6 มิ.ย. เวลา 01:40 • ดนตรี เพลง

Marshall กำแพงสีดำแห่งความร็อคที่ยืนหยัดมานานกว่า 60 ปี

เมื่อพูดถึงแบรนด์เครื่องเสียง ลำโพง หรือหูฟังก็เชื่อว่าคงคุ้นเคยกับชื่อ Marshall แบรนด์จากเกาะอังกฤษที่ให้เสียงที่มีคุณภาพ และมีการออกแบบที่ผสมผสานกลิ่นอายความวินเทจที่ให้ทั้งความเท่ ความสวยงาม และความคลาสสิค
ซึ่งทุกองค์ประกอบที่กลายเป็นสิ่งที่เราเห็น และได้ยินจาก Marshall นั้นมีจุดเริ่มต้นของแบรนด์มาจากการสร้างแอมป์กีตาร์ในยุค 60 จนได้รับการยอมรับ และเลือกใช้จากศิลปินชื่อก้องโลกมากมาย เพื่อให้ถ่ายทอดเสียงของพวกเขาไม่ว่าจะเป็น Jimi Hendrix, Eric Clapton, Eddie Van Halen, Jimmy Page และ Slash !
จนมาถึงในปัจจุบันที่ลำโพง Marshall ไม่ได้ถูกตั้งอยู่แค่บนเวทีใหญ่ๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นหูฟัง และลำโพงที่ตั้งอยู่ในบ้านของหลายๆ คน ซึ่งถูกใช้ในชีวิตประจำวัน จากความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงนักดนตรีบนเวที และคนรักเสียงดนตรีไว้ด้วยกันผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่
ชวนตามมาอ่านเบื้องลึกเบื้องหลังของ Marshall แบรนด์ที่ส่งผ่านเสียงแห่งดนตรีร็อค บลูส์ และเมทัล อันเป็นเอกลักษณ์ เจ้าของผลงานแอมป์ระดับตำนานที่ศิลปินชื่อก้องโลกมากมายเลือกใช้กันได้เลย !
ไม่มี Marshall ถ้าเพื่อนไม่เชียร์ !?
กิจการของ Marshall เริ่มต้นที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษในปี 1960 โดย "Jim Marshall" ในวัย 39 ปี ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะเปิดร้านเขาเคยทำอาชีพเป็นนักร้อง และมือกลองในเวลากลางคืน และเป็นวิศวกรไฟฟ้าในตอนกลางวัน
ในยุคแรกนั้นร้าน Jim Marshall & Son (ภายหลังจะเปลี่ยนชื่อเป็น J&T Marshall) ขายสินค้าพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับกลองเป็นหลัก และรับซ่อมเครื่องดนตรีบ้าง แล้วนอกจากนี้จิมก็ยังรับสอนกลองอีกด้วย
ซึ่งแต่ละคนที่เขาสอนนั้นในเวลาต่อมาจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีของโลกทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น Ritchie Blackmore มือกีตาร์แห่งวง Deep Purple, Pete Townshend หัวหน้าวง The Who และ Jimmy Page จากวง Led Zeppelin
นอกจากจะเป็นลูกศิษย์แล้วพวกเขาเหล่านี้ก็ยังเป็นลูกค้าประจำด้วย โดยพวกเขามักจะเอาอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึง ‘แอมป์กีตาร์’ มาให้ร้านของจิมซ่อมเสมอ
แล้วก็เพราะคนเหล่านี้อีกนั่นเองที่เป็นคนเชียร์ให้จิมลองสร้างแอมป์กีตาร์ของตัวเองดูเพราะว่าแอมป์ของ Fender ที่นำเข้ามาจากอเมริกานั้นทั้งแพง เสียงไม่ใหญ่ และไม่ดังสะใจอย่างที่พวกเขาที่เป็นชาวร็อคต้องการ
‘Number One’ กำเนิดโทนเสียงแห่งความร็อค
จิมเห็นโอกาสทางธุรกิจโดยเฉพาะในตลาดเพลงร็อคที่กำลังมาบนเกาะอังกฤษ เขา, Terry Marshall ลูกชายของจิม และ Ken Bran ช่างซ่อมแอมป์ประจำร้าน จึงไล่ซื้อแอมป์ และชิ้นส่วนที่เหลือจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาประกอบ แยกส่วน และทดลองสร้างแอมป์ของตัวเองดู
และจากภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของหูนักแซกโซโฟนของเทอร์รี่ ตัวต้นแบบที่จะกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘Number One’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ตู้ และแอมป์ของ ‘Number One’ นั้นประกอบมาจากดอกลำโพง 12 นิ้ว 4 ตัว ทำให้เมื่อเทียบกับของ Fender Bassman ที่เป็นรุ่นเทียบที่มีดอกลำโพง 10 นิ้ว 4 ตัวนั้นจะมีเสียงที่ดังกว่า และมีราคาที่ถูกกว่า
สิ่งที่ทำให้แอมป์ตัวนี้พิเศษกว่าตัวอื่นๆ ก็คือ วงจร และหลอดแก้วที่อยู่ภายในที่ทำให้เมื่อ ‘ยิ่งเล่นเสียงดัง เสียงจะยิ่งแตกพร่า’ ซึ่งตอบโจทย์ความกร้านของนักดนตรีร็อคแอนด์โรลในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างจาก Fender ที่จะให้เสียงที่สะอาด และโทนที่ใสกว่า
แล้วเสียงอันเป็นเอกลักษณ์จาก ‘Number One’ นี้เองที่จะกลายเป็นเสียงของ Marshall และเป็นตัวแทนของเสียงโทนร๊อคไปตลอดกาล
JTM 45 จุดเริ่มต้นของแอมป์ Marshall
ในปี 1962 แอมป์ JTM 45 ที่บรรจุ Number One ไว้ภายในก็เสร็จสมบูรณ์ โดยชื่อ J,T,M มาจากตัวอักษรนำหน้าของแต่ละคน ส่วน 45 มาจากเลขกำลังวัตต์ที่จะทำให้ได้เสียงที่มีคุณภาพที่สุดของแอมป์แต่ละตัว ซึ่งโดยปกติในยี่ห้ออื่นๆ มักจะเป็นค่าเฉลี่ย แต่สำหรับ Marshall มันคือค่ากำลังไฟสูงสุด เพราะว่า JTM 45 ถูกออกแบบมาให้เล่นดัง และเสียงเต็มที่สุด
JTM 45 ถูกนำขึ้นการแสดงสดครั้งแรกในปี 1963 ที่ The Earling Club ร้านแห่งเพลงร็อค และบลูส์ (ทุกวันนี้ก็ยังอยุ่นะ) เรื่อยมาจนถึงช่วงกลางยุค 60 ความนิยมของ JTM 45 ก็พุ่งสูงขึ้น และเข้ามาแทนที่รุ่นพี่อย่าง Vox ที่กระจายอยู่ทั่วเกาะอังกฤษต่อให้มีกำลังขยายเสียงเท่ากันก็ตาม
แล้วในปีเดียวกันจิมก็ได้เริ่มพัฒนารุ่น 100 วัตต์ตามคำเรียกร้องของเหล่าศิลปิน และ Pete Townshend แห่งวง The Whoหนึ่งในคนที่เชียร์จิมให้ผลิตแอมป์ของตัวเอง โดยให้ความเห็นว่าแรงมันน้อยไป ทั้งความดัง และโทนที่ได้เวลาเล่นเต็มเสียง
Bluebreaker แอมป์คอมโบรุ่นแรกของ Marshall ที่สร้างประวัติศาสตร์เพลงบลูส์-ร็อค
เสียงของ JTM 45 กลายมาเป็นมาตรฐานของแอมป์ Marshall รุ่นต่อๆ มา โดยเฉพาะรุ่น ‘1962 Combo’ (Combo คือคำใช้เรียกแอมป์ที่รวมหัวแอมป์กับตู้ลำโพงเข้าด้วยกัน) ที่ถูกผลิตในปี 1964 ตามคำขอของ Eric Clapton ผู้ที่จะกลายเป็นศิลปินระดับตำนานในเวลาต่อมา ให้ผลิตแอมป์คอมโบที่มาพร้อมกับ Tremolo (เอฟเฟคกีต้าร์ที่ให้เสียงเป็นห้วงๆ) ที่สามารถใส่ท้ายรถของเขาได้
1962 Combo แอมป์คอมโบรุ่นแรกของ Marshall ใช้กำลัง 35 วัตต์ซึ่งเหมาะกับการจะใช้ในห้องอัด โดยจะให้เสียงต่างจาก JTM 45 อยู่บ้างเพราะชิ้นส่วนภายในที่หันมาใช้จากในประเทศ และลักษณะของแอมป์คอมโบที่เปิดด้านหลัง โดยจะให้เสียงย่านต่ำที่น้อยกว่า ย่านสูงที่มากกว่า และให้ความคมชัดที่มากกว่า ซึ่ง Eric Clapton คิดว่ามันเหมาะกับการอัดเพลงบลูส์ด้วย 1960 Gibson Les Paul Standard ของเขา
แอมป์คอมโบรุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งด้วยราคาที่จับต้องได้โดยมันถูกกว่า Vox AC30 สามเท่า และ Fender Bassman Combo ครึ่งหนึ่ง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ Eric Clapton ได้ใช้แอมป์รุ่นนี้อัดเสียงทั้งหมดในอัลบั้มที่ทำร่วมกับวง John Mayall & The Bluebreakers ที่เรียกได้ว่าเป็นอัลบั้มประวัติศาสตร์ของเพลงบลูส์-ร็อค
นั่นทำให้หลังจากนั้นแอมป์นี้จึงเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Bluebreaker’ และเป็นหนึ่งในแอมป์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Marshall ซึ่งก็น่าเสียดายที่มันถูกยกเลิกการผลิตไปในปี 1972 แต่มันก็ทำให้แอมป์นี้เป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก โดยในปัจจุบัน Bluebreaker มีราคาในตลาดสูงกว่า 17,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว
Plexi และ Marshall Stack กำแพงสีดำแห่งดนตรี Rock n’ Roll
แอมป์ในยุคแรกของ Marshall จะมีจุดที่แตกต่างจากรุ่นหลังคือการใช้แผ่นกระจกอะครีลิก Plexiglass เป็นแผงด้านหน้า ซึ่งอีกหนึ่งตัวแทนของแอมป์ยุคแรกก็คือ Marshall Super Lead 1959 ที่เกิดขึ้นในปี 1965 โดยมีชื่อเล่นที่มาจากเจ้าแผ่นแผ่นนี้นี่เองว่า ‘รุ่น Plexi’ ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปใช้แผ่นเหล็กขัดแทนในปี 1969
Plexi ถูกออกแบบตามคำขอของ Pete Townshend แห่งวง The Who (อีกแล้ว) หลังจากที่เขาได้เคยขอให้จิมสร้าง JTM รุ่น 100 วัตต์ ซึ่งจะเรียกได้ว่า Plexi คือรุ่นที่ออกแบบให้เป็นแบบ 100 วัตต์จริงๆ ก็ได้ โดยที่ตอนแรกมันถูกใช้คู่กับตู้ลำโพงขนาดใหญ่ที่มีดอกลำโพง 12 นิ้ว 8 ตัว ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปใช้เป็นแบบตู้ดอกลำโพง 12 นิ้ว 4 ตัววางซ้อนกันสองชั้นแทน
ซึ่งการวางซ้อนกันของลำโพงสองชั้น แล้ววาง Plexi ไว้ด้านบน จะกลายเป็นสิ่งที่เรียก ‘Marshall Stack’ ในเวลาต่อมา และเป็นหนึ่งในภาพจำของดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ โดยยิ่งวางตู้ซ้อน วางเรียงกันมากเท่าไหร่จะเป็นการบ่งบอกถึงสถานะของวงดนตรีนั้นๆ ซึ่งเวลาที่เราเห็นเป็นเหมือนกำแพงตู้ Marshall บนเวทีใหญ่ๆ ก็มาจากเทรนด์นี้นี่เอง และแน่นอนว่าหลายครั้งมันไม่ใช่ของจริงทั้งหมด มันมีแต่โครง !
ครอบครัวขยายใหญ่ขึ้น แต่เสียงแห่งความร็อคไม่เคยแผ่วลง
Marshall ได้รับการสนับสนุนจากศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมายเช่น Townshend, Jimi Hendrix, Jimmy Page และ Eric Clapton ทำให้แบรนด์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง และขยายกลุ่มตลาดที่กว้างขึ้น
ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก เช่น โลโก้ที่ใช้กลายมาเป็นตัวอักษรสีขาวแบบที่เราคุ้นตา หรือเปลี่ยนดีไซน์ลูกบิด ไปจนถึงการเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อย่าง JCM 800 (โดยมาจากชื่อของจิม ส่วน 800 มาจากทะเบียนรถของเขา) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชาวร็อค และเมทัล
JCM 800 เป็นแอมป์รุ่นที่ 2 ของ Marshall ที่มี Master Volume ที่ทำให้ลดเสียงลงได้แต่เสียงยังแตกแบบที่คนชอบใน Marshall อยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือรุ่น JMP 2203 แอมป์ Master Volume รุ่นแรกที่พัฒนาภายนอก และแผงควบคุมใหม่
โดย JCM 800 รุ่น 2205 ที่ออกต่อมาจะมีสองชาแนลที่ทำให้สามารถตัดสลับกันระหว่างเสียง Lead และ Rhythm โดยการเหยียบสวิตช์ที่เท้า และมีการเพิ่มเอฟเฟค Loop (เอาไว้อัดเสียงเก็บไว้เล่นวน) และ Reverb (เสียงสะท้อน) เข้ามาในแอมป์ Marshall เป็นครั้งแรก
ไลน์ JCM ได้มีการอัพเดทเรื่อยมา JCM 900 ในยุค 90 และ JCM 2000 ในยุค 2000 และมีการพัฒนาไลน์สินค้าเพิ่ม เช่น DSL (Dual Super Lead) และ JVM (Jim and Victoria Marshall ลูกสาวของจิม) แอมป์ Marshall รุ่นปัจจุบัน และ Reissue ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแอมป์หลอดอยู่ แทนที่จะใช้เป็นทรานซิสเตอร์แบบแบรนด์อื่นๆ ในตลาด เพราะมันให้เสียงแตกที่เป็นธรรมชาติมากกว่า และแผดเสียงความเป็น Marshall ได้ดีที่สุด
กำเนิด Marshall Group จากเวทีใหญ่สู่โต๊ะกาแฟข้างๆ คุณ
ในปี 2023 ที่ผ่านมา Marshall Amplification และ Zound Industries บริษัทออกแบบ และผลิตเครื่องเสียงชื่อดังจากประเทศสวีเดน (บริษัทที่ให้กำเนิดแบรนด์ Urbanears) ได้ประกาศควบรวมกันอย่างเป็นทางการในชื่อ ‘Marshall Group’ หลังจากที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2010
ไม่ว่าจะเป็นหูฟัง ลำโพง ทั้งมีสาย และไร้สาย ด้วยความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงนักดนตรีบนเวที และคนรักเสียงดนตรีไว้ด้วยกันผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภายใต้การการันตีถึงคุณภาพเสียงจากแบรนด์ Marshall ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี
เป็นการสานต่อตำนานบทนี้ต่อไปโดยไม่ใช่แค่บนเวที แต่รวมไปถึงเหล่าผู้ฟังทุกคนที่จะขับเคลื่อน Marshall ต่อไปสู่อนาคตให้เป็นมากกว่าการส่งผ่านเสียง แต่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และวัฒนธรรมของคนที่รักเสียงดนตรี
ลำโพงบลูทูธ MARSHALL WOBURN III ลำโพงประจำบ้านรุ่นใหญ่ที่สุด กับสีใหม่ล่าสุด !
Woburn III ลำโพงประจำบ้านรุ่นใหญ่ที่สุด ที่เปรียบเสมือนนักดนตรีที่แข็งแกร่ง ออกแบบใหม่เพื่อเวทีเสียงที่กว้างขึ้น สามารถนำคลื่นเสียงออกไปได้อย่างเสถียรและทั่วถึง ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนของห้อง
ดีไซน์ยังคงความเรียบเท่ตามสไตล์ Marshall ผสมความเป็นร็อกเข้ากับความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว เหมาะกับการตั้งไว้ในบ้านเพื่อยกระดับประสบการณ์ฟังเพลงให้ถึงขีดสุด แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยวัสดุปลอด PVC และพลาสติกรีไซเคิลถึง 70%
นอกจากเรื่องเสียงและดีไซน์แล้ว Woburn III ยังออกสีใหม่ล่าสุด คือสีน้ำตาล Brown สุดคลาสสิค รวมกับอีก 2 สีเดิมคือ สีดำ Original เข้มเท่ในแบบ Marshall และสีครีมวินเทจที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว สามารถเลือกให้เหมาะกับมุมของบ้านได้อย่างลงตัวนั่นเอง !
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shop.ash-asia.com/th/products/marshall-woburn-iii
โฆษณา