Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
9 พ.ค. เวลา 13:32 • ไลฟ์สไตล์
พลิกโผ Disruption “ทำไม ChatGPT ถึงอาจเขย่าวงการดูดวง มากกว่าโปรแกรมเมอร์?” 🔮💻✨
เมื่อ Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Claude เข้ามาอยู่ในมือของทุกคน เราเริ่มเห็นบทบาทของมันในหลายแวดวง ตั้งแต่การช่วยสรุปบทเรียน ไปจนถึงการเขียนโค้ดให้โปรแกรมเมอร์ระดับมืออาชีพ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายคน โดยเฉพาะในวงการเทคโนโลยี จึงรู้สึก "หนาวๆ ร้อนๆ" กับคลื่นลูกใหม่นี้
แต่ในขณะที่หลายคนพุ่งเป้าไปยังอาชีพที่ใช้ตรรกะสูง ความจริงแล้ว... มีอีกหนึ่งวงการที่กำลังถูก AI คืบคลานเข้ามาแบบเงียบๆ และอาจได้รับผลกระทบไม่แพ้ใคร — วงการพยากรณ์ดวงชะตา หรือที่เรียกกันติดปากว่า "วงการหมอดู"
====
🔮 “วงการหมอดู“ เมื่องานพยากรณ์คือเรื่องของข้อมูลและรูปแบบ
ในมุมหนึ่งศาสตร์แห่งการดูดวง ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ 🪐 ไพ่ยิปซี 🃏 เลขศาสตร์ 🔢 หรือแม้แต่ลายมือ ✋ ล้วนเป็นระบบที่อิงกับข้อมูลและรูปแบบที่ถ่ายทอดกันมายาวนาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสัญลักษณ์ การจับคู่รูปแบบกับความหมาย และการอ้างอิงตำราเก่าแก่ เป็นหัวใจของศาสตร์เหล่านี้ — และสิ่งเหล่านี้เองคือ "สิ่งที่ AI ทำได้ดีเป็นพิเศษ"
* AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาอย่าง ChatGPT สามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์การพยากรณ์จากตำรานับร้อยเล่ม วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างวันเกิด เวลาตกฟาก ราศี ดาวจร หรือไพ่แต่ละใบได้อย่างรวดเร็ว และอาจเชื่อมโยงข้อมูลข้ามศาสตร์อย่างลื่นไหล อีกทั้งยังทำงานได้ 24 ชั่วโมง 🕒 ไม่เหนื่อย ไม่อารมณ์เสีย และที่สำคัญคือ ไม่ลำเอียงจากประสบการณ์ส่วนตัว
* มากไปกว่านั้น AI ยังสามารถให้คำทำนายแบบ Personalization ได้ตามโปรไฟล์ของผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจง และพร้อมให้คำแนะนำแบบ On-Demand ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยไม่ต้องจองคิว ❌ ไม่ต้องเดินทาง 🛺
* ลองจินตนาการว่า แค่ใส่วันเดือนปีเกิดเข้าไป AI ก็สามารถวิเคราะห์ทั้งดวงชะตา ประวัติชีวิต จุดเปลี่ยนสำคัญ และเสนอแนะแนวทางในชีวิตได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมกราฟประกอบ 📊 หรือเทียบเคียงกับสถิติเก่าๆ ได้ด้วยซ้ำ
====
📱 “เสน่ห์ของหมอดู AI” เมื่อคนรุ่นใหม่เปิดรับความแม่นยำมากกว่า "ความขลัง"
* ยุคนี้ คนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการแค่คำปลอบใจแบบคลุมเครืออีกต่อไป พวกเขาต้องการความหมายที่มาจากตรรกะ 🧠 ความน่าเชื่อถือที่อ้างอิงแหล่งได้ 📚 และคำอธิบายที่ไม่อุปาทาน 🤖
* AI ตอบโจทย์นี้ได้ เพราะมันสามารถให้คำทำนายที่เชื่อมโยงกับข้อมูลจริงได้ เช่น ดวงดาวโคจรจริงในวันที่เกิด 🌌 การคำนวณสมการตำแหน่งดาว ⚙️ หรือการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชีวิตกับรูปแบบในอดีต ด้วยแนวทางที่แม่นยำระดับสถิติ 📈
* ลองคิดดูสิครับ ถ้าแพลตฟอร์ม AI สามารถบอกว่า "ในช่วงอายุ 32-35 ของผู้ชายที่เกิดในวันพุธกลางคืน และมีจันทร์อยู่เรือนพันธุ จะมีโอกาสย้ายถิ่นฐาน 87% จากสถิติผู้ใช้ที่คล้ายกัน 10,000 คน" นี่ไม่ใช่การดูดวงแบบเดิม แต่มันคือการ "สร้างระบบความน่าจะเป็นแบบรู้เท่าทันชีวิต"
====
💻 แล้วโปรแกรมเมอร์ล่ะ? ทำไมถึงตั้งรับได้ดีกว่า?
* ในขณะที่วงการดูดวงเปิดช่องให้ AI เข้ามาแทนที่ได้มาก วงการเขียนโปรแกรมกลับอยู่ในอีกฟากหนึ่ง เพราะงานของโปรแกรมเมอร์ไม่ได้มีแค่การพิมพ์โค้ดตามที่ใครสั่ง แต่มันคือการเข้าใจปัญหาแบบเจาะลึก วางแผนเชิงระบบ และหาทางแก้ไขแบบที่มีทั้งมุมมองเชิงเทคนิคและเชิงธุรกิจผสมกันอยู่ ซึ่ง AI แม้จะฉลาดขึ้นทุกวัน ก็ยังเข้าไม่ถึงระดับความเข้าใจนี้ได้ทั้งหมด
* AI อาจจะช่วยเร่งขั้นตอนบางอย่างได้ เช่น การสร้างฟังก์ชันพื้นฐาน 🔧 การแนะนำ Syntax ที่ถูกต้อง ✅ หรือแม้แต่การอธิบายโค้ดเก่าที่อ่านยาก 📘 แต่สิ่งที่มันยังทำไม่ได้ — และอาจทำไม่ได้อีกนาน — คือการเข้าใจ "ภาพรวม" ของระบบ เช่น การออกแบบ Software Architecture ที่ซับซ้อน 💡 การวางระบบฐานข้อมูลให้รองรับการเติบโตของผู้ใช้หลายล้านคน 🧠 หรือการเขียนโค้ดที่สื่อสารกับ API ต่างประเทศหลายระบบพร้อมกัน 🚧
* ยิ่งไปกว่านั้น โปรแกรมเมอร์ไม่ได้ทำงานแบบแยกส่วน แต่ต้องมีบทบาทเป็น "ผู้ประสานความเข้าใจ" ระหว่างหลายฝ่าย เช่น ต้องพูดคุยกับทีม UX/UI เพื่อออกแบบระบบที่ใช้งานง่าย 🧑🎨 ปรับฟีเจอร์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริหารและผู้ใช้ 🎯 และต้องเข้าใจข้อจำกัดทางธุรกิจ เช่น งบประมาณ เวลา และเทคโนโลยีที่มีอยู่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการตัดสินใจแบบมีข้อมูล การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ และ Soft Skill ที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้
พูดง่ายๆ ก็คือ AI เขียนโค้ดได้... แต่ยังไม่ได้ "คิดเป็นโปรแกรมเมอร์" ยังไม่สามารถอ่านระหว่างบรรทัดของโจทย์ที่คลุมเครือ สื่อสารกับมนุษย์หลายฝ่าย และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ภายใต้ข้อจำกัดได้เหมือนมนุษย์ — และนี่แหละครับคือสิ่งที่ยังคงทำให้ "นักพัฒนาที่คิดเป็น" มีคุณค่าที่ไม่มี AI ตัวไหนแทนได้
====
🧠 ถอดรหัสเปรียบเทียบ “จุดแข็ง-จุดอ่อนระหว่างสองวงการ”
* เมื่อมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า AI มีแนวโน้มเข้ามาแทนที่งานที่มีโครงสร้างคงที่และอิงกับกฎเกณฑ์ซ้ำๆ 🔄 เช่น การทำนายดวง 🧿 การอ่านไพ่ยิปซี 🃏 หรือแม้แต่การวิเคราะห์เลขศาสตร์ 🔢 เพราะศาสตร์เหล่านี้มีรูปแบบที่ชัดเจน ตำราที่อ้างอิงได้ และแนวทางที่สามารถแปลงเป็นโมเดลทางตรรกะและสถิติได้ไม่ยาก ยิ่งหากมีการบันทึกฐานข้อมูลย้อนหลัง เช่น คำทำนายดวงกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น AI ก็สามารถฝึกฝนจนสร้างรูปแบบการพยากรณ์ของตัวเองได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง
* ในทางกลับกัน งานในฝั่งของโปรแกรมเมอร์ 💻 หรือคนที่ทำงานกับการออกแบบระบบและแก้ปัญหาเชิงเทคนิค ต้องอาศัยทักษะที่มากกว่าแค่การทำตามกฎ เช่น การทำความเข้าใจ User Requirement 📋 ที่บางครั้งคลุมเครือไม่เป็นระเบียบ, การเชื่อมโยงโจทย์จากบริบทเชิงธุรกิจ 🧩 ที่อาจไม่ได้มีคำตอบเดียว หรือการดีไซน์ระบบให้รองรับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น — สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ 🎨 การทดลองไอเดียใหม่ 🧠 และที่สำคัญคือความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกินขอบเขตของการคำนวณล้วนๆ ⚖️
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การใช้ AI เขียนคำพยากรณ์จากดวงดาว อาจทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพราะมันคือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ตามสูตร แต่หากให้ AI ออกแบบโครงสร้างระบบการจองคิวหมอดูให้รองรับผู้ใช้นับล้าน หรือรวมฟังก์ชันทั้ง UX และระบบชำระเงินเข้าด้วยกัน นั่นคือสนามที่ยังต้องการมนุษย์เป็นผู้นำอยู่ดี
====
🔮 ตัวอย่าง Use Case ที่อาจเกิดขึ้นจริงเร็วๆ นี้
* 📅 แอปดูดวง AI รายวันแบบ Personalize ที่เชื่อมกับปฏิทิน Google Calendar และสรุปว่า "วันนี้คุณควรรับงานประเภทไหน"
* 💬 ฟีเจอร์บน TikTok ที่ให้ AI ทำนายเรื่องความรักจากแชตในมือถือ (แน่นอนว่าต้องผ่านการยินยอมก่อน)
* 🧰 แพลตฟอร์มรวม "หมอดู AI" แบบ Plug-and-Play ที่ใครก็สามารถสร้างโมเดลพยากรณ์ของตนเองได้จากตำราที่ชอบ
* 🔁 AI ที่สามารถจับข้อมูลจาก Wearable Devices เช่น Smartwatch เพื่อทำนายสุขภาพจิต และพลังชีวิตประจำวันตามจังหวะชีวภาพของร่างกาย
* 🎓 ระบบให้คำปรึกษาด้านการเรียน-อาชีพที่อิงกับ "ดวงชะตา+พฤติกรรมจริง" ที่เก็บจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้
* 🛍️ AI แนะนำสินค้ามงคลประจำราศีแบบ Hyperpersonalized บน E-commerce หรือ TikTok Shop ที่ปรับตามดวงจรชีวิตแต่ละเดือน
* 🔊 ผู้ช่วยเสียงในบ้าน (Voice Assistant) ที่ผสานศาสตร์พยากรณ์ เช่น "Alexa, วันนี้มีโชคด้านการเจรจาไหม?" หรือ "Siri, ฉันควรตอบอีเมลสำคัญตอนกี่โมง?"
====
🧘♀️ แต่ในท้ายที่สุด "มนุษย์" ก็ยังสำคัญ
* แม้ AI จะวิเคราะห์แม่น ตีความไว และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่สิ่งที่มันยังไม่สามารถทดแทนได้เลยก็คือ "สัมผัสของความเข้าใจ" 🤝 และ "ความรู้สึกที่ว่าใครสักคนฟังเราอยู่จริง ๆ" 👂 ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อย่างแท้จริง
* หลายคนที่ไปหาหมอดู ไม่ได้ต้องการแค่ "คำทำนายอนาคต" แต่ต้องการ "คนที่รับฟัง" อย่างตั้งใจ — คนที่เห็นคุณในวันที่คุณสับสน ท้อแท้ หรือขาดความมั่นใจ หมอดูจึงเปรียบเสมือน "พี่เลี้ยงทางอารมณ์" หรือ "เพื่อนร่วมทางชีวิตชั่วคราว" ที่มีบทบาทมากกว่าการตีความดวงดาวหรือแจกแจงสัญลักษณ์
* AI อาจอ่านไพ่ได้ แปลตำราได้ หรือคำนวณมุมดาวได้อย่างแม่นยำ แต่การเอียงตัวฟัง การสบตาอย่างเข้าใจ หรือแม้แต่คำพูดปลอบโยนจากประสบการณ์จริงของมนุษย์ — สิ่งเหล่านี้คือพลังที่สร้างความหมายให้กับการดูดวง และคือเหตุผลว่าทำไมในยุคของ AI ที่เก่งกาจขึ้นทุกวัน ศาสตร์แห่งการดูดวงก็ยังคงต้องอาศัยหัวใจของ "คนจริง ๆ" อยู่ดี
====
💡 ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องใครแพ้-ใครชนะ แต่คือการสร้างพันธมิตรใหม่ระหว่างคนกับ AI
AI อาจไม่ได้มาเพื่อ "แย่งงาน" ❌ แต่คือ "เครื่องมือทรงพลัง" ⚙️ ที่ช่วยให้ทั้งหมอดูและโปรแกรมเมอร์สามารถทำงานได้ลึกกว่า เร็วกว่า และเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าที่เคย 🌍
อนาคตของวงการดูดวงจึงอาจไม่ใช่การเลือกว่าจะ "เชื่อมนุษย์" หรือ "เชื่อ AI" อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือการ "ใช้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์เชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์ของกันและกันได้ดีขึ้น"
และในขณะที่โลกกำลังหมุนเร็วขึ้นทุกวัน 🌎 คำถามอาจไม่ใช่ว่า “ใครจะถูกแทนที่?” แต่คือ “ใครจะใช้ AI ได้ดีพอที่จะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#AIDisruption
#หมอดูAI
ดูดวง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย