียวกันกับ ฟัลเกา ที่ไมได้ย้ายเพราะ ดร็อกบา ตัดสินใจจะอยู่ต่อแทนที่จะย้ายไปค้าแข้งในลีกจีนยุคเงินกำลังบูม ...
2
สรุปแล้ว โบอาส ไม่ได้ลูกน้องเก่า หรือนักเตะที่อยากจะใช้จริง ๆ เลย แต่ใครจะสน? นี่คืองาน คุณถูกจ้างมาเพื่อจัดการทีมที่มีให้เอาชนะ และการไม่ได้นักเตะที่คุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของงานใหญ่ ที่คุณเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่การตัดสินใจทั้งหมด
1
น่าเสียดายที ณ ตอนนั้น โบอาส ยังประสบการณ์น้อยเกินไปที่จะรับมือกับเรื่องการทำงานในองค์กรที่มีคนมีอำนาจตัดสินใจมากกว่าเขามากมาย เขาแข็งกร้าว และเลือกที่จะโทษความผิดพลาดนั้นให้คนอื่น มากกว่าที่ตัวเองจะลงมือแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ จัดการงานข้างหน้าของตัวเองเท่านั้น ... มีความรับผิดชอบตรงไหน ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เขาเปิดใจหลังจากที่เลิกทำงานในตำแหน่งเฮ้ดโค้ชว่า
"คุณคงทราบดีอยู่แล้ว การจัดการบริหารที่ผิดพลาดถือเป็นเรื่องปกติใทุก ๆ องค์กร ...จริง ๆ แล้วผมเข้าใจในภายหลังว่ามันเป็นเรืองที่ละเอียดอ่อน ข้างบนนั้นก็มีปัญหาให้จัดการไม่แพ้กับสิ่งที่ผมเจอ ยกตัวอย่างตอนนั้น โรมัน ก็มีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องเรื่องหุ้นส่วนของเขา บอริส เบเรซอฟสกี้ เขาจึงไม่ได้มาอยู่กับทีมตลอดเวลา และจึงตั้ง มารีน่า ขึ้นมาทำงานแทน"
"และผมไม่ได้โทษเธอ เพราะในไม่ช้าเธอก็พิสูจน์ตัวเองว่าเป็น 1 ในซีอีโอคนสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น เป็นผมเองที่ไม่มีความสำเร็จอะไรเทียบกับเธอได้เลย" โบอาส ในวัย 43 ปี หรือ 10 ปีหลังจากรับงานที่เชลซี กลับมามองความผิดพลาดตัวเองอีกครั้งอย่างเข้าใจ
อยากจะมีข้อสรุปที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่าอย่าลืมโฟกัสที่งานของตัวเอง การที่จะบอกว่าโค้ชคนหนึ่งเป็นโค้ชที่ดีหรือแย่ ไม่ใช่การซื้อ-ขาย แต่มันคือการจัดการทรัพยากรที่มี ให้มีผลงานดี ๆ งอกเงยในสนาม ... ถ้าผลงานดี ทุกคำถามจะเงียบหายไป และการยอมรับก็จะเริ่มขึ้นหลังจากนั้น
จงเตรียมใจเสมอว่าคุณจะได้ทุกสิ่งที่เป็นดั่งใจ คุณต้องทำอะไรสักอย่างก่อนเพื่อให้ได้การยอมรับ... และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการรับงานใหญ่ในสโมสรอย่าง เชลซี ... หรือแม้กระทั่งกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ที่สถานการณ์ไม่แตกต่างกันนัก
เข้าหานักเตะให้ถูกวิธี
นอกจาก อังเดร วิลลาส โบอาส จะมีปัญหาเกี่ยวกับผังองค์กรในส่วนบริหารแล้ว เรื่องของการรับมือกับแข้งซีเนียร์ หรือนักเตะอาวุโสนั้น ก็เข้าขั้นวิกฤตพอ ๆ กัน เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าการทะเลาะกับพวกแชร์แมนด้วยซ้ำ
ด้วยวัย 33 ปี ในตอนนั้น เขาอายุเท่ากับ ดิดิเยร์ ดร็อกบา และแก่กว่า จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมเพียงแค่ 1 ปีกับอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ... เราไม่มีทางคาดเดาออกว่าเขาตั้งใจจะจัดการเรื่องการปกครองทีมแบบไหน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการที่เขาพยายามแสดงตัวว่าตัวเองคือ "บอส" มันบ่งบอกว่าคือความผิดพลาดครั้งสำคัญ ที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมห้องแต่งตัวอยู่เลย
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องแผนการเล่นที่ไม่เหมาะสม หรือการไม่ได้ตัวนักเตะที่เขาต้องการ เรื่องนี้มันคือการวางตัวในที่ทำงาน เมื่อคุณเป็นลูกพี่ และมีลูกน้องที่อายุไล่เลี่ยกัน แถมลูกน้องของคุณยังเป็นคนดัง คนที่มีอำนาจในห้องแต่งตัว และมีความเป็นตำนานมากกว่าคุณที่เพิ่งมาใหม่
บางครั้งคุณอาจจะต้องใช้ทั้งพระเดช และพระคุณพร้อม ๆ กัน ใช้ไม้อ่อน และไม้แข็งอย่างถูกที่ถูกเวลา ซึ่งสำหรับ โบอาส สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเขาใช้ไม้แข็งตั้งแต่วินาทีแรก ทำให้ความไม่ยอมรับเกิดขึ้นในทันที และกลายเป็นปัญหาระยะยาวที่เขาแก้ไม่ได้
จอห์น เทอร์รี่ ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้กับ ไซมอน จอร์แดน เจ้าบ้านของ talkSPORT ว่า อังเดร วิลลาส-โบอาส ล้มเหลวในการครองใจนักเตะทันทีตั้งแต่วันแรก เรื่องเกิดขึ้นตอนไปปรีซีซั่นที่ฮ่องกง และโบอาส เลือกให้นักเตะซีเนียร์ของทีม นั่งในชั้นประหยัดบนเครื่องบินทางไกล ซึ่งนั่นทำให้ เทอร์รี่ เป็นตัวตั้งตัวตีของเรื่องนี้ เล่าเรื่องเต็ม ๆ แบบไม่มีตัดตอนว่า
"เมื่อ อังเดร วิลลาส-โบอาส เข้ามา เรามีโปรแกรมปรีซีซันที่ฮ่องกง ถ้าผมจำไม่ผิด ผมคิดว่านั่นเป็นวันแรกในการเป็นผู้จัดการทีมเชลซี ของเขา เราทุกคนขึ้นเครื่องบินและผมก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ที่นั่งชั้นประหยัด บนเที่ยวบินที่ใช้เวลาราว 13 ชั่วโมง"
"ตอนนั้น เชลซี มีดาวรุ่งที่ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่อย่าง จอช แม็คเอคแครน, นาธาเนียล ชาโลบาห์ และนักเตะดาวรุ่งอีกสองสามคน แต่พวกเขาได้ที่นั่งระดับเฟิร์สคลาส"
"คำพูดบางส่วนของ อังเดร วิลลาส-โบอาส ประมาณว่า 'ไม่มีนักเตะคนไหนในทีมที่ใหญ่กว่าผม ทุกคนต้องเท่าเทียมกันทั้งหมด' และผลที่ได้คือ แฟรงค์ แลมพาร์ด ได้นั่งขาไปด้วยที่นั่งเฟิร์สคลาส ส่วนผมจะได้นั่งเฟิร์สคลาส ในตอนขากลับ เขามีความคิดที่ว่าหากคุณเดินทางขาไปด้วยที่นั่งเฟิร์สคลาส ขากลับจะต้องนั่งชั้นประหยัด"
"แต่โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่เขาคิดและปฏิบัติมันไม่เข้าท่าเลย ผมจึงพูดไปว่า 'ไม่ ๆ เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าพวกดาวรุ่งจะกลับไปนั่งในชั้นประหยัด และเอานักเตะชุดใหญ่ที่สร้างสโมสรแห่งนี้ขึ้นมา จนมาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กลับมายังที่นั่งเฟิร์สคลาส"
"ขณะนั้นเรากำลังอยู่บนเครื่องบิน ผู้โดยสารก็เดินขึ้น ๆ ลง ๆ แล้ว อังเดร วิลลาส-โบอาส ก็เดินเข้ามาถามผมว่า 'มีปัญหาอะไรหรือ?' ก่อนที่ผมจะตอบไปว่า 'เราจะไม่เดินทางไปไหนทั้งนั้นจนกว่านักเตะรุ่นเยาว์พวกนี้จะย้ายที่นั่ง"
"และด้วยความยุติธรรมพวกนักเตะอายุน้อยจึงก็พูดว่า 'ฟังนะ เจที ผมว่านี่มันอึดอัดสำหรับผมจริง ๆ และจะกลับไปยังที่นั่งชั้นประหยัด' ผมเลยบอกน้อง ๆ ไปว่า 'ไม่ มันไม่ใช่การตัดสินใจของนายหรอก มันเป็นหน้าที่ของเขา (อังเดร วิลลาส-โบอาส)' และนี่เป็นโมเม้นต์แรก ๆ ของเขาต่อหน้านักเตะเชลซี ทุกคน"
"สุดท้ายเครื่องบินก็ออกตัว นักเตะชุดใหญ่ทุกคนได้นั่งเฟิร์สคลาส ผู้เล่นดาวรุ่งนั่งชั้นประหยัด นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น พวกดาวรุ่งมีความมุ่งมั่นเพื่อจะมาถึงจุดที่เราเป็น"
"อังเดร วิลลาส-โบอาส พยายามจะแสดงแนวทางตั้งแต่วันแรก แต่กลับล้มเหลวในทันที เพราะผมสาบานเลยว่าเครื่องบินจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และถ้ามันยังเป็นแบบนั้นอยู่ เครื่องบินลำดังกล่าวก็จะไม่มีผม, แฟรงค์ แลมพาร์ด รวมถึง ดิดิเยร์ ดร็อกบา"
เอาล่ะ ถ้ามองอีกด้านเรื่องนี้มันฟังดูเป็นอะไรที่นักเตะตั้งใจงัดกับเขา แต่การเป็นโค้ชที่ดีและได้ใจนักเตะระดับตำนานสโมสรที่ยังค้าแข้งอยู่ และยังต้องเป็นลูกน้องของคุณ การเข้าหาพวกเขา ควรจะมีศาสตร์และศิลป์ที่ดีกว่านี้สักหน่อย โค้ชที่ดีต้องรู้จักบริหารจัดการคน และถ้าคุณซื้อใจนักเตะสำเร็จ คุณคิดว่า จอห์น เทอร์รี่, ดร็อกบา, แอชลีย์ โคล หรือ แลมพาร์ด จะไม่มีประโยชน์กับทีมอย่างนั้นเหรอ ?
ตัวอย่างมีให้เห็น และไม่ต้องรอนานเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ โบอาส โดนไล่ออกในเดือน มีนาคม หรือ 5 เดือนหลังจากเริ่มทำงาน โค้ชคนที่มารับงานเขาคือ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ โค้ชที่แทบไม่มีดีกรีอะไรเทียบเขาได้เลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ ดิ มัตเตโอ เหนือกว่า โบอาส คือการจัดการรับมือกับพวกซีเนียร์ในทีมอย่างเหมาะสมภายในระยะเวลาการทำงานของเขาเพียงแค่ 2 เดือน จนทุกคนเล่นแบบถวายหัว
ที่เหลือคุณก็รู้ดี เชลซี จบฤดูกาลอันยุ่งเหยิงด้วยการเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ...โดยกัปตันทีมคือ เทอร์รี่, นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดคือ แลมพาร์ด และคนที่ยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีกคือ ดร็อกบา นักเตะซีเนียร์ที่หันหลังให้กับ โบอาส ทั้งสิ้น
ดร็อกบา ให้สัมภาษณ์หลังคว้าแชมป์ว่า "โค้ชของเรา วิลลาส-โบอาส ถูกสโมสรไล่ออก และพวกเราผู้เล่นก็ได้ประชุมกันเพื่อยอมรับถึงความรับผิดชอบที่ผิดชอบร่วมกันในยุคใหม่(ยุคการเข้ามาของ มัตเตโอ) ทุกคนตัดสินใจที่จะละทิ้งอัตตาของตัวเองและต่อสู้เพื่อกันและกันด้วยเป้าหมายเดียวกัน"
ขณะที่ จอห์น โอบี มิเกล อีกหนึ่งผู้เล่นของทีมชุดนั้นออกมาเฉลยแบบไม่ต้องคิดต่อว่า “โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เข้ามาเล่นเกมการเมืองนี้แทนที่ โบอาส และเขาเลือกจะเล่นในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาและเอ็ดดี้ นิวตัน(โค้ช)โอบกอดผู้เล่นและพาพวกเขากลับเข้าฝั่ง...ปีนั้นพวกเราคือแชมป์ยุโรป"
ทุกทีมมีนักเตะซีเนียร์ นักเตะเหล่านี้มีบทบาทอย่างมากในห้องแต่งตัว ถ้าคุณได้ใจเขาพวกเขาจะช่วยงานคุณได้อย่างมากทั้งในสนามจริง สนามซ้อม หรือแม้แต่เรื่องการบริหารจัดการคนที่น่าปวดหัว
1
แต่ถ้าคุณทำให้พวกเขาหันหลังให้กับคุณแล้วล่ะก็ตอนจบต้องมีใครสักคนที่ต้องเป็นคนแพ้ ถ้าไม่ใช่นักเตะซีเนียร์เหล่านั้น แน่นอนว่ามันต้องเป็นคนเฮ้ดโค้ชอย่างคุณแบบเลี่ยงไม่ได้ ... มันขึ้นอยู่กับคุณว่าอยากจะให้มันเป็นแบบไหน ไม่มีผิด ไม่มีถูก โค้ชทุกคนมีแนวคิดที่แตกต่างกันออก แต่จงอย่าลืมว่าเดิมพันนี้มันสูงถึงขั้นคุณอาจจะต้องตำแหน่งหน้าที่ได้เลย
อย่าดื้อรั้นเรื่องแท็คติก
คุณไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีการเล่นของ โบอาส หรือเรื่องเชิงแท็คติกของเขาเป็นสิ่งที่แย่หรือห่วยแตก เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คว้าแชมป์มากมายกับ ปอร์โต้ ได้หรอก
แต่อย่าลืมว่า เชลซี ไม่ใช่ ปอร์โต้ และพรีเมียร์ลีกก็ไม่ใช่ โปรตุกีส ลีก้า ซาเกรส ... คุณสามารถยึดติดกับแนวทางการเล่นหรือแท็คติกในแบบของคุณได้ในระยะยาว แต่การทำทีมฟุตบอลนั้น ความเข้าใจระหว่างโค้ช นักเตะ และ แท็คติก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ในการที่จะได้ผลงานในสนามที่ดี ดังนั้นอย่าลืมที่จะยืดหยุ่นสิ่งที่คุณมีในหัวสมอง ให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่คุณมีอยู่ในมือด้วย
ในยุคของ โบอาส สิ่งที่เขาพยายามทำคือการปูพื้นฐานสู่ระยะยาว แต่อย่างที่บอกว่าวิธีการของเขาแข็งกระด้างเกินไป และมันกลายเป็นความล้มเหลว เพราะเขาเลือกจะมองอนาคต โดยให้่ความสำคัญกับปัจจุบันน้อยเกินไป
โบอาส ยึดติดกับระบบ 4-3-3 พยายามสร้างเกมรุกให้ร้อนแรงเหมือนตอนที่เขามี ฮัลค์ ฟัลเกา และ ฮาเมส .. เรื่องรายละเอียดนั้นค่อนข้างซับซ้อน และยากเกินกว่าที่คนไม่ได้เรียนโค้ชระดับโปรไลเซ่นของเราจะเข้าใจ แต่เอาเป็นว่าสุดท้ายแล้วกับนักเตะที่ เชลซี มีมันไม่เวิร์กอย่างแรง และสิ่งที่ โบอาส คือการปฎิเสธที่จะยืดหยึ่นและเปลี่ยนแปลงด้วย
การบริหารจัดการไม่ได้หมายความถึงการปรับปรุงรูปแบบการเล่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงการสามารถจัดให้ผู้เล่นอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเพื่อเอาชนะเกมให้ได้ วิลลาส-โบอาสไม่เคยแสดงคุณสมบัตินี้ออกมาเลยสักครั้ง เขารู้จักนักเตะในทีมน้อยมาก และเขาก็เมินเฉยเรื่องปฎิสัมพันธ์กับนักเตะในทีม จนทำให้นักเตะไม่สามารถเล่นในแบบที่เขาอยากให้เป็นได้
เรื่องนี้ไม่ได้โดนแฉทีหลังโดยนักเตะ แต่เป็นอดีตพนักงานในช่อง เชลซี ทีวี ที่ต้องคอยตามถ่ายและบันทึกภาพนิ่งและวีดีโอเพื่อมาใช้ในงานมีเดียต่าง ๆ ของสโมสร ชายคนนั้นชื่อ เจสัน แคนดี้ ที่ออกมาบอกว่า โบอาส ล้มเหลวเรื่องแท็คติกตั้งแต่ในสนามซ้อมแล้วด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เชลซี ยุคของเขาจึงแย่นัก
"ผมทำงานให้กับ เชลซี ทีวี และผมต้องเฝ้าสนามซ้อมเพื่อบันทึกภาพต่าง ๆ สิ่งที่ผมพบคือ โบอาส และทีมงานของเขาเหมือนกับกลุ่มคนประหลาด ที่เคยไว้ใจใครเลย เขาหมางเมินนักเตะหลายคน แม้แต่ผมที่ต้องไปถ่ายสัมภาษณ์เขาด้วย ซึ่งผมไม่เข้าใจ และไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาทำแบบนั้น"
"การใส่ใจในสนามซ้อมของเขาค่อนข้างมีปัญหา ผมทราบเรื่องนี้ทีหลังว่าเขาไม่ได้พยายามปรับให้นักเตะเล่นในแบบที่เขาอยากเล่น แต่เขาเลือกที่จะเป็นศัตรูและขาดความประณีประณอมอย่างเห้นได้ชัด .. เขาบอกว่า ดร็อกบา ว่าเวลาที่ เชลซี กำลังจะหมดลง เช่นเดียนวกับที่เขาพยายามจะฉีกวิธีการเล่นเดิม ๆ ทิ้งทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องการเล่นร่วมกันของ แลมพารืด และ ดร็อกบา เขาพยายามจะฉีกสิ่งนั้นออกจากกัน" แคนดี้ กล่าว
1
เรื่องทั้งหมดที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นจนจบ แสดงให้เห็นว่า 3 สิ่งที่คุณควรค่อย ๆ ปรับตัวและทำความเข้าใจ มากกว่าการหักด้ามพร้าด้วยเข่าคือ "ผู้บริหาร, นักเตะซีเนียร์ และแท็คติกกลยุทธ์" ถ้าคุณปกรองทั้ง 3 อย่างนี้ได้อย่างสมดุล งานของคุณก็จะง่ายขึ้นได้ แต่ถ้าคุณจะเล่นเกมนี้ในแบบที่ตัวเองเป็นพี่บิ๊กและเบ่งกล้ามใส่ทุกคน เชื่อได้เลยว่าต่อให้คุณจะเก่งมาจากไหน จุดจบของคุณก็อาจจะไม่ต่างกับที่ อังเดร วิลลาส โบอาส ได้พบเจอนัก
หลังจากจบงานที่ เชลซี ก็เรียกว่า โบอาส แทบจะหมดความเป็นกุนซือดาวรุ่งแห่งยุคไปเลย เขาคุมทีมอีกมากมาย ค่อย ๆ ลดเกรดลง และล้มเหลวเป็นส่วนมาก สุดท้ายเขาต้องเลิกเป็นโค้ชด้วยอายุแค่ 40 ต้น ๆ หันมาเป็นนักแข่งรถวิบาก และตอนนี้ก็ขึ้นไปนั่งตำแหน่งผู้บริหารของ ปอร์โต้ แล้ว ซึ่งไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเมื่อเขาสวมหัวโขนของผู้บริหารแล้ว เขาจะมองเห็นปัญหาของตัวเองสมัยยังเป็นโค้ชได้อย่างง่ายดาย...
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
โฆษณา