14 มิ.ย. เวลา 16:15 • การศึกษา

ปัญญา ≠ IQ

เราทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “ปัญญา” และ “IQ” กันมาบ้าง แต่คนส่วนมากมักจะเข้าใจและใช้ทั้ง 2 คำนี้ผิด เพราะเข้าใจสับสนว่า การมีปัญญาดี = คุณฉลาดมี IQ ดี แต่จริงๆแล้วทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ยิ่งศึกษาธรรมะแล้ว จะรู้ความแตกต่างอย่างชัดเจนเลยว่า การมีปัญญาดีไม่เท่ากับ IQ ดี เราคงรู้กันดีอยู่แล้วว่า ยิ่งคุณมี IQ มากเท่าไหร่ แปลว่ายิ่งฉลาด และมันสามารถใช้ในการแก้ปัญหาด้านต่างๆในชีวิต รวมทั้งทำให้มีความก้าวหน้าในการเรียนและการทำงาน
คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ คือมี IQ สูงๆกันทั้งนั้น เพราะคิดว่ายิ่ง IQ สูง เวลาทำงานหรือใช้ชีวิตก็จะได้เปรียบคนอื่นๆ แต่หารู้ไม่ว่าแม้นมี IQ สูงมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจัดการกับความทุกข์ของตัวเองได้ หากไม่มีปัญญา เห็นได้จากคนที่ฉลาดๆทั้งหลายในสังคม ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร หมอ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ อาชีพที่คนทั่วไปเห็นว่า ล้วนแล้วแต่มี IQ สูง หลายครั้งหลายหนกลับถูกหลอก เป็นโรคซึมเศร้า หรือฆ่าตัวตาEเพราะไม่อาจแก้ปัญหา หรือจัดการกับความทุกข์ของตัวเองได้
ทำให้เห็นได้ว่าเมื่อมีปัญหาทางใจ IQ ใช้การไม่ได้ ทำให้มีการคิดทฤษฎีใหม่ เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านนี้ คือ EQ ที่เป็นนิยามความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อนำมาใช้แสดงให้รู้ว่าคนที่มี EQ สูงจะมีการจัดการทางอารมณ์ของตัวเองได้ดี แต่ก็ยังไม่ใช่ ความหมายของ “ปัญญา” ในทางพุทธอยู่ดี
หากจะอธิบายความหมายของปัญญา ให้เข้าใจง่ายเห็นภาพชัด คงต้องยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น อย่างเช่น ในการใช้ชีวิตของคนเรา มักจะมีความมืดบอดเกิดขึ้นในใจด้วยกิเลสตัณหา การคิดผิด เห็นผิด เข้าใจผิด หลงผิด เช่น อคติ ความคิดเห็น ความเชื่อ ความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆที่คนเอามาตัดสิน แบ่งแยกเหยียดผู้อื่นแบบผิดๆ แม้มี IQ มากพอจะขบคิดเข้าใจเหตุผลได้ แต่กลับถูกความหลงของกิเลสตัณหา เข้าครอบงำจนมืดบอด แกล้งไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับซะดื้อๆ
คนที่ถูกอคติครอบงำจนมืดบอด ก็เหมือนคนที่อาศัยอยู่ในด้านมืดของพระจันทร์ ที่เป็นด้านมืดเพราะคนไม่เคยมองเห็นมัน เหมือนกับเงามืดที่มีในใจคนๆนั้น เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากจะเห็นหรือได้ยิน ปฏิเสธสิ่งอื่นอย่างมืดบอด หรือร้ายยิ่งกว่านั้น โดนกิเลสครอบงำชนิดที่ว่ามองอะไรไม่ออก คิดอะไรไม่ได้เลย
ใครบอกใครเตือนก็ไม่เชื่อ กลับโดนต่อว่ากลับมา ยืนยันที่จะยึดสิ่งที่ตนเห็นว่าถูก ว่าดีเพียงถ่ายเดียว ต่อให้คนผู้นั้นจะฉลาดในระดับเป็นอัจฉริยะ IQ สูงถึง 200 หรือ 300 ก็ตาม ความฉลาดนั้นจะไม่อาจใช้ออกได้เลย หากตกอยู่ในหลุมของความทุกข์มืดบอดทางปัญญา
ประโยคง่ายๆที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนที่สุดก็คือ “ความรักทำให้คนตาบอด” แต่ไม่ใช่แค่ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความกลัว ฯลฯ ล้วนแต่ทำให้คนตาบอดได้ทั้งนั้น เพราะขาดปัญญา ผู้คนจำนวนมากจึงมักแก้ปัญหา ด้วยการเพิ่มปัญหาให้ตัวเอง เช่น eating therapy มีปัญหาตามมาเรื่องสุขภาพ, shopping therapy เพิ่มปัญหาหนี้สิน, ดื่มสุราเสพยาเพื่อให้ลืมทุกข์ ได้ปัญหาเรื่องสุขภาพและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเพิ่มมา ฯลฯ
ผู้คนมักบำบัดความทุกข์ในใจของตัวเอง ด้วยการไปหาอย่างอื่นที่ทำแล้วมีความสุข ผ่อนคลาย เพื่อให้ลืมทุกข์ ซึ่งอาจจะไม่แก้ปัญหา แถมยังสร้างปัญหามากกว่าเดิม และการแก้ปัญหาแบบโลกๆนี้ ทำได้แค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่อาจแก้ปัญหาได้อย่างถาวร เพราะสาเหตุแห่งทุกข์ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน แค่ใจถูกทำให้ลืมความทุกข์ไปชั่วครั้งชั่วคราว จากกิจกรรมอื่นที่คิดว่าจะช่วยได้ จึงต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก วนเวียนแก้กันไม่จบไม่สิ้น เพราะพวกเราไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ที่จะหยุดการก่อปัญหาที่นำมาซึ่งความทุกข์
ฉะนั้นการมี IQ สูงไม่ได้หมายความว่ามีปัญญา ที่ได้ยินครูบาอาจารย์มักพูดบ่อยๆว่า เราโง่อย่างนั้น โง่อย่างนี้ ไม่ใช่เพราะมี IQ ต่ำ แต่โง่เพราะไม่มีปัญญา จมอยู่กับความหลง เพราะกิเลสตัณหาครอบงำ จนหาทางออกไม่เจอ
ดังนั้นคนมี IQ ต่ำอาจมีปัญญาดีก็ได้ เพราะปัญญานั้น = ความสามารถในการจัดการกับความทุกข์ได้ด้วยตัวเอง พาตัวเองออกมาจากความหลงเชื่อ หลงยึด หลงติดกับสิ่งที่ทำให้ทุกข์ได้ โดยที่ไม่ก่อปัญหาเพิ่ม แต่อาจจะยังไม่ทำให้ปัญหาหมดไปแบบถาวร เพราะนั่นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณมีปัญญาขั้นสูงสุด คือเป็นพระอรหันต์เท่านั้น
แต่การมีปัญญาแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีประโยชน์ในทางโลกอย่างมากแล้ว เพราะทำให้ทุกข์น้อยลง เนื่องจากรู้จักวิธีแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม อยู่กับความเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเกิดขึ้น เหมือนการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตในชีวิต ก่อนที่มันจะเกิด โดยพอจะรู้ว่าต้องเตรียมทางแก้ไขอะไรไว้บ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนพวก survivor kits ที่เราควรเตรียมเผื่อไว้ สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินจากภัยพิบัติทางธรรมชาตินั่นเอง
หากมีปัญญาอย่างแท้จริง จะเข้าใจว่าสุข-ทุกข์ล้วนเกิดที่ใจของตัวเอง หากต้องการแก้ไข ต้องทำจากข้างในไม่ใช่ข้างนอก ทำได้ด้วยการฝึกให้มีปัญญาแบบพุทธ คือเข้าใจความทุกข์ของตัวเอง และรู้ว่าเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นมาจากอะไร แล้วแก้ได้ตรงจุด จึงเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อหมดเหตุจะไม่มีการ Yo-Yo กลับมาอีก
คือต่อให้กลับไปอยู่ในสถานการณ์ ที่ทำให้ตัวเองทุกข์ ก็จะรู้วิธีที่จะออกมา หรือแม้กระทั่งความทุกข์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกต่อไป เพราะไม่ได้ยึดติดกับเรื่องราวเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ไม่ได้ใช้วิธีการหนีทุกข์ โดยการไปใช้อย่างอื่นแก้ให้สุข ลืมทุกข์ได้ชั่วคราว แล้วเสพติดก่อทุกข์อันใหม่เพิ่มอีก หรือหนีความทุกข์ไปเรื่อยๆ ด้วยการไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าใจ ต่อสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์ โทษแต่ผู้อื่น สิ่งอื่นว่าทำให้ตัวเองทุกข์
ทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้ทุกข์มากขึ้น ปัญญาทางธรรมจึงเหมือนแสงสว่างปัดเป่าความมืดบอด อันเกิดจากกิเลสตัณหาให้หายไป แต่เราส่วนใหญ่กลับเป็นลิงเป็นไก่ ไม่สนใจแก้วรัตนอันประเสริฐที่ช่วยในการดับทุกข์ได้ ใกล้เกลือกินด่าง ไปแสวงหาทางดับทุกข์แบบผิดๆ ที่ได้มาจึงมีแต่จมอยู่กับกองทุกข์ หาทางออกไม่เจอ
หากรู้ว่าปัญญาทางพุทธดีเช่นนี้แล้ว เราควรจะสั่งสมให้มากเข้าไว้ รวมทั้งปลูกฝังให้บุตรหลานในรุ่นต่อๆไปด้วย เพื่อให้เขามีปัญญา สามารถพึ่งตัวเองในการดับทุกข์ได้ โดยไม่ต้องไปพึ่งสิ่งภายนอกแบบผิดๆ หรือระบายความทุกข์ ความอัดอั้นตันใจ ด้วยการไปทำร้ายผู้อื่น
พระพุทธเจ้าท่านรับรองไว้แล้วว่า เราทุกคนต่างมีความสามารถ ในการดับทุกข์ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปพึ่งสิ่งอื่นหรือคนอื่น และการฝึกให้มีปัญญานี้ ไม่ได้เหลือวิสัยความเป็นมนุษย์ (ผู้เป็นเวไนยสัตว์ ใจสูงสอนได้) ถ้าเหลือวิสัยตถาคตไม่สอน แต่ต้องตั้งใจฝึกฝน แม้ไม่ถึงขั้นเป็นพระอริยะ ก็สามารถเอาตัวรอดในสังสารวัฏที่ยาวนานไร้ที่สิ้นสุด
ในการเวียนตายเวียนเกิด หากมีธรรมะตามติดไปด้วย คุณจะขึ้นสู่ที่สูงเสวยสุขมากกว่า ตกต่ำลงไปอบาย ต้องทนทุกข์ทรมานยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ดังนั้น ธรรมะจึงเป็นสิ่งที่ควรฝึกฝนเรียนรู้ เพราะเป็น survival kit for the samsara travelers!
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี” ความหมาย ผู้มีปัญญาเปรียบเหมือนมีแสงสว่างคอยนำทางชีวิต
พุทธศาสนสุภาษิต
ปัญญานั้นส่องสว่างให้มนุษย์เห็นถูกเห็นผิด เห็นทางและมิใช่ทาง เห็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ช่วยให้มนุษย์สามารถละทิ้งสิ่งที่ผิด ถือเอาสิ่งที่ถูกได้ ปัญญาทำให้บุคคลสามารถดำรงตนอยู่บนโลกนี้ได้ ปัญญาทำให้บุคคลสามารถกำจัดอวิชชาออกจากจิตจากใจได้ และปัญญา ทำให้บุคคลถึงความพ้นทุกข์ได้
ข้อมูลอ้างอิง
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา “แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี”
ขอบคุณภาพจาก
โฆษณา