Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
3 ก.พ. เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔻ตลาดผันผวน..ทำอย่างไรดีสำหรับคนทั่วไป 🤔
เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักบอกว่า “ถือยาวไว้เถอะ”?
จริงๆแล้วสิ่งที่นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนมาลงทุนก็คือ โลกของการลงทุนกับความผันผวนมันเป็นของคู่กันค่ะ และการพยายามซื้อถูก-ขายแพง หรือที่เรียกว่าการจับจังหวะตลาด ดูเหมือนน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดี แต่ในความจริงแล้วมันเต็มไปด้วยความเสี่ยง และอาจทำให้นักลงทุนไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนก็ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
ดังนั้นแล้ว การลงทุนระยะยาว หรือ Stay Invest ถึงเป็นวิธีที่ง่ายและเหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอนนั่นเองค่ะ
👉🏻 ตลาดที่คาดเดาไม่ได้
ตลาดหุ้นในระยะสั้นๆมักจะสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้คนเกี่ยวกับเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทั่วโลก ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ หรือสงคราม ตลาดมักจะผันผวนอย่างรุนแรง และเวลาที่ตลาดร่วงลงมา ก็มักจะทำให้หลายคนตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
โดยถ้าในยกตัวอย่างที่ in trend ในตอนนี้ก็คือ เรื่องของ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในปี 2018-2019 ซึ่งในตอนนั้นทำให้ดัชนี S&P 500 ตกลงกว่า 20% และกว่าที่จะฟื้นตัวกลับมาต้องใช้เวลาถึง 14 เดือน (ส่วนตลาดหุ้นจีนไม่บอกดีกว่าเพราะยับเยินมาก😅)
ซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีใครเดาใจทรัมป์ได้ว่าจะมาไม้ไหน และจะทำอะไรเมื่อไหร่ เหตุการณ์นั้นได้แสดงให้เราเห็นว่าจริงๆแล้วการคาดเดาทิศทางตลาดเป็นเรื่องยากมาก และยิ่งพยายามจับจังหวะ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงตัดสินใจผิดนั่นเองค่ะ
‼️ ต้นทุนแอบแฝงของการจับจังหวะตลาด
จริงๆเรื่องนี้เคยเล่าไปแล้วว่า การจับจังหวะตลาดไม่เพียงแค่เสี่ยง แต่ยังมีต้นทุนแอบแฝงที่หลายคนไม่รู้ค่ะ
ให้เราลองนึกภาพว่า ถ้าอยู่ดีๆคุณขายหุ้นเพราะกลัวว่าตลาดจะตก แต่จู่ๆ ตลาดกลับพุ่งขึ้นกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะแค่กังวลกันไปเอง คุณก็จะพลาดโอกาสทำกำไร และเผลอๆตอนกลับไปซื้อใหม่ ก็อาจต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าเดิมซะอีก >> เอาแง่ปีที่แล้วปีเดียว เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง 😅
โดยการศึกษาของ J.P. Morgan Asset Management พบว่า ถ้านักลงทุนพลาด 10 วันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรงที่สุดในช่วง 20 ปี (2004-2024) ผลตอบแทนจะลดลงเหลือแค่ 6.2% ต่อปี ในขณะที่คนที่ถือยาวตลอดแบบไม่ทำอะไรเลย จะได้ผลตอบแทนถึง 10.5% ต่อปี!
นอกจากนี้ การซื้อขายบ่อยๆ ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมและภาษีมากขึ้น ซึ่งจะลดกำไรของนักลงทุนลงอีก ส่วนคนที่ยิ้มคือนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เพราะได้เงินหลายรอบ และสิ่งที่สำคัญ ความกลัวก็ทำให้หลายคนขายทิ้งตอนตลาดตก แต่สุดท้ายไม่กล้าซื้อกลับเมื่อราคาฟื้น ทำให้พลาดโอกาสดีๆ ไปอีกเช่นกันค่ะ
ดังนั้นแล้ว ถ้าใครไม่มีเวลาติดตามข่าวเศรษฐกิจทุกวัน หรือไม่ถนัดวิเคราะห์ตลาด หรือเล่นขา short และ hedging ไม่เป็น การลงทุนระยะยาว หรือ Stay Invest คือวิธีที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเดา และไม่ต้องกังวลกับความผันผวนในระยะสั้น
อีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยได้คือ Dollar-Cost Averaging (DCA) หรือการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันเป็นประจำ ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง โดยวิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงและทำให้คุณได้ต้นทุนเฉลี่ยที่คุ้มค่า แต่ต้องเลือกตลาดที่มีอนาคตนะคะ (อย่าไปเลือก SET ล่ะ)
การลงทุนระยะยาวเหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งเร็วแค่ช่วงสั้นๆ ดังนั้นความอดทนและวินัยเป็นกุญแจสำคัญที่สุดค่ะ เพราะมันช่วยให้เราไม่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะอารมณ์ และทำให้เราโฟกัสไปที่เป้าหมายใหญ่ในอนาคตแทนค่ะ
❤️🩹 วิธีทำใจในช่วงที่ตลาดผันผวน
1️⃣ โฟกัสไปที่เป้าหมายระยะยาว
ย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อเกษียณ หรือเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต การผันผวนในระยะสั้นไม่ควรมีผลต่อเป้าหมายเหล่านั้นค่ะ
2️⃣ ไม่ต้องดูพอร์ตทุกวี่วัน
การดูพอร์ตบ่อยๆ จะยิ่งทำให้เรายิ่งวิตกกังวล ลองกำหนดวันเช็คพอร์ตเป็นระยะๆ เช่น เดือนละครั้ง แทนที่จะดูทุกวันค่ะ
3️⃣ ยึดติดกับแผนการลงทุน
ถ้าเรามีแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น DCA หรือการลงทุนตามเป้าหมายรายปี ให้ทำตามแผนนั้นอย่างสม่ำเสมอ แม้ตลาดจะผันผวนค่ะ .
ไม่ใช่ DCA เฉพาะตอนตลาดขาขึ้นนะคะ ช่วงที่ตลาดลงก็ยังต้องซื้อค่ะ
4️⃣ เตือนตัวเองว่า "ตลาดตก = โอกาสซื้อของถูก"
แทนที่จะกลัว ให้เราลองมองอีกด้านว่า การปรับตัวลงของตลาดเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์คุณภาพในราคาที่ถูกลงค่ะ
5️⃣ หาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
หลีกเลี่ยงข่าวลือหรือการวิเคราะห์ที่สร้างความตื่นตระหนก ใช้ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อตัดสินใจอย่างมีเหตุผลค่ะ ไม่เอาประเภท breaking ทั้งวี่ทั้งวัน หรือฟองสบู่แตกแล้วนี่ไม่ควรนะคะ
6️⃣ พูดคุยกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์
บางครั้งการปรึกษาคนที่ผ่านวิกฤตตลาดมาแล้ว จะช่วยให้คุณมองเห็นว่าความผันผวนนั้นเป็นเพียงช่วงหนึ่งในวงจรตลาดเท่านั้นค่ะ
สุดท้ายแล้ว ตลาดจะกลับมาสนใจปัจจัยพื้นฐาน แม้ในระยะสั้น ราคาหุ้นจะขึ้นลงตามข่าวลือหรืออารมณ์ของตลาด แต่ในระยะยาวๆ ราคาหุ้นจะสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น กำไร การเติบโต และความแข็งแกร่งในการแข่งขันค่ะ
ตัวอย่างเช่น Apple หรือ Berkshire Hathaway ที่ราคาหุ้นเติบโตได้อย่างมั่นคง เพราะบริษัทเหล่านี้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบริหารจัดการได้ดี และประวัติศาสตร์ก็ยืนยันแล้วว่าตลาดหุ้นฟื้นตัวจากวิกฤตต่างๆ ได้เสมอ ขณะที่คนที่ถือยาวจะได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวเหล่านี้เต็มๆค่ะ
👉🏻 จำไว้ว่าตลาดหุ้นวิ่งตามผลประกอบการเสมอค่ะ
หุ้น
การเงิน
การลงทุน
บันทึก
10
5
10
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย