4 ก.พ. เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ถ้า Fed ปรับดอกเบี้ย! โอกาสทองหรือโอกาสถอย?

อธิบายผลกระทบจาก Fed ธุรกิจไหนได้-เสีย นักลงทุนต้องวางแผนอย่างไร
เมื่อเช้านี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve: Fed) หรือ เฟด มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25% – 4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ตามแถลงการณ์ของ Fed ระบุว่า อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง
ด้านเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธาน Fed กล่าวว่า
“เราจะตัดสินใจอย่างระมัดระวัง และต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ย”
🗂️ส่วนในปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเฟดจะ ปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในช่วงไตรมาส 2-4 สอดคล้องกับการคาดการณ์ใน Dot Plot จากการประชุมเดือน ธ.ค. 2024 เนื่องจากดอกเบี้ยที่ยังคงสูงและความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ไม่ว่าการตัดสินใจของ Fed จะ “ลด” หรือ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ย ล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น ค่าเงินบาท และต้นทุนทางการเงินของไทยแตกต่างกันไป มาดูกันว่าแต่ละสถานการณ์จะส่งผลอย่างไร และนักลงทุนควรรับมือแบบไหน
[ 🧐Fed คืออะไร? ทำไมทั่วโลกต้องจับตา? ]
Fed หรือ Federal Reserve คือ ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ทำหน้าที่คล้ายกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่อง นโยบายการเงิน ควบคุมปริมาณเงินในระบบ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
แต่สิ่งที่ทำให้ Fed สำคัญกว่าธนาคารกลางทั่วไป ก็คือ สหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกและค่าเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ทั่วโลก
ดังนั้น ทุกครั้งที่ Fed ปรับขึ้น-ลดอัตราดอกเบี้ย จึงไม่ใช่แค่กระทบเศรษฐกิจอเมริกา แต่ยังส่งผล ต่อต้นทุนการกู้ยืม ดอกเบี้ย ค่าเงิน และการลงทุนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย!
[ 🏹 กลไกการขึ้นหรือลงดอกเบี้ยของ Fed ]
1. ถ้ามีการปรับ “ขึ้น” ดอกเบี้ย
แปลว่า Fed อาจต้องการควบคุมเงินเฟ้อและขจัดความคาดหวังของตลาดหุ้น
- ทำให้การใช้จ่ายลดลง เพราะมีดอกเบี้ยสูงขึ้น
- ทำให้การลงทุนลดลง ดอกเบี้ยสูงทำให้ธุรกิจกล้ากู้ ชะลอการลงทุน มีการจ้างงานลดลง
- ทำให้อัตราการออมเพิ่ม
- ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น
(ดูเรื่องเงินแข็งค่า - อ่อนค่าได้ที่: https://www.facebook.com/share/p/1BPEj1XyDB/ )
2. ถ้ามีการปรับ “ลด” ดอกเบี้ย
แปลว่า Fed อาจต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาวะเงินฝืด เพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ
โดยรูปแบบการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ออกเป็นหลัก ๆ ได้ 2 รูปแบบ คือ เพื่อปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ (Mid-Cycle Adjustment) และ เพื่อรับมือหรือหลีกเลี่ยงกับภาวะถดถอย (Recessionary Cut)
- ทำให้การใช้เงินเพิ่มขึ้น ลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยของผู้กู้ ทำให้มีเงินใช้จ่ายมากขึ้น
- ทำให้การลงทุนเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยต่ำลงธุรกิจกล้ากู้ มีการจ้างงานเพิ่ม
- ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก
[ 📈 ความสัมพันธ์ระหว่าง Fed กับธุรกิจในไทย ]
เพราะ อัตราดอกเบี้ย = ผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น เมื่อ Fed ประกาศจะเพิ่มหรือลดดอกเบี้ย นักลงทุนจึงต้องมองหาสัญญาณ
🎯1. เงินทุนไหลเข้า-ออก
Fed ขึ้นดอกเบี้ย ⬆️
- นักลงทุนโยกเงินกลับสหรัฐฯ เพราะผลตอบแทนสูงขึ้น
- ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย กดดันตลาดหุ้นและค่าเงินบาท
Fed ลดดอกเบี้ย ⬇️
- มีโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่
- เพราะนักลงทุนต้องการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
🎯2. ค่าเงินบาท
Fed ขึ้นดอกเบี้ย ⬆️
- จะทำให้ดอลลาร์แข็งขึ้น เงินบาทอ่อนลง
- ดีสำหรับกลุ่มส่งออก
- ไม่ดีสำหรับบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศ
Fed ลดดอกเบี้ย ⬇️
- จะทำให้ดอลลาร์อ่อนลง เงินบาทแข็งขึ้น
- กระทบธุรกิจส่งออก
- ช่วยลดภาระหนี้ต่างประเทศของบริษัทที่กู้เงินต่างประเทศ
🎯3. ต้นทุนการกู้ยืม
เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ⬆️
- ก็มีโอกาสที่ดอกเบี้ยในไทยจะปรับขึ้นตาม ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจและประชาชนเพิ่มขึ้น
ถ้า Fed ลดดอกเบี้ย ⬇️
- ต้นทุนการเงินลดลง กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค
[ 🧳 ธุรกิจกลุ่มไหนได้รับประโยชน์ในช่วง Fed ลดและเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ]
⬇️ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ย ธุรกิจเหล่าที่มีโอกาสจะได้รับประโยชน์
- อสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพราะต้นทุนกู้ยืมถูกกว่า ทำให้บริษัทขยายโครงการหรือลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มได้ง่ายขึ้น และขายอสังหาฯได้ง่ายขึ้นเพราะผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อบ้าน/คอนโดมิเนียมได้ดีขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
- สินค้าฟุ่มเฟือย เพราะดอกเบี้ยผ่อนชำระต่ำ จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าราคาสูง เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าได้มากขึ้น
- ธุรกิจเทคโนโลยี เพราะมักเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนเงินทุน ทำให้บริษัทที่มุ่งเน้นการเติบโตสามารถลงทุนในการวิจัย พัฒนา และขยายกิจการได้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสเติบโตทั้งรายได้และกำไรในอนาคต
- การเงิน เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงคนก็จะมีการขอกู้ยืมเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มกำไรให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน
- สาธารณูปโภค เนื่องจากบริการสาธารณูปโภคเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
⬆️ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธุรกิจต่อไปนี้มีโอกาสได้รับประโยชน์
- สถาบันการเงิน (โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์) เพราะธนาคารมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย (Net Interest Margin) เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะหากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับตัวเร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารที่มีฐานเงินฝากใหญ่และให้กู้ยืมในอัตราลอยตัว (เช่น เงินกู้บ้านแบบปรับตามตลาด) จะได้ประโยชน์ชัดเจน
- บริษัทประกันภัย (โดยเฉพาะประกันชีวิต) เพราะบริษัทประกันลงทุนในหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนคงที่ (เช่น พันธบัตร) เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น การลงทุนใหม่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มรายได้จากพอร์ตการลงทุน
- บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Apple, Microsoft) ที่มีเงินสดจำนวนมากจะได้รายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราฝากเงินหรือการลงทุนในตราสารระยะสั้นปรับสูงขึ้น
- บริษัทบัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตมักผันผวนตามอัตราพื้นฐานของ Fed หากบริษัทสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยได้ทันทีโดยไม่เกิดการผิดชำระหนี้เพิ่มขึ้น (ในภาวะเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง) จะได้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
- บริษัทจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) เพราะกองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับอัตราดอกเบี้ยจะดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น ทำให้บริษัทมีค่าธรรมเนียมจัดการเพิ่มขึ้น
[ การลงทุนให้รอดในทุกสถานการณ์ 🔍 ]
✅ กระจายพอร์ต – ไม่ทุ่มหนักในอุตสาหกรรมเดียว เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
✅ เลือกหุ้นพื้นฐานดี – เน้นบริษัทที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่ง และสามารถรักษากำไรได้แม้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
✅ จับตานโยบาย ธปท. – ดูว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) จะปรับดอกเบี้ยตาม Fed หรือไม่
✅ ถือสินทรัพย์ปลอดภัย – เช่น พันธบัตร หุ้นปันผลสูง หรือทองคำในช่วงตลาดผันผวน
#aomMONEY #Fedคงดอกเบี้ย #Fedลดดอกเบี้ย #Fedขึ้นดอกเบี้ย #ดอกเบี้ยนโยบาย
โฆษณา