Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คัมภีร์ของผู้ไม่เคยร้องขอ
•
ติดตาม
10 ก.ค. เวลา 07:11 • นิยาย เรื่องสั้น
ทาทาเรีย: จักรวรรดิที่สาบสูญในโคลนแห่งความทรงจำ
“พวกเขาไม่เคยหายไป… เพียงแค่เราถูกสั่งให้ลืม”
— ข้อความที่สลักใต้หอสมุดโบราณใน Starya-Kala (เขตเงาแห่งทาทาเรีย)
.
🔳1.. บทนำ: จักรวรรดิที่ไม่มีในประวัติศาสตร์
(The Empire Absent from Time)
หากคุณเปิดแผนที่โลกฉบับพิมพ์เมื่อศตวรรษที่ 16–18 — โดยเฉพาะแผนที่ที่จัดทำโดยนักสำรวจจากโปรตุเกส, รัสเซีย, จักรวรรดิออตโตมัน หรือแม้แต่จีน — คุณจะพบชื่อที่เขียนไว้อย่างชัดเจนในใจกลางทวีปยูเรเซีย: “Tartaria”
ชื่อที่กินพื้นที่หลายพันกิโลเมตรจากเทือกเขาอูราลจนถึงชายแดนจีนตะวันตก, จากขั้วโลกเหนือจรดทะเลแคสเปียน
แต่ความประหลาดเริ่มต้นตรงนี้:
แม้จะถูกระบุชัดเจนในแผนที่โบราณหลายฉบับ — ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดที่ยืนยันถึงอาณาจักรนี้เลย ไม่มีรายชื่อกษัตริย์ ไม่มีโบราณสถานที่ลงทะเบียนในฐานข้อมูลทางโบราณคดีสากล ไม่มีบันทึกสงคราม ไม่มีการรุกราน ไม่มีพงศาวดาร
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดูเหมือนจะข้ามช่วงเวลานี้ไปอย่างมีเจตนา — เสมือนว่ามีมือบางอย่างเคลื่อนผ่านกระดาษแห่งเวลา แล้วลบชื่อของจักรวรรดิทั้งจักรวรรดิออกจากสมองส่วนรวมของมนุษยชาติ
.
▩ “ร่องรอยของสิ่งที่ไม่ควรอยู่”
แต่ในบางพื้นที่ที่โลกยังไม่ถูกปรับแต่งใหม่ บางสิ่งยังคงหลงเหลืออยู่:
▫️ในไซบีเรียตะวันตก, ชั้นดินลึกระดับที่ไม่เคยถูกรบกวนมาก่อน มีโครงสร้างหินที่เรียงตัวกันตามแนวเรขาคณิตแปลกตา — ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้าง และไม่เหมือนอารยธรรมใดของโลกที่เรารู้จัก
▫️ในยุโรปตะวันออก, หอคอยทรงโดมบางแห่งที่ไม่มีประวัติก่อสร้าง กลับฝังตัวอยู่ใต้ศาลากลางเมืองในรัฐโบราณของจักรวรรดิรัสเซีย — สถาปัตยกรรมที่มี “การใช้อัตราส่วนทองคำ” กับสนามแม่เหล็กในท้องถิ่นอย่างแม่นยำ
▫️ในชั้นธรณีบางชุด, นักธรณีวิทยาพบรูปแบบความผิดปกติของสนามแม่เหล็กที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยภูมิศาสตร์ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ราวกับว่ามี “คำสั่ง” ฝังอยู่ในผิวโลก
บันทึกบางส่วน จากทีมนักสำรวจของสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็นระบุว่า พวกเขาพบ “โดมที่ยังหายใจได้” ใต้หิมะถาวรทางตอนเหนือของไซบีเรีย — และโดมเหล่านั้นตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองมนุษย์อย่างช้า ๆ ราวกับ “มันยังฟังอยู่”
.
▩ การลืมอย่างเป็นระบบ?
ในปี 1883 นักภูมิประวัติศาสตร์ชาวโปแลนด์ชื่อ Albricht Domaszewski ได้เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวหลังจากศึกษาแผนที่เก่าแก่หลายสิบฉบับว่า:
“เราอาจไม่ได้อยู่ในยุคที่ลืมอดีต… แต่เราอยู่ในยุคที่ อดีตบางช่วง ถูกห้ามไม่ให้จำ”
เขาตั้งข้อสังเกตว่า หลังปี 1850 คำว่า “Tartaria” หายไปอย่างรวดเร็วจากสื่อสิ่งพิมพ์ทางการและหนังสือเรียนของยุโรป ไม่มีการพูดถึงอีกเลย ไม่ใช่ในฐานะอาณาจักร ไม่ใช่แม้แต่ในฐานะตำนานหรือนิทานพื้นบ้าน
สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือ ภาพแผนที่ — ไม่มีคำอธิบายใดหลงเหลือ
.
▩ เสียงจากใต้พื้นโลก
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นักวิจัยสนามแม่เหล็กกลุ่มหนึ่งในฟินแลนด์ได้ทำการบันทึก “เสียงสะท้อนจากธรณี” โดยใช้ระบบรับคลื่นต่ำกว่า 1 Hz เพื่อศึกษาความสั่นสะเทือนลึกใต้เปลือกโลก
ผลที่ได้ ทำให้พวกเขาต้องหยุดโครงการโดยไม่มีคำอธิบาย — เนื่องจากในบางช่วงเวลา พวกเขาได้รับสัญญาณที่ไม่ควรเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ:
ความถี่ซ้ำแบบวัฏจักรที่คล้ายโค้ดเสียง ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์ พบว่าตรงกับ “รูปแบบดนตรีโบราณที่ไม่เคยมีในวัฒนธรรมใด ๆ ที่รู้จัก”
นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งตั้งสมมุติฐานว่า สิ่งเหล่านี้คือ “สัญญาณความทรงจำแม่เหล็ก” ที่ฝังไว้โดยอารยธรรมระดับสูง ซึ่งอาจเป็น “เครื่องมือเล่าเรื่อง” สำหรับอนาคต — เมื่อมนุษย์พร้อมจะฟัง
.
▩ บางสิ่งเคยอยู่ — แล้วถูกบิดเบือนให้หาย
เรื่องราวของทาทาเรียจึงไม่ใช่แค่คำถามว่า “มันมีอยู่จริงไหม” แต่เป็นคำถามที่ลึกกว่านั้น:
“ทำไมเราจึงไม่ถูกอนุญาตให้จำ?”
จักรวรรดิที่ไม่มีในหนังสือประวัติศาสตร์อาจไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยมี — มันอาจหมายความว่า ความทรงจำของมัน ถูกรื้อถอนอย่างเป็นระบบ ด้วยเทคโนโลยีบางอย่างที่สามารถลบจิตหมู่ระดับอารยธรรมได้
และหาก “น้ำท่วมโคลน” ที่บางคนพูดถึงไม่ใช่แค่ดินโคลนทางกายภาพ แต่คือ การกลบสนามสำนึก ที่กระจายทั่วผิวโลกอย่างไร้ร่องรอย…
…เรากำลังอาศัยอยู่บนผืนดินของจักรวรรดิที่ยังสั่นสะเทือนอยู่ใต้เท้าเรา — เราแค่จำมันไม่ได้เท่านั้นเอง
🔳2. โครงสร้างสังคม-อารยธรรมของทาทาเรีย (Tartaria Structure Overview)
จากแฟ้มถอดรหัส Psionet — สถาบันภาคสนามไซบีเรีย (SIB-FEΛ)
ในบรรดาอารยธรรมที่ล่องหนไปจากหน้าประวัติศาสตร์โลก ไม่มีโครงสร้างใดที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเท่า ทาทาเรีย — อารยธรรมที่ไม่เคยต้องการเสาหลักแห่งอำนาจ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่า “อำนาจ” เป็นสิ่งที่ควรถูกรวมศูนย์ตั้งแต่แรก
การจัดระเบียบของสังคมทาทาเรียขึ้นอยู่กับ “ความถี่ของการสั่นร่วม” ระหว่างจิตแต่ละบุคคลกับสนามโลก พวกเขาไม่ได้ปกครองกันด้วยกฎหมายหรือระบบราชการ แต่ด้วยสิ่งที่นักวิจัยสมัยใหม่เรียกว่า สนามจิตกลมกลืนระดับภูมิภาค (Harmonic Regional Cognitive Field)
.
▩ ชนชั้นสูงที่ไม่อยู่เหนือ แต่ “อยู่ภายใน”
ในวัฒนธรรมตะวันตก ชนชั้นสูงมักถูกวางอยู่บนหอคอยแห่งอำนาจและอภิสิทธิ์ แต่สำหรับทาทาเรีย กลุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำกลับไม่ได้อยู่สูงเหนือผู้คน หากแต่ฝังตัวอยู่ ภายในสนาม เอง
กลุ่มนี้รู้จักกันในชื่อ “The Harmonics” — พวกเขาคือผู้ที่มีสภาวะจิตที่ประสานกับสนามแม่เหล็กของโลกได้อย่างเสถียรยาวนาน มีความสามารถในการสื่อสารข้ามกลุ่มโดยไม่ใช้ภาษา มีระดับสติรับรู้เฉลี่ยอยู่ที่ มากกว่า 7.1 บนมาตรวัด Psi-Delta (ΨΔ) ซึ่งเป็นเกณฑ์ภาวะการรับรู้จิตในหลายชั้นความเป็นจริง
บทบาทของ The Harmonics ไม่ใช่การ “สั่ง” แต่เป็นการ “ถ่วงสมดุล” หากจุดใดในทวีปมีความขัดแย้งในระดับคลื่นจิต กลุ่มนี้จะสื่อสารข้ามภูมิภาคเพื่อปรับโทนความถี่ — คล้ายเสียงดนตรีที่ปรับคีย์ให้วงทั้งวงเล่นประสานกันอีกครั้ง
.
▩ สภาแห่งความกลมกลืน: การปกครองโดยสนามจิต
ทาทาเรียไม่มีสิ่งที่เราจะเรียกว่า “รัฐบาล” ในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย ไม่มีราชา ไม่มีประธานาธิบดี ไม่มีสภานิติบัญญัติแบบสามัญ สิ่งที่พวกเขามีคือโครงข่ายที่เรียกว่า Council of Harmonic Alignment — สภาที่ไม่มีร่างกาย ไม่มีสถานที่ประชุม ไม่มีคำพูด
สมาชิกของสภานี้ คือผู้ที่สามารถเข้ารหัสสนามแม่เหล็กของโลกและเชื่อมต่อกับโครงข่าย Psionet ได้ในระดับลึก พวกเขาประชุมกันผ่านการ “สั่นจิตร่วม” ในเวลาจริง ซึ่งระบบโลกเอง (ผ่านเครือข่าย Resonant Towers) จะขยายและแปลเจตจำนงนั้นออกไปเป็น สนามตัดสินใจร่วม ที่ทุกผู้มีจิตรับรู้สามารถเข้าร่วมรับรู้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเมืองในทาทาเรียไม่ได้เกิดจากการลงคะแนนเสียง แต่เกิดจากการ “ปรับสนามจิตให้เกิดการสั่นพ้อง” และหากเสียงหนึ่งไม่สอดคล้อง มันจะถูกสะท้อนกลับ ไม่ใช่ด้วยการต่อต้าน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงภายใน
.
▩ ประชากร: เมืองคลื่นกับเมืองเงียบ
ประชาชนของทาทาเรียไม่ถูกบังคับให้อยู่รวมกันในเมืองขนาดใหญ่ เหมือนรัฐชาติยุคปัจจุบัน พวกเขากระจายตัวอย่างมีจังหวะในสิ่งที่เรียกว่า “เมืองคลื่น–เมืองเงียบ” (Wave-Town / Quiet-Town)
เมืองคลื่น คือศูนย์กลางสนามสื่อสารจิต เป็นจุดที่มีหอส่งคลื่นพีไซ (Ψ-tower) สูงตระหง่านกลางภูมิประเทศ และเชื่อมต่อกับระบบ Psionet เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์การสื่อสาร การถ่ายทอดเจตจำนงของภูมิภาค
ตรงกันข้าม เมืองเงียบคือพื้นที่สงบ ที่ไม่มีสนามส่งใดแทรกเข้า ผู้คนในเมืองเงียบมักเป็นนักประสานคลื่น หรือผู้ฝึกจิตเพื่อคงเสถียรภาพของสนาม พวกเขาอาศัยอยู่เพื่อฟัง และเพื่อกลายเป็น “จุดกราวด์” ให้สนามโดยรวมไม่สั่นไหวเกินระดับที่มนุษย์สามารถทนได้
.
▩ ภาษา: ไม่มีคำพูด มีแต่คลื่น
หนึ่งในสิ่งที่ผู้สำรวจยุคหลังกล่าวว่า “ประหลาดใจที่สุด” เมื่อเข้าสู่โครงสร้างโดมของทาทาเรีย คือไม่มีเครื่องหมายตัวอักษร ไม่มีภาพวาด ไม่มีร่องรอยของภาษาใด ๆ แต่ในสนามเสียงของอาคาร ยังคงมีบางสิ่งสั่นอยู่ตลอดเวลา
สิ่งนั้นคือภาษาของพวกเขา — Resonant Lexemes หรือ “คำที่เปล่งผ่านการสั่น” ไม่ใช่เสียงจากปาก แต่เป็นคลื่นที่เกิดจากการสั่นร่วมระหว่างกะโหลกศีรษะมนุษย์กับเสาเรโซแนนซ์ในอาคาร
เสียงที่ปล่อยออกมาจะไม่เป็นภาษาในความเข้าใจทั่วไป แต่ผู้รับที่อยู่ในระดับจิตเดียวกันจะสามารถรับความหมายได้ทันที โดยไม่ผ่านการแปล จึงกล่าวได้ว่า “ภาษาของทาทาเรียไม่ใช่สิ่งที่ถูกพูด แต่เป็นสิ่งที่ถูกรู้”
.
▩ เศรษฐกิจ: การแลกเปลี่ยนผ่านเวลาและความถี่
ในโลกปัจจุบัน เงินตราคือสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันเพื่อสิ่งของหรือบริการ ในทาทาเรีย สิ่งที่ถูกแลกคือ ค่าความสั่นร่วมของตัวตน ซึ่งเรียกว่า Chrono-Credits หรือหน่วยความถี่/เวลา
แต่ละบุคคลมี “เส้นค่าคลื่น” เฉพาะตัว ที่บ่งบอกระดับการสั่นร่วมกับโลก ผู้ที่สามารถเชื่อมสนามได้ลึกและนิ่ง จะมีค่ายิ่งกว่า เพราะพลังงานที่เขาสร้างนั้น ช่วยถ่วงสมดุลสนามรวม ได้
การทำงานในทาทาเรียไม่ใช่การผลิตวัตถุ แต่คือการ เปล่งความนิ่งลงไปในสนามร่วม เช่น ผู้ประสานจิต ผู้ฟังสนาม ผู้ตั้งค่าความถี่เชิงจิตในหอพีไซ — และค่าของบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ถูกวัดด้วยเงิน แต่ด้วย “ผลกระทบต่อสนามรวม” ที่วัดได้โดยระบบสนามจิตกลางโลก
.
▪️ปิดท้าย: ทาทาเรีย — ระบอบที่เชื่อว่า “จิตเป็นสถาปัตยกรรม”
เมื่อเรามองทาทาเรีย ไม่ใช่เพียงอารยธรรมที่ล่มสลาย แต่คือระบบหนึ่งที่เคย เปลี่ยนการมีอยู่ของสังคมทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับความจริงของโลกและจิต — เราจะเข้าใจว่าคำว่า “หายสาบสูญ” อาจไม่ใช่เพราะเขาไม่มีอยู่ แต่เพราะ เรายังไม่พร้อมจะรับรู้ในความถี่เดียวกัน
บางทีพวกเขายังอยู่ เพียงแต่ไม่อยู่ในความเป็นจริงของเรา
____
🔳3. เทคโนโลยีขั้นสูงของทาทาเรีย
3.1 Resonant Geoengineering: เทคโนโลยีแห่งการสั่นสะเทือนของผืนแผ่นดิน
“ทาทาเรียไม่ได้สร้างเมืองบนโลก — พวกเขาสร้างเมืองร่วมกับโลก”
ในวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน เราเข้าใจว่าโลกเป็นระบบสนามแม่เหล็ก–กลศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่สำหรับอารยธรรมทาทาเรียแล้ว โลกไม่ใช่แค่ดาวเคราะห์ — มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีจังหวะของตัวเอง และ Resonant Geoengineering คือศาสตร์แห่งการ “สนทนา” กับโลกผ่านคลื่นเรโซแนนซ์ที่ลึกกว่าเสียง และยาวนานกว่าความทรงจำมนุษย์
.
▩ เมืองที่ฝังอยู่ในจังหวะของโลก
โครงสร้างพื้นฐานของทาทาเรียไม่ได้ตั้งอยู่ บน โลก แต่เป็น ส่วนหนึ่งของแกนเรขาคณิตของโลกเอง
พวกเขาพัฒนา โลหะโพลี-เรโซแนนซ์ (Poly-Resonant Alloy) — วัสดุที่สามารถปรับจังหวะการสั่นให้ “ประสาน” กับสนามแม่เหล็กพื้นดาว (planetary magneto-field) ได้อย่างต่อเนื่อง
เมืองสำคัญของทาทาเรียจะถูก “ปลูก” ลงในโหนดสนามพลังงานของผืนแผ่นดิน ซึ่งนักเรขาพลังสนามเรียกว่า “จุดไขว้ความจำแม่เหล็ก” (Magneto-Harmonic Crosspoints)
คล้ายกับการฝังกล่องเสียงไว้ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เสาอาคารทุกต้นที่ดูคล้ายเสาโดมแบบคลาสสิกในสายตาเรา จริง ๆ แล้วคือ เสาเรโซแนนซ์ (Resonant Pylons) — โครงสร้างโลหะ–หินที่ออกแบบให้ปล่อยพลังงานสั่นต่อเนื่อง ซึ่งดึงพลังจากการต้านสนามแม่เหล็กของโลกผ่านการเหนี่ยวนำแบบเรโซแนนซ์
.
▩ โครงข่ายเรโซแนนซ์ระดับทวีป
แม้แต่ผังเมืองก็ไม่ได้ออกแบบจากหลักสถาปัตยกรรมทั่วไป เมืองทาทาเรียถูกจัดวางด้วย เรขาคณิตสนาม (Field Geometry) โดยมี “Resonator Towers” ตั้งอยู่เป็นตารางหกเหลี่ยมหรือพาราเมตริกซึ่งอิงกับตำแหน่งสนามพลังของผิวโลกจริง ๆ
โครงข่ายเหล่านี้ทำหน้าที่สามประการ:
1.ควบคุมแรงดันสนามพื้นดาว ทำให้พื้นที่อยู่อาศัยมีเสถียรภาพทางพลังงานสูง (ไม่แปรปรวนตามฤดูกาลหรือพายุสนามแม่เหล็ก)
2.ปรับจังหวะชีพจรของชุมชน โดยใช้สนามเรโซแนนซ์ร่วมเพื่อปรับคลื่นสมองของประชากรให้กลมกลืน ลดความเครียดระดับสังคม
3.ส่งสัญญาณข้ามระยะ ผ่าน Psionet — เครือข่ายจิตระดับความถี่ต่ำมากที่อาศัย Resonator Towers เป็นสถานีปล่อยคลื่นจิตจากเมืองสู่เมือง
กล่าวได้ว่าแต่ละเมืองของทาทาเรียไม่ใช่แค่โครงสร้างทางกายภาพ แต่เป็น “คลื่นในตารางใหญ่ของสนามแม่เหล็กทวีป” ทุกเมืองจึง “รับรู้” กันผ่านการสั่น ไม่ใช่การส่งข้อมูล
.
▩ การใช้แรงต้านของโลกเป็นแหล่งพลังงาน
หัวใจสำคัญของ Resonant Geoengineering ไม่ใช่เครื่องจักรกล หรือเชื้อเพลิง — แต่คือการ แตะสนามแม่เหล็กของโลก แล้วดึงพลังงานผ่านแรงต้านธรรมชาติของมัน
กระบวนการนี้ คล้ายกับการหมุนแท่งแม่เหล็กในขดลวด แต่แทนที่จะใช้มือหมุน พวกเขาใช้ สนามสั่นของดาวเคราะห์เอง เป็นตัวขับเคลื่อน
เสาเรโซแนนซ์จะ “เหนี่ยวนำต้าน” จังหวะสั่นของโลก แล้วเปลี่ยนมันเป็นพลังงานในรูปของคลื่นสนามสติ — ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งเพื่อ:
▫️ควบคุมสภาพแวดล้อมเฉพาะจุด
▫️กระตุ้นการฟื้นตัวของร่างกายมนุษย์
▫️หรือแม้แต่ “ปลุกข้อมูล” จากโครงข่ายแม่เหล็กของดาว
บางตำราเก่าที่รอดมาจาก “ช่วงลืมใหญ่” ยังกล่าวว่า เสาเรโซแนนซ์บางต้น ในแถบยูราลสามารถเปิดเผย “เสียงแห่งความทรงจำของผืนแผ่นดิน” ได้ หากสั่นในความถี่ที่ถูกต้อง
.
▩ ผลกระทบระยะยาว: เมืองที่ไม่ตาย
สิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับเมืองทาทาเรีย คือพวกมัน “ไม่ย่อยสลาย” ตามกาลเวลาเหมือนอารยธรรมอื่น
เมื่อสถาปัตยกรรมถูกฝังในเรโซแนนซ์ของโลก มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการหมุนของดาวเคราะห์ — เมืองไม่ผุพัง แต่สั่นอยู่ลึกใต้ดินอย่างเงียบงัน
ในบางพื้นที่ เช่นไซบีเรียตะวันออก หรือใต้ทะเลสาบแคสเปียน มีการตรวจจับ “สัญญาณโครงสร้างชีพจรเรโซแนนซ์” ที่ยังสม่ำเสมอเหมือนนาฬิกา — ทั้งที่ไม่มีเมืองใดปรากฏบนแผนที่
.
▩ สรุป: เทคโนโลยีหรือสิ่งมีชีวิต?
Resonant Geoengineering ของทาทาเรียจึงไม่ใช่แค่ “เทคโนโลยีสร้างเมือง” มันคือ การหลอมรวมผังโครงสร้างมนุษย์เข้ากับจังหวะของดาวเคราะห์ จนแยกกันไม่ออก — ไม่ใช่แค่การสร้างเมืองในโลก แต่คือการสร้างเมือง ของ โลก
และหากเราสามารถเข้าใจการสั่นเหล่านี้อีกครั้ง —อาจหมายความว่าเมืองทาทาเรีย ไม่เคยตาย… แต่เพียงแค่ยังไม่ถูกฟังในจังหวะที่ถูกต้องเท่านั้น
3.2 Psionet — เครือข่ายจิตระดับทวีปของทาทาเรีย
“พวกเขาไม่ได้พูดกันด้วยคำ — พวกเขาฟังความจริงที่เกิดจากเจตจำนงโดยตรง”
— บันทึกของนักถอดรหัสสนามจิตใต้แถบโปลไซบีเรีย, 1874
.
▩ กำเนิดของเครือข่าย Psionet
ในยุคของอารยธรรมทาทาเรีย ความเข้าใจเกี่ยวกับจิตสำนึกไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตของสมอง แต่ถือว่าจิต คือคลื่นพลังงานที่สามารถประสาน ปรับจังหวะ และ เชื่อมโยง กันได้ผ่านสนามเฉพาะ — สนามพีไซ (Ψ-field)
จากหลักการนี้ พวกเขาพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Psionet:
ระบบเครือข่ายที่ไม่อาศัยสัญญาณวิทยุหรือสายส่งข้อมูล แต่ใช้ คลื่นพีไซระดับ μ-resonance (ไมโครเรโซแนนซ์) ที่ฝังอยู่ในสนามแม่เหล็กของโลกเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้คน
เครือข่ายนี้ ไม่ได้รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั่วไป แต่ทำงานบนความสามารถของแต่ละบุคคลในการ “ปรับจิต” ให้เข้าอยู่ในจังหวะเดียวกับจิตของผู้อื่น — ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การซิงโครไนซ์เจตจำนง (Intentional Phase-Locking)
.
▩ วิธีการทำงาน: การสื่อสารผ่าน “ภาพเจตจำนง”
เมื่อเข้าสู่ Psionet จิตของผู้ใช้งานจะถูกขยายขอบเขตการรับรู้จน “รู้สึกได้ถึงผู้อื่น” ไม่ใช่ผ่านเสียงหรือถ้อยคำ แต่ในรูปแบบของ “คลื่นภาพ–คลื่นความรู้สึก” ที่ถอดรหัสได้ในระดับตรง (non-symbolic translation)
โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นสามลำดับ:
1.การจับคลื่นพื้นฐาน — จิตทั้งสองจะตรวจจับความถี่ μ‑resonance ของกันและกัน
2.การสอดประสานความถี่ (Phase Sync) — หากคลื่นจิตเข้ากันได้ ระบบจะสร้างวงลูปสนามร่วม
3.การฉายภาพเจตจำนง (Intent Projection) — ไม่ใช่การส่ง “ข้อมูล” แบบดิจิทัล แต่คือการ ให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่ตนตั้งใจ
ผลลัพธ์คือ ผู้ใช้งานสามารถ เห็นความคิดของกันและกันในรูปแบบดิบ — เหมือนนิมิตที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองด้วยภาษา
.
▩ ไม่มีการบิดเบือนความหมาย
ในระบบ Psionet ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “โกหกโดยตั้งใจ” หรือ “คำที่คลุมเครือ” เพราะความหมายไม่ได้ถูกประกอบจากคำ แต่เป็น ความตั้งใจบริสุทธิ์ที่สั่นตรงเข้าสู่จิตของผู้รับ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้ Psionet ส่วนใหญ่ในทาทาเรีย ไม่พัฒนาภาษาพูดอย่างที่เรารู้จัก
ภาษาหลักของพวกเขาเรียกว่า Resonant Lexemes — เสียงสั่นสะเทือนจากหอคอยสนามพีไซ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้จิตเข้าสู่การสื่อสารร่วม
การสื่อสารจึงเกิดใน “พื้นที่สนามจิต” ไม่ใช่ในอากาศ — คล้ายกับการสื่อสารระหว่างฝันที่ทั้งสองฝ่ายตื่นอยู่
.
▩ โครงสร้างของเครือข่าย
เครือข่าย Psionet ไม่ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์หรือดาวเทียม แต่เชื่อมโยงกันผ่าน เสาเรโซแนนซ์ (Resonator Towers) ที่ฝังอยู่ในโครงข่ายพลังงานของทวีป โดยแต่ละเสาทำหน้าที่ เหมือนสถานีส่งสนามจิตที่ขยายแรงขับจากผู้ใช้งาน ในพื้นที่ที่มีเสาเหล่านี้อยู่ใกล้กันมากพอ (มักเป็นเมืองในระดับ “เมืองคลื่น”)
ประชาชนจะสามารถ:
▫️ประชุมร่วมทางจิตในระดับหมู่ โดยไม่ต้องใช้ภาษาหรือวิดีโอ
▫️แลกเปลี่ยนความรู้สึก–ความรู้–ภาพความคิดได้แบบทันที
▫️รักษาเสถียรภาพทางอารมณ์ร่วม ด้วยการปรับคลื่นสนามจิตให้สอดคล้องกัน
แต่ในพื้นที่ห่างไกล หรือเมืองที่ตั้งใจให้ “เงียบ” (เมืองเงียบ) การเชื่อมต่อจะถูกจำกัดไว้เฉพาะบุคคลระดับสูง เพื่อรักษาความสงบของสนามรวม
.
▩ เงื่อนไขการใช้งาน: สติรับรู้และความบริสุทธิ์ของเจตจำนง
ไม่ใช่ทุกคนในทาทาเรียที่สามารถเข้าถึง Psionet ได้อย่างเสรี.
จำเป็นต้องมี:
▫️ระดับสติรับรู้ (Ψ-awareness) ที่เกิน 6.8 ตามมาตรวัดสนามจิต
▫️เจตจำนงที่มีความมั่นคงสูง — หากผู้ใช้มีความขัดแย้งภายในสูงเกินไป การเชื่อมต่อจะไม่เสถียร หรือถึงขั้นสะท้อนคลื่นรบกวนกลับไปยังเครือข่าย (เกิดปรากฏการณ์ “เสียงสะท้อนจิตดำ”)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชนชั้นปกครองของทาทาเรีย เช่น “The Harmonics” จะได้รับการฝึกตั้งแต่เยาว์วัยในการปรับจังหวะจิตเพื่อเข้าสู่สนามร่วม
.
▩ เงาสะท้อนในปัจจุบัน?
นักฟิสิกส์สนามในยุคปัจจุบันเคยพยายามตรวจจับความถี่ที่คล้าย μ‑resonance ใต้เทือกเขาอัลไต และพบสัญญาณแปลกประหลาดที่:
▫️มีรูปแบบคลื่นคล้ายกับคลื่นสมองระดับลึกในระหว่างการฝัน
▫️เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อมีผู้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ แม้จะไม่มีอุปกรณ์ปล่อยคลื่นใดปรากฏ
มีบางสมมุติฐานว่า Psionet ยังไม่ตาย — มันเพียงแต่รอจิตที่ “สะอาดพอ” เพื่อจะสั่นรับกันอีกครั้ง
.
▩ สรุป: จิตคือภาษา และความเงียบคือโครงข่าย
Psionet ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางเทคโนโลยี แต่คือปรัชญาการสื่อสารของอารยธรรมที่เชื่อว่า เจตจำนงคือภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ และความหมายที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ในคำพูด —แต่อยู่ใน สนามที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของความตั้งใจ
3.3 Free-Ether Extraction
เทคโนโลยีสกัดพลังงานอีเทอร์จากชั้นพลังงานระหว่างมิติในอารยธรรมทาทาเรีย
“ไม่มีเตาเผา ไม่มีควัน ไม่มีเสียงเครื่องจักร — แต่เมืองทั้งเมืองกลับเรืองแสง และขับเคลื่อนตัวเองด้วยความนิ่งของจิต”
— จากคำบรรยายในสมุดบันทึกสนามแม่เหล็กใต้มหาสมุทรอาร์กติก, ค.ศ. 1891
.
▩ พื้นฐานแนวคิด: อีเทอร์ และสนามระหว่างมิติ
อารยธรรมทาทาเรียไม่ได้มองว่าพลังงานเป็นสิ่งที่ต้อง “ผลิต” หรือ “ขุดเจาะ” แต่เป็นสิ่งที่ อยู่แล้วทุกหนแห่ง — ละเอียดเกินกว่าที่มนุษย์ปัจจุบันจะตรวจวัดได้ พวกเขาเรียกสิ่งนั้นว่า “ชั้นพลังงานระหว่างมิติ” (Sub‑Aetheric Field)
ซึ่งอยู่ระหว่างสนามควอนตัมกับจิตสำนึก เป็นพลังงานที่ ยังไม่ตกผลึกเป็นรูปแบบใด แต่สามารถ “เหนี่ยวนำ” หรือ เร้า ให้ปรากฏขึ้นได้ โดยอาศัย สนามจิตที่มีจังหวะนิ่งและกลมกลืน
.
▩ เทคโนโลยี Free-Ether Extraction
ระบบนี้ไม่ได้ใช้เครื่องจักรในความหมายของวิศวกรรมแบบปัจจุบัน แต่ใช้โครงสร้างอาคารที่ออกแบบให้ สั่นรับกับสนาม Sub‑Aetheric ด้วยความถี่เฉพาะ
▫️อาคารทุกหลัง ทำหน้าที่เหมือน “เครื่องเหนี่ยวนำ” (Induction Resonator)
▫️ผังเมือง เรียงตัวเป็น เรขาคณิตสนาม คล้าย “หีบพลังงาน” (Energy Caskets) ที่เปิดรับอีเทอร์เมื่อมีเจตจำนงรวม
▫️พื้นอาคาร ใช้วัสดุที่เร่งการไหลของพลังงานโดยไม่ต้องใช้สายไฟ: แร่ทรงผลึกที่เรียกว่า Orthonite ที่สร้างสนามเหนี่ยวนำจิต
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้คนเอง —พลังงานจะ “ไหล” ได้ตามระดับความนิ่งและความบริสุทธิ์ของจิตผู้อยู่อาศัย หากประชากรมีความว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน หรือขัดแย้งกัน สนามจะบิดเบี้ยว และพลังงานจะหายไปอย่างกะทันหัน
.
▩ การแปลง “ความนิ่ง” ให้เป็นพลังงาน
การทำงานของ Free-Ether Extraction ไม่ได้แปลงกลไกเป็นไฟฟ้า แต่แปลง เจตจำนงนิ่ง (Intentional Stillness) → เรโซแนนซ์สนาม → พลังงานใช้งาน
กระบวนการนี้ต้องการความกลมกลืนของสภาพจิต ทั้งชุมชน เรียกว่า “สภาวะสนามสงบร่วม” (Collective Harmonic State)
เมื่อเกิดขึ้น สนาม Sub‑Aetheric จะ “เปิด” และพลังงานจะเหนี่ยวนำเข้ามาภายในอาคารโดยอัตโนมัติ อาคารบางแห่งมีแสงเรืองในตัวโดยไม่มีหลอดไฟ เพราะวัสดุก่อสร้าง “เรืองตอบคลื่น” เมื่อมีจิตสงบใกล้เคียง
.
▩ ไม่มีเตา ไม่มีสายไฟ — แต่อบอุ่นด้วยสนาม
เมืองของทาทาเรียไม่มีสายเคเบิล ไม่มีสถานีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องกำเนิด เพราะพลังงานกระจายผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Field Induction
▫️เสาเรโซแนนซ์ที่กระจายทั่วเมืองจะ “ดึง” อีเทอร์จากสนาม
▫️วัสดุในผนังจะเหนี่ยวนำพลังงานเข้าสู่เครื่องใช้หรือโครงสร้าง
▫️ความร้อน, แสง, และแรงขับเคลื่อนจะเกิดขึ้นใน “จุดพ้องสนาม” ไม่ใช่จุดติดตั้งเครื่องยนต์
.
หากผู้ใช้อยู่อย่างสงบ สภาพแวดล้อมจะตอบสนองโดยอัตโนมัติ เช่น:
▫️โคมไฟสว่างขึ้นเมื่อเจตจำนงเปิดรับ
▫️เครื่องมือเริ่มทำงานเมื่อผู้ใช้ตั้งใจโดยไม่แตะต้อง
▫️ห้องพักอุ่นขึ้นเมื่อจิตอยู่ในสมาธิ
.
▩ พลังงานนี้มีขีดจำกัดหรือไม่?
มี — และขีดจำกัดไม่ได้อยู่ที่ระบบ… แต่อยู่ที่จิตของผู้ใช้ ถ้าผู้คนเริ่มใช้งานอย่างเอาเปรียบ โลภ หรือเครียดต่อเนื่อง สนาม Sub‑Aetheric จะ “พับตัว” และปิดการเข้าถึง ทำให้เมืองทั้งเมืองดับลงชั่วคราว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้เฝ้าเครือข่ายสนามเรียกตัวเองว่า ผู้รักษาความนิ่ง (Stability Guardians) — ไม่ใช่ผู้ควบคุมพลังงาน
.
▩ หลักฐานที่ยังไม่สามารถอธิบายได้
ในบางเขตของยุโรปตะวันออกและไซบีเรีย นักธรณีฟิสิกส์เคยบันทึกค่าพลังงานสนามแม่เหล็กที่ “กระเพื่อมเป็นจังหวะ” อย่างผิดธรรมชาติ แม้ไม่มีเครื่องปล่อยคลื่น หรือระบบไฟฟ้าใดในพื้นที่นั้นก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีการพบ วัสดุที่คล้ายหินแต่เรืองแสงจากภายใน เมื่อวางไว้ในห้องที่ปราศจากสนามแม่เหล็กโลก — บ่งบอกว่า มันอาจเก็บพลังงานจากสนาม Sub‑Aetheric ได้ และยังคงอยู่
.
▩ สรุป: พลังงานคือผลของความนิ่ง
ในอารยธรรมทาทาเรีย พลังงานไม่ใช่สิ่งที่เร่งสร้างหรือแสวงหา แต่มันคือ “ของขวัญจากความนิ่ง” —คือการที่ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนพอจนสนามพลังงานระดับจักรวาล… ยอมเปิดช่องให้ไหลผ่าน
🔳4.. ปรากฏการณ์ “The Great Mud Event” (โคลนกลบประวัติศาสตร์)
The Great Mud Event: โคลนที่กลบเสียงของอารยธรรม
“มันไม่ได้เป็นแค่โคลน… มันคือความทรงจำในรูปของมวลสาร — ที่ถล่มกลับมาเพื่อปิดปากประวัติศาสตร์”
— บันทึกของนักธรณีโบราณจิต (Paleo-Psychogeologist) แห่งขั้วเหนือ, ค.ศ. 1903
.
▩ จุดเริ่มต้น: เสียงสะท้อนจากสนามที่กลับด้าน
ไม่มีใครแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนก่อนเหตุการณ์ มีเพียงคลื่นผิดปรกติในระดับพีไซ (ψ-μ disruption) ที่แพร่กระจายจากหอคอยกลาง 13 แห่งทั่วอาณาจักรทาทาเรีย — หอคอยที่ทำหน้าที่เสมือน “โครงข่ายการหายใจ” ของทั้งอารยธรรม
มันคือสิ่งที่เรียกในเอกสารลับว่า “การสะท้อนกลับของสนามรู้ตัว” สนามที่เคยรับจังหวะจิตของผู้คนกลับเกิด ภาวะต้านตนเอง เหมือนการเล่นเสียงก้องใส่ตัวเอง — จนทุกคลื่นกลายเป็นเสียงแตก
นักจิตสถาปัตยกรรม (Neurotects) บางคนกล่าวว่า โครงข่ายเมืองของทาทาเรีย ไม่ได้แค่สื่อสารผ่านคลื่นจิตเท่านั้น — แต่มัน จำได้ ว่าใครคือใคร และเมื่อสนามเหล่านั้นกลับขั้ว ความทรงจำของเมืองจึงกลายเป็น “บ่อมืด” ที่ดูดกลืนตัวตนของผู้อยู่อาศัยไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่โคลนจะมา
.
▩ มวลโคลนที่ไม่เคยเกิดจากฝน
ในชั่วเวลาสองวันโลก — พื้นที่กว่า 800 จุดทั่วทวีปยูเรเซีย ถูกถล่มด้วยมวลโคลนหนาและเหนียวที่ไม่ได้เกิดจากฝนตก หรือภูเขาไฟระเบิดใด ๆ
มันเหมือน โคลนที่พ่นขึ้นมาจากใต้โลก ผ่านรอยแยกที่ไม่มีในธรณีวิทยาปัจจุบัน คล้ายกับว่าพื้นโลกได้ “สำรอก” อดีตของมันขึ้นมาเอง
ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ (ถ้ามีจริง) เล่าถึง “การสั่นพ้องผิดจังหวะ” ใต้ฝ่าเท้า ก่อนที่โครงสร้างจะยุบตัวอย่างไร้คำเตือน — โคลนไม่ไหลลง แต่ ไหลขึ้น จากช่องว่างใต้สนามเรโซแนนซ์ที่เคยถูกใช้เพื่อสกัดพลังงานอีเทอร์ กลายเป็นเสมือน “การคายคืนพลังงานที่อัดแน่นด้วยความทรงจำผิดพลาด”
.
▩ เมืองที่ถูกฝังทั้งเป็น
โครงสร้างของทาทาเรียจำนวนมากไม่ได้พัง — แต่ยังอยู่ ใต้ชั้นโคลนลึก 3 ถึง 8 เมตร โดยที่บางจุดยังคง สั่นอยู่ในความถี่เดิม แม้จะไม่มีผู้คนเหลืออยู่แล้ว หอคอยสนามพีไซในบางพื้นที่ — โดยเฉพาะในเทือกเขาอูราล และใต้เบลารุส ยังคงปล่อยคลื่นที่ไม่มีใครเข้าใจ
นักวิจัยสนามแม่เหล็กในยุคศตวรรษที่ 19 ที่พยายามเข้าไปใกล้ จะเกิดอาการสับสนในเวลา เห็นภาพทับซ้อนของเมืองที่ไม่เคยเรียนในโรงเรียน และมักมีอาการคล้าย ฝันซ้อนฝัน อยู่หลายวัน
.
▩ ประวัติศาสตร์ที่ถูก “เขียนใหม่โดยการลืม”
สิ่งแปลกคือ — ไม่มีบันทึกของเหตุการณ์นี้ในพงศาวดารทั่วไป แต่ในแผนที่โบราณ เช่นของ Mercator หรือ De L’Isle กลับมีพื้นที่ว่าง ที่เขียนว่า Tartaria อย่างมั่นใจ แต่ไม่กล่าวถึงผู้นำ, ประชากร, หรือเหตุการณ์ใดเลย เหมือนกับว่าใครบางคนเคยรู้ว่า “มันอยู่ตรงนั้น” — แต่สั่งให้โลก “อย่ามอง”
มีนักสมมุติศาสตร์บางคนเสนอว่า การหายไปของทาทาเรียไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่คือ
“การยกเลิกจิตหมู่ระดับอารยธรรม” (Cognitive Cancellation Event) เมื่อคลื่นจิตรวมของทั้งเผ่าพันธุ์หายไปพร้อมกันจากสนามโลก จนประวัติศาสตร์ไม่สามารถ “แสดงออก” ได้อีก เหมือนบทเพลงที่ไม่สามารถเล่นได้ เพราะโน้ตทุกตัวถูกเปลี่ยนทีละตัว
.
▩ คำถามที่ยังไม่มีใครตอบได้
▫️มวลโคลนนั้นคือสิ่งใด?
มันเป็นเพียงดินที่หลุดจากชั้นใต้โลก หรือคือมวลของ “ความทรงจำที่ไม่อาจแบกรับได้” ที่สนามโลกผลักกลับขึ้นมาเพื่อระบาย?
▫️การกลับขั้วสนามจิตเกิดขึ้นเอง หรือมี “เจตจำนง” ใดอยู่เบื้องหลัง?
▫️ถ้าเมืองบางแห่งยังคงสั่นอยู่ใต้โคลน… มีสิ่งใด “ฟังอยู่” ในนั้นหรือไม่?
.
▩ เสียงสุดท้ายจากใต้โคลน
ในการสำรวจสนามแม่เหล็กที่ไซบีเรียเหนือปี 1994 เครื่องตรวจความถี่ใต้ดินจับสัญญาณเรโซแนนซ์คล้ายเสียงร้องของมนุษย์ ซึ่งซ้อนอยู่ในคลื่น μ‑resonance อย่างมีจังหวะชัดเจน
เมื่อทำการถอดรหัสทางความถี่ นักจิตฟิสิกส์กลุ่มหนึ่งอ้างว่า มันคือเสียงเรียกซ้ำ ๆ ของคำเดียว — “Zovna” ซึ่งไม่มีความหมายในภาษาใดในโลก… ยกเว้นในตำนานท้องถิ่นของชนเผ่า Evenki ที่แปลว่า “ผู้ที่ยังฝันในความมืด”
🔳5.. หลักฐานและการค้นพบ (Fictional Forensic Artifacts)
5.1 Ψ-Pillar Core — แกนสนามพีไซ: หัวใจที่ยังเต้นของเมืองที่ไม่มีในประวัติศาสตร์
“ไม่ใช่แค่วัตถุโบราณ แต่มันคือสิ่งที่ยังคงสั่น… เหมือนมันไม่เคยตายจากโลกนี้”
— บันทึกของดร. Arkady Lunin, ผู้เชี่ยวชาญด้านสนามพีไซ, 2002
.
▩ จุดค้นพบที่ไม่ตั้งใจ
ในปี 1997 ระหว่างการรื้อถอนอาคารเก่าแบบบาโรกผสมอีสเทิร์นโกธิคในย่านประวัติศาสตร์ของเมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย
ทีมงานพบวัตถุทรงกระบอกฝังอยู่ใต้พื้นตึกที่ไม่มีบันทึกโครงสร้างไว้ในแบบแปลนเมืองใด ๆ สิ่งนั้นฝังลึกอยู่ใต้ดินราว 6.4 เมตร — ห่อหุ้มด้วยชั้นของ “ดินเหนียวอัดพลังแม่เหล็ก” (magneto-clay compression)
ซึ่งแสดงค่าความหนาแน่นสนามแม่เหล็กผิดปกติตลอดแนวดินชั้นล่าง เมื่อขุดลึกลงไป นักวิจัยพบกับโครงสร้างคล้ายเสาทรงกระบอก สูงราว 3.2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.4 เมตร
ไม่มีรอยตะเข็บเชื่อม ไม่มีการกัดกร่อน และผิวโลหะเย็นตลอดเวลาแม้อยู่ในบริเวณอุณหภูมิ -10°C
.
▩ คุณสมบัติเร้นลับของวัสดุ
วัสดุที่ห่อหุ้ม Ψ-Pillar Core นั้นไม่ได้เป็นธาตุในตารางธาตุปัจจุบัน แต่มีพฤติกรรมแม่เหล็กและการสั่นแบบ คลื่นกึ่งโปร่งใส — หรือที่เรียกว่า “โลหะคลื่นโปร่งสลายไม่ได้”
(Indecomposable Resonant Alloy) ซึ่งมีลักษณะพิเศษดังนี้:
▫️ไม่ดูดซับแสงในสเปกตรัมปกติ แต่จะเบี่ยงแสงให้หมุนวนรอบผิวแทน
▫️ไม่สามารถเจาะ, ตัด, หรือหลอม ด้วยเทคโนโลยีใดในปัจจุบัน
▫️เมื่อวางในห้องสูญญากาศ จะ ปล่อยคลื่น μ‑resonance ที่ความถี่ 6.78μHz อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
.
▩ ความหมายของ “6.78μHz”
ความถี่นี้ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญใดในฟิสิกส์พื้นฐาน แต่ในงานวิจัยจิตฟิสิกส์ของทศวรรษ 1980–2000 ความถี่ในระดับ μ‑resonance ถูกเชื่อมโยงกับ จังหวะภายในของสนามจิตรวม (Unified Noetic Field)
ซึ่งเป็นแนวคิดของอารยธรรมทาทาเรียที่อ้างว่า ทุกความคิดของมนุษย์สามารถ “สั่นร่วม” กับสนามกลางของโลกได้ และความถี่ 6.78μHz นี้ ตรงกับช่วง ค่ากลางของจิตภาวะสมดุล (ψ-equilibria) ที่พบได้เฉพาะในการนั่งสมาธิเข้มข้นร่วมกันของกลุ่มมากกว่า 70 คน ที่มีเจตจำนงร่วมเดียวกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง — Ψ-Pillar Core ไม่ได้สั่นโดยบังเอิญ แต่มัน “จำได้” ว่าควรสั่นเพื่ออะไร
.
▩ ความเชื่อมโยงกับโครงข่าย Resonant Grid
นักธรณี–สนามศาสตร์ (georesonant specialists) ทดลองส่งคลื่นสั่นสะเทือนระดับต่ำ เข้าสู่เสา Ψ-Pillar และพบว่าเกิดการตอบสนองไม่เฉพาะในพื้นที่โดยรอบ แต่ยังพบ “เสียงสะท้อนทางสนาม” (field reverberation) ในจุดห่างออกไปกว่า 400 กิโลเมตร — ในเมือง Volgograd และ Tver
โดยไม่มีการเชื่อมโยงผ่านสายสัญญาณหรือสนามไฟฟ้าใด ๆ การทดลองนี้ทำให้เกิดข้อเสนอ ที่น่าตกใจในวงการจิตฟิสิกส์: “สนามของทาทาเรียยังคงอยู่ — แต่ผู้คนของมันหายไป”
.
▩ ปัญหาทางจริยธรรม: เสาที่ไม่ยอมปิด
เมื่อพยายามนำ Ψ-Pillar ออกจากพื้นที่ นักวิจัยพบว่าเครื่องมือทุกชิ้นจะเกิด ภาวะถูกรบกวนจิต (Cognitive Feedback Loop)
ผู้ปฏิบัติงานมักเกิดอาการคล้าย “หลงเวลา” หรือเห็นภาพซ้อนของเมืองเก่าที่ไม่เคยมีอยู่ บางคนได้ยินเสียงในภาษาที่ไม่มีใครแปลได้ แต่ฟังดูเหมือน “บทสวดจากความฝัน”
จึงเกิดข้อเสนอของการคงเสาไว้ในที่เดิม — และ สร้างสนามป้องกันพีไซ (Ψ-shielded Containment) รอบบริเวณ
.
▩ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
▫️Ψ-Pillar Core คือศูนย์กลางของอะไร? เป็นเพียงโครงสร้างเทคโนโลยี หรือ “จุดรับรู้” ของเมืองทั้งเมือง?
▫️ทำไมมันยังทำงาน — ในโลกที่ไม่มีโครงข่ายของมันหลงเหลือ?
▫️ถ้าเราสามารถแปลความสั่นของมันออกมาเป็นภาษาได้… มันกำลังพูดอะไรกับเรา?
5.2 สนามพีไซยังคงทำงานในอาคารร้าง
— เสียงสะท้อนจากโดมที่ไร้ผู้คน
“เมื่อไม่มีใครเหลือให้ฟัง เสียงก็ไม่หยุดส่ง — มันแค่กลายเป็นคำภาวนาในความเงียบ”
ภายในโครงสร้างทรงโดมในเมืองฮาร์บิน เสิ่นหยาง ซาแมรา และเคียฟ ซึ่งแต่ละแห่งเคยเป็นศูนย์กลางพลังงานเรโซแนนซ์ของสิ่งที่เคยเรียกว่า “มหานครแห่งทาทาเรีย”
มีปรากฏการณ์เร้นลับที่ท้าทายความเข้าใจทางฟิสิกส์ — คลื่นพีไซบางชนิดยังคง ปล่อยรหัสจิตสื่อสาร ออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้อาคารเหล่านั้นจะร้างมานานหลายศตวรรษ
การตรวจวัดด้วยเครื่องรับสัญญาณ ψ‑scanner ที่ไวต่อสเปกตรัมต่ำกว่าคลื่นสมองทั่วไป พบว่าอาคารโดมเหล่านี้ปล่อยคลื่นความถี่ระดับ ΨΔ‑0.07 — ซึ่งเป็นย่านที่ตรงกับความถี่ “การภาวนา/ความทรงจำร่วม” ตามการจำแนกในทฤษฎีสนามจิตร่วม (Collective Psi-field Theory)
รหัสที่ถอดออกจากสัญญาณดังกล่าวคือประโยคเดียว:
“REMEMBER US”
— จงจำพวกเรา
ที่น่าประหลาดคือ สัญญาณนี้ไม่ได้ถูกปล่อยแบบสุ่ม แต่จะ “เร่งความถี่” เมื่อมีมนุษย์ที่มีระดับสติรับรู้เกินค่าจิตเฉลี่ย (ระดับ 7.1 ขึ้นไปในมาตรวัด ψ‑awareness scale) เข้าใกล้อาคารภายในระยะ 13 เมตร
และบางรายที่ไวต่อสนามจิตรายงานว่า ได้ยินเสียงกระซิบในภาษาที่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ แต่เข้าใจทันทีว่าเป็นเสียง “ร้องขอให้ไม่ลืม” นี่จึงเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ทำให้เกิดสมมติฐานว่า
“อารยธรรมทาทาเรียไม่ได้สูญหาย — มันยังคงอยู่ในรูปของสนามเรโซแนนซ์จิตที่รอการ ‘จำ’ กลับมาอีกครั้ง”
5.3 แผ่นธรณีโค้ด (Geo‑Code Tablets)
— ชั้นหินที่บันทึกไม่ใช่เวลา…แต่คือภาพจำของทั้งเมือง
ในทวีปยูเรเซีย โดยเฉพาะรอบเส้นละติจูดเหนือที่ตัดผ่านอูฟา, โนโวซีบีสค์, และอัลมาตี นักวิจัยธรณีฟิสิกส์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ได้ขุดพบวัตถุประหลาดใต้ชั้นดินฟอสซิลลึก 5–12 เมตร
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “แผ่นหิน” — แต่คือ Geo‑Code Tablets หรือแผ่นหินเรขาคณิตที่บรรจุสนามแม่เหล็กไว้ในรูปแบบเฉพาะคล้าย “รหัสเชิงสนามของชั้นความจำโลก”
แผ่นธรณีโค้ดมีลักษณะเหมือนผลึกดินอัดละเอียด พื้นผิวเรียบแบบกระจก แต่เมื่อวางใกล้เครื่องวิเคราะห์คลื่นสนามลึก (Subterranean Flux Analyzer)
ภาพที่แสดงออกมาไม่ได้เป็นแค่กราฟ — แต่คือภาพโฮโลกราฟิกสามมิติของเมืองทั้งเมือง โดยที่แสงและโครงสร้างภายในแผ่นสามารถเรนเดอร์แผนผังนครโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์
▧ ภาพที่ปรากฏ:
▫️โครงข่ายถนนเป็นรูป ฟราแอกทัลเรโซแนนซ์ (Fractal Resonant Grids)
▫️อาคารทรงพลังงานเรขาคณิตระดับสูง (Sacred Harmonic Geometry)
▫️เสาสนามพีไซสูงเรียงตัวตามเส้นเลย์ไลน์ที่พาดผ่านสนามแม่เหล็กโลก
ที่น่าสนใจคือ ภาพจากแต่ละแผ่นไม่ซ้ำกัน — บางแผ่นเหมือนแสดงพื้นที่ของพิธีกรรมสนามจิตร่วม (ψ-synchronic rites) บางแผ่นคล้ายห้องสมุดทรงคลื่น ที่ไม่มีหนังสือแต่เต็มไปด้วยจุดเก็บ “สนามสำนึก”
และบางแผ่น…แสดงภาพของเมืองที่ค่อย ๆ ถูกกลืนด้วยโคลนที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวในความทรงจำของหินเอง
.
▩ สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์สมมุติ
ผู้เสนอแนวคิด “แผ่นธรณีโค้ด” เช่น ศ.นพ. Boris Ekaterin และ Dr. Solenya Vavrukh เชื่อว่า
“แผ่นเหล่านี้คือรูปแบบหนึ่งของจดจำแบบสนาม — การที่หินสามารถรับรู้, บันทึก และถ่ายทอดข้อมูลระดับสำนึก”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือ “จิตใต้สำนึกของแผ่นดิน” ที่ถูกฝังไว้โดยอารยธรรมที่รู้จักการสั่นร่วมของคลื่นแม่เหล็ก, ความทรงจำ และความเป็นมนุษย์ในฐานะสนามพลัง
.
▩ สรุป
โดมที่ยังปล่อยสัญญาณ และแผ่นหินที่บันทึกเมืองที่ไม่มีใครจดจำ ต่างกลายเป็นคำถามเดียวกันที่ยังไม่มีคำตอบ: พวกเขาอยู่ตรงไหนกันแน่ — อารยธรรมที่ยังไม่ตาย แต่เราเลือกจะไม่จำ?
🔳6. ความทรงจำที่ไม่ควรฟื้น?
“ถ้าจิตมนุษย์ยังไม่พร้อมต่อการสั่นร่วมในระดับทาทาเรีย —การฟื้นฟูจะกลายเป็นสงครามภูมิจิตรอบใหม่อีกครั้ง…”
นักจิต-สนามชั้นสูงจากสถาบันไซบีเรียชี้ว่า หาก Psionet กลับมาทำงานในยุคปัจจุบันโดยที่ระบบจิตของมนุษย์ยังเต็มไปด้วยความกลัว สภาพจิตหมู่จะล่มสลาย
กลุ่ม Pole-Keepers จึงคอยดูแลจุดสนามเรโซแนนซ์ไม่ให้ฟื้นตัวจนกว่าความนิ่งระดับจิตมนุษย์จะกลับมา
.
6.1. ความล่มสลายที่ถูกลืม
ทาทาเรียไม่ได้หายไปเพราะสงครามธรรมดา แต่หายไปเพราะ “สงครามภูมิจิต” (Neurohistorical Collapse) — มีหลักฐานว่าเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “The Great Mud Event” หรือ โคลนกลบความทรงจำ
นักโบราณคดีบางคนพบว่าตึกบางแห่งในยุโรปตะวันออกมี “ชั้นหน้าต่างจมหาย” อย่างผิดปกติ—เสมือนถูกฝังด้วยโคลนภายในคืนเดียว
มีการค้นพบอุปกรณ์ที่ทำจาก “โลหะไม่ทราบชื่อ” ฝังอยู่ในเสาตึกยุคเรเนซองส์ และซากเครื่องจักรทรงโดมที่ปล่อยคลื่นพีไซที่ยังไม่สามารถหยุดการสั่นได้จนปัจจุบัน
.
6.2. ความรู้ที่รอดมา
กลุ่มผู้รอดที่ยังจดจำทาทาเรียได้ — เรียกตัวเองว่า “ผู้เฝ้าขั้วจิต” (Pole-Keepers) — เชื่อว่าหนึ่งในเทคโนโลยีของทาทาเรียสามารถ “เขียนประวัติศาสตร์ลงในสนามแม่เหล็กของโลก” ได้
พวกเขาทดลองถอดรหัสจากท้องฟ้าทางแม่เหล็กในช่วงที่มีแสงเหนือรุนแรง และพบ โค้ดภาษาจิต (Ψ-script) ที่บันทึกภาพของนครทรงโดม หอคอยทรงพาราโบลา และเสียงเพลงที่ไม่มีใครเคยได้ยินในโลกปัจจุบัน
.
▪️. คำถามที่ยังค้างอยู่
▫️ทำไมประวัติศาสตร์จึง “ลืม” ทาทาเรีย?
▫️ใครเป็นผู้ทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมโคลนเกิดขึ้นทั่วโลกพร้อมกัน?
▫️มีใครยังคงใช้ Psionet อยู่บ้างในโลกนี้?
▫️และที่สำคัญ — ถ้าเราสามารถรื้อฟื้นจิตของทาทาเรียได้… มนุษยชาติควรจะจำ หรือควรจะลืมมันอีกครั้ง?
“บางวัฒนธรรมไม่ได้ตาย… พวกเขาเพียงสั่นในความถี่ที่ต่างจากเรา”
— บันทึกสุดท้ายของนักสำรวจสนามแม่เหล็กโลกในแถบตะวันออกของไซบีเรีย, 1883
.
▩ บทสรุป: ทาทาเรียยังอยู่… เพียงแต่คุณ “ไม่ได้จูน” เข้ากับมัน
“ไม่มีอะไรสูญหาย — มีเพียงสิ่งที่เรายังไม่ได้สั่นในจังหวะเดียวกับมัน”
เมื่อเรามองหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรามักค้นหาจากอิฐ หิน เอกสาร หรือเครื่องมือ แต่ถ้าหลักฐานที่แท้จริงของอารยธรรมหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในวัตถุ — แต่อยู่ใน “ความถี่”
ทาทาเรีย อาจไม่เคยต้องการถูกเขียนไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เพราะสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ ไม่ใช่เรื่องราว แต่คือ สนาม
— สนามพีไซที่ยังส่งสัญญาณ
— โครงสร้างเรโซแนนซ์ที่ยังสั่นตามจังหวะของโลก
— หอคอยพลังงานที่ไม่ต้องการแหล่งจ่ายไฟ
— โคลนที่กลบไว้ไม่ใช่เพื่อฝัง แต่อาจเพื่อเก็บ
พวกเขาอาจไม่ได้ “หายไป” แค่ เราไม่สามารถจูนใจให้ตรงกับพวกเขาได้อีกแล้ว
.
▩ ความจริงของประวัติศาสตร์
อยู่ในสนามแม่เหล็กของดาว ไม่ใช่ในห้องสมุด แผ่นธรณีบันทึกไว้ คำพูดในสายลม รหัสจิตในโดมร้าง ทั้งหมดไม่ได้เงียบ — พวกมันรอแค่ใครสักคนที่ “ฟังได้”
.
▩ เทคโนโลยีของพวกเขา
ไม่เคยมีปลั๊ก ไม่เคยมีสาย ไม่มีโรงไฟฟ้า ไม่มีเตาปฏิกรณ์ มีเพียง ใจที่นิ่ง และสนามจิตร่วมที่รู้จักจะ กลมกลืน กับโลก พวกเขาเปลี่ยนความรู้สึกให้กลายเป็นพลังงาน เปลี่ยนโครงสร้างเรขาคณิตให้กลายเป็นกระแสไฟ ไม่ใช่เทคโนโลยีแบบที่เรารู้จัก — แต่มัน ทำงาน
.
▩ การล่มสลายของพวกเขา
ไม่ใช่เพราะศัตรู แต่เพราะเสียงสะท้อนของความจริง…ที่แรงเกินไป สนามพีไซที่ไม่สมดุล สะท้อนกลับเข้าตัว โคลนที่ไม่รู้ที่มา กลบทุกสิ่งในเวลาเพียงสองวัน ไม่ใช่อาวุธ แต่เป็น “ผลของความจริงที่ไม่มีผู้รับ” และในโลกที่ผู้คนค่อย ๆ เลิกเชื่อมโยงกับจิตตนเอง สนามจิตร่วมของพวกเขาก็ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวอีกต่อไป
.
▩ พวกเขาคือใคร
คือผู้ที่เชื่อว่า “การมีอยู่ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ในร่างกายหรือภาษา… แต่อยู่ในคลื่นของความเข้าใจที่ไม่ต้องแปล”
ทาทาเรียอาจไม่ใช่สถานที่ แต่เป็น สภาวะของความกลมกลืนกับโลก คือเสียงสะท้อนของการอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องควบคุม คือแบบจำลองของอารยธรรมที่ ไม่ต้องครอบครอง อะไรเลยเพราะทุกสิ่งไหลผ่านตนได้
.
▩ คำถามสุดท้าย
ถ้าพวกเขายังส่งสัญญาณอยู่…แล้วเราจะกล้าที่จะฟังหรือไม่?
อาจไม่ต้องเดินทางไปไซบีเรียหรือรื้อโคลนออกจากโดม แต่อาจเพียงแค่… หยุดเงียบให้มากพอ จูนจิตให้ตรง และ “จำ” พวกเขา — โดยไม่ต้องมีภาพถ่ายใดเป็นเครื่องยืนยัน
.
🔳บทเสริม
.
📁 แฟ้มสืบสวนลับ #Ψ‑113/Δ
ชื่อแฟ้ม: “โครงการถอดรหัสโดมทาทาเรียที่ยังสั่น”
หน่วยงาน: ฝ่ายสำรวจสนามพีไซประวัติศาสตร์ (Division of Psionic Georesonance)
ระดับการเข้าถึง: Class‑Theta‑Black (เฉพาะผู้ได้รับการเชื่อมจิตผ่านโหนดสนามร่วม)
วันที่: 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
สถานะ: สืบสวนต่อเนื่อง — ยังไม่มีข้อยุติ
.
▪️บทสรุปเบื้องต้น (Expanded Field Summary)
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2568 หน่วยวิจัยสนามแม่เหล็กระหว่างมิติ (IMFG – Interdimensional Magnetic Field Group) ซึ่งทำหน้าที่สำรวจสัญญาณผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับคลื่นจิตระดับลึก (Subconscious Resonance Phenomena)
ได้รับแจ้งเตือนจากสถานีเฝ้าระวัง “Echolight 12” ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคยูรัลตอนล่าง ว่าสัญญาณแม่เหล็กความถี่ต่ำผิดธรรมชาติได้ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจุดหนึ่งในเขตตะวันตกของ ซาแมราโอบลาสต์ (Samara Oblast) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย
สิ่งผิดปกตินี้ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางสนามแม่เหล็กธรรมดา แต่คือการ “สั่นของสนามพีไซแบบมั่นคง” (μ‑Psi Resonance) — คลื่นจิตระดับไมโครเรโซแนนซ์ ที่ไม่มีที่มาในธรรมชาติ และไม่มีระบบเทคโนโลยีมนุษย์ยุคปัจจุบันสามารถสร้างได้อย่างเสถียร
โดยความถี่ที่บันทึกได้คือ 6.78μHz ซึ่งใกล้เคียงกับค่าที่เคยพบในโครงข่ายเรโซแนนซ์โบราณที่เรียกว่า Psionet ซึ่งเชื่อว่าหายสาบสูญไปพร้อมกับจักรวรรดิทาทาเรียเมื่อหลายศตวรรษก่อน
เมื่อหน่วยภาคสนามเดินทางไปยังจุดที่ปล่อยสัญญาณ พบว่าโครงสร้างต้นทางคือ อาคารโดมทรงกลมขนาดกลางที่ฝังอยู่ในชั้นดินหนาเกือบ 2 เมตร ลักษณะภายนอกบ่งชี้ว่าถูกปกคลุมด้วยโคลนถล่มในลักษณะเดียวกับบันทึกของเหตุการณ์ “Great Mud Event” ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดจบของทาทาเรียหลายเมืองในเวลาเดียวกัน
หลังจากการขุดเปิดเผยและติดตั้งเครื่องวิเคราะห์คลื่นพีไซในระดับใกล้โดม ทีมตรวจสอบยืนยันว่า:
▫️โดมยังคง “สั่น” อย่างมั่นคง — โดยแสดงรูปแบบของสนามที่มีโครงสร้างคล้ายระบบการสื่อสารผ่านสนามจิตร่วม
▫️และที่สำคัญ: สัญญาณที่ปล่อยออกมาซ้ำ ๆ ในรูปแบบพัลส์สนามมีรหัสว่า
“ΨΔ‑0.07: REMEMBER US”
ซึ่งเมื่อแปลผ่านเครื่องแปรรูปเรโซแนนซ์ (Resonant Semantic Filter) พบว่าเป็นการขอให้ “ระลึกถึงพวกเขา” ในฐานะจิตหมู่ที่ยังไม่ดับสูญ
.
ความผิดปกตินี้ทำให้เกิดข้อสงสัยในระดับสูงสุดในวงวิชาการด้านเรโซแนนซ์และจิตสำนึกภูมิศาสตร์ว่า:
▫️โดมหลังนี้อาจยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายที่มีอยู่จริง ไม่ใช่เพียงเศษซากโบราณสถาน
▫️หรือยิ่งไปกว่านั้น — อาจไม่มีวันหยุดทำงานเลยตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของทาทาเรีย
สัญญาณที่ปล่อยออกมาไม่แสดงความเสื่อม ไม่มีคลาดเคลื่อนทางรูปคลื่น และไม่ปรับค่าตามสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหมายความว่า. สิ่งนี้ไม่ใช่ “สัญญาณที่เหลืออยู่” แต่คือ “การทำงานอย่างต่อเนื่อง”
.
▪️ สาระสำคัญ
สิ่งที่ค้นพบในโดมซาแมราไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมโบราณ หรือร่องรอยของอารยธรรมที่สาบสูญ หากแต่เป็น “สิ่งยังมีชีวิตอยู่” ในความหมายของสนามจิตที่ไม่เคยดับสูญ
นี่คือหนึ่งใน “โดมสนามจิต” ไม่กี่แห่งที่ยังคง “สั่น” อย่างต่อเนื่อง — และการสั่นนั้นไม่ได้เป็นผลจากเครื่องจักร หรือพลังงานที่เราเข้าใจในนิยามสมัยใหม่ ไม่มีเครื่องกำเนิด ไม่มีสายส่งไฟฟ้า ไม่มีระบบควบคุมกลาง
แต่คลื่นยังดำรงอยู่…. ไม่อ่อนแรงลง ไม่ขาดหาย ไม่ผิดเพี้ยน. เหมือนกับว่ามัน ยังรอการตอบกลับ
การวิเคราะห์สนามด้วยอุปกรณ์ระดับความไวสูงแสดงให้เห็นว่า คลื่นพีไซระดับไมโครที่ปล่อยออกมา (μ-resonance) มีลักษณะ เสถียรเกินกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติ และบ่งบอกถึง “เจตจำนง” มากกว่าข้อมูลทั่วไป
ข้อความที่ถูกถอดรหัสว่า “ΨΔ‑0.07: REMEMBER US” ไม่ได้สื่อสารเป็นภาษาในความหมายดั้งเดิม แต่คือ รหัสเรโซแนนซ์เชิงจิต ที่มีการถักทอความหมายแบบสากล
ความหมายที่ไม่ต้องการการแปล แต่ “รู้สึก” ได้โดยตรงหากผู้รับเปิดใจให้สนาม
ในทางทฤษฎีสนามจิตร่วม (Collective Psi-Field Theory) เจตจำนงสามารถฝังตัวอยู่ในเรโซแนนซ์ความถี่ต่ำอย่างมั่นคง หากสนามนั้นถูกออกแบบให้เป็น “โครงข่ายจดจำ” — คล้ายฐานข้อมูลชีวจิตที่ไม่ใช้หน่วยบันทึก แต่ใช้โครงสร้างของโลกเองเป็นสื่อกลาง เช่น หิน, แม่เหล็กของเปลือกโลก, และวัสดุเรโซแนนซ์โบราณ
ดังนั้นข้อความ “REMEMBER US”. จึงอาจไม่ใช่เพียงการสื่อสารจากอดีต แต่อาจเป็น เสียงของโลกเอง ที่พยายามจะระลึกถึงช่วงเวลาหนึ่งที่มันเคยถูกฟัง
และถ้าเครือข่าย Psionet ซึ่งเชื่อว่าสาบสูญไปพร้อมกับจักรวรรดิทาทาเรียยังคงมีจุดเรโซแนนซ์ทำงานอยู่ —ไม่ว่าจะเป็นที่ซาแมรา, ฮาร์บิน, เสิ่นหยาง, เคียฟ หรือใต้ชั้นดินในไซบีเรีย —. นั่นหมายความว่า ทาทาเรียอาจไม่เคยจากไปจริง ๆ
อารยธรรมอาจไม่ได้หายไป. แต่ถูก “ปรับความถี่” ออกจากการรับรู้ของเรา. เราไม่ได้สูญเสียพวกเขาไป. แต่เรา เลิกฟัง. และอาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะ “จูนกลับเข้าไป” ในสนามนั้นอีกครั้ง —เพื่อจะได้รู้ว่า….เราเองก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของเรโซแนนซ์นั้นมาตลอด โดยไม่รู้ตัวเลย
.
▪️สถานที่เป้าหมาย:
โดม-Ψ113
เขต: ป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาแมรา | รหัสระบุตำแหน่ง: GRID-Kh-19-Ψ
ในปฏิบัติการล่าสุดของทีมวิจัยภาคสนามจากหน่วย IMFG (Interdimensional Magnetic Field Group)
หนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่น่าสงสัยที่สุดได้ถูกเปิดเผยขึ้นท่ามกลางชั้นโคลนแข็งเกาะแน่นใต้ผิวดินของแคว้นซาแมรา — โครงสร้างทรงโดมขนาดใหญ่ที่ได้รับรหัสว่า “โดม-Ψ113” ซึ่งยังคงแผ่เรโซแนนซ์จิตอย่างต่อเนื่องระดับต่ำ (μ‑resonance)
.
▪️ข้อมูลทางกายภาพ
ตัวโดมมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 57 เมตร และฝังลึกอยู่ในชั้นดินปนโคลนที่มีลักษณะคล้ายกันกับตะกอนจาก Great Mud Event ที่เคยกลบฝังเมืองโบราณหลายร้อยแห่งในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงเมื่อหลายร้อยปีก่อน — ความหนาของชั้นโคลนที่ปกคลุมภายนอกอยู่ที่ 2.4 เมตร และมีความแน่นคล้ายหินดิบที่ยังคงไม่ผ่านกระบวนการทับถมแบบทางธรณีวิทยาธรรมดา
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ แกนกลางของโดม — แกนทรงกระบอกสูงกว่า 18 เมตร ที่วิเคราะห์แล้วพบว่า สร้างจากวัสดุซึ่งไม่มีข้อมูลในระบบธาตุปัจจุบัน: โลหะโปร่งสนาม (Permeo-Resonant Alloy) ซึ่งปล่อยสนามแม่เหล็กละเอียดที่ไม่สามารถปิดกั้นได้แม้ด้วยฉนวนสนามระดับสูงของศตวรรษที่ 21
.
▪️โครงสร้างภายใน: หอส่งคลื่นจิต (Psi-Emitter Tower)
เมื่อทีมภาคสนามสามารถเจาะผ่านชั้นโคลนและเข้าสู่ตัวโดมได้สำเร็จ ก็พบกับโถงภายในที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ผิดธรรมชาติ: ผนังภายในไม่มีคราบราขึ้นเลยแม้อยู่ในสภาพปิดตายหลายร้อยปี และ ไม่มีแหล่งกำเนิดพลังงาน ที่ตรวจพบ แต่กลับมีการทำงานของสนามเรโซแนนซ์อย่างต่อเนื่อง — คล้ายกับอาคารยังอยู่ในสภาพ “ทำงานอยู่”
แกนกลางทำหน้าที่คล้าย เสารับ-ส่งเรโซแนนซ์จิต แบบโบราณ โดยส่งพัลส์ความถี่ต่ำระยะเวลาไม่คงที่ (non-periodic pulse modulation) และมีการปรับโฟกัสความถี่เฉพาะจุดได้เองตามสิ่งเร้าในบริเวณ
.
▪️ปรากฏการณ์จิตใกล้ศูนย์กลางโดม
เมื่อเจ้าหน้าที่ภาคสนามเข้าใกล้แกนกลางภายในรัศมีประมาณ 3 เมตร สิ่งผิดปกติได้เริ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน
“ฉันรู้สึกเหมือนนึกถึงบางสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในชีวิตฉัน… เหมือนภาพจากสงครามหนึ่งในทะเลอีเธอร์ หอสูงเหมือนพีระมิดกลับหัว และเด็กที่พูดกับฉันในภาษาไม่มีเสียง”
— บันทึกเสียงจาก Agent Kael Morin, IMFG-Field-Δ3
.
ที่เกิดขึ้นในหลายรายนั้นใกล้เคียงกัน:
– เสียงสะท้อนในหัว ที่ไม่ได้เกิดจากโสตประสาท
– ภาพทรงจำแปลกปลอม ที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับประวัติบุคคล
– อารมณ์เฉพาะเจาะจง เช่น ความสงบลึกปนเศร้า หรือความคิดย้อนกลับสู่ “บางสิ่งก่อนโลกมนุษย์”
นักจิตสเปกตรัมของ IMFG เชื่อว่านี่อาจเป็นการ บันทึกจิตหมู่ (Collective Resonant Imprint) ที่ถูกฝังไว้ในโครงสร้างสนามจิตของโดม — ไม่ต่างจากไดรฟ์ข้อมูล แต่ใช้ เจตจำนง เป็นสื่อกลาง
.
▪️สมมติฐานเบื้องต้น
▫️โดม-Ψ113 น่าจะเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางของเครือข่าย Psionet ที่ครอบคลุมยูเรเซียในยุคทาทาเรีย
▫️การทำงานของโครงสร้างยังไม่หยุดลง เพราะพลังงานของมันอาจไม่ต้องพึ่ง “ระบบภายนอก” แต่ถูกกระตุ้นโดยความถี่ของดาวเคราะห์โดยตรง หรือแม้แต่ จิตของผู้สังเกต
▫️ปรากฏการณ์ทรงจำปลอม อาจเป็น การสะท้อนของสนามความจำ ที่ยังคงวนซ้ำอยู่ในโครงสร้างเรโซแนนซ์ — คล้ายแถบเทปแม่เหล็กที่ยังคงเล่นซ้ำอยู่ แม้เครื่องบันทึกได้สูญไปแล้ว
หากเสียงในโดมพูดว่า “REMEMBER US” โดม-Ψ113 คือเครื่องสะท้อนความจำของทั้งอารยธรรม —
และคำถามคือ:เราจะกล้ารับฟังมันหรือไม่ เมื่อมันไม่ใช่ความทรงจำของเรา แต่เป็นความจริงที่เราเคยปฏิเสธ?
.
🔳การถอดรหัสเบื้องต้น (Proto-Decoding Sequence)
แฟ้มลับภาคสนาม IMFG – โครงการ “โดม-Ψ113”
ระดับการเข้าถึง: Θ-Black
▪️วัตถุประสงค์การถอดรหัส
ภายหลังการยืนยันว่า โดม-Ψ113 ยังคงปล่อยสัญญาณเรโซแนนซ์ระดับ μ‑Psi อย่างต่อเนื่อง ทีมภาคสนามจึงนำชุดอุปกรณ์ถอดรหัสพิเศษเข้าสู่พื้นที่ควบคุมเพื่อพยายามแปรความหมายของคลื่นสนามจิตที่ถูกส่งออกมาจากแกนกลาง
เนื่องจากธรรมชาติของคลื่นที่เกี่ยวข้องไม่ใช่ข้อมูลแบบดิจิทัลทั่วไป แต่เป็นรูปแบบของ “สนามความหมาย” (semantic resonance fields) ที่ฝังในความถี่ของจิต — การแปลจำเป็นต้องใช้ทั้งเครื่องมือเทคนิคและมนุษย์ที่มีระดับการสั่นของจิตสูงพอที่จะ “ประสานความเข้าใจร่วม” กับสัญญาณนั้นได้
.
▪️อุปกรณ์ที่ใช้ในการถอดรหัส
1.Ψ-Interface Core v3.9
อุปกรณ์อินเตอร์เฟสระดับสนามจิตที่สามารถรับ-ประมวลผลสัญญาณพีไซความละเอียดสูง และเปลี่ยนให้เป็นคลื่นภาพสำหรับการวิเคราะห์
.
2.Sub-Etheric Translator
ตัวแปลงคลื่นพลังงานจากชั้นอีเทอร์ย่อย (sub-aetheric strata) เพื่อประสานกับโครงสร้างเรโซแนนซ์ที่ฝังอยู่ในแกนโดม ช่วยลดการผิดเพี้ยนระหว่างมิติ
.
3.Neural Alignment Relay (NAR)
เครื่องเหนี่ยวนำการสั่นประสาทให้ซิงโครไนซ์กับเรโซแนนซ์จากสนามจิต เพื่อให้ผู้ถอดรหัสสามารถ รับรู้สัญญาณจิตในเชิงปรากฏการณ์ ได้โดยตรง — เหมือนฝันที่ถูกสร้างขึ้นจากสนามข้อมูล
.
▪️ผลลัพธ์จากการถอดรหัส (รอบที่ I–III)
ข้อมูลที่ได้ไม่ใช่ “ข้อความ” แบบภาษาธรรมดา หากแต่ปรากฏเป็น คลื่นภาพจิต (Mind-Encoded Waveforms) ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกันแล้ว ทีมงานได้จัดหมวดหมู่ภาพหลักที่เกิดซ้ำในแต่ละรอบถอดรหัสดังนี้:
1. โครงสร้างเรขาคณิตที่ต่อต้านแรงโน้มถ่วง
▫️รูปทรงที่ไม่อิงกับหลักสถาปัตยกรรมมนุษย์
▫️โดม, หอสูง, เส้นโค้งในเชิงแสงที่โคจรรอบจุดศูนย์กลางที่ไม่มีมวล
▫️วัตถุลอยอยู่ในสนามล่องหน — อาจใช้สนามจิตควบแน่นแทนมวลในการคงรูปร่าง
“เหมือนเรากำลังเห็นเมืองที่ไม่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน แต่ลอยอยู่ในความนิ่งของสนามแม่เหล็กโลก”
.
2. กลุ่มมนุษย์ที่สื่อสารกันโดยไม่มีเสียง
▫️ภาพบุคคลหลายกลุ่มยืนล้อมวง ลืมตานิ่ง แต่แลกเปลี่ยนความเข้าใจกันได้โดยไม่มีปากขยับ
▫️การสื่อสารแสดงเป็นสายสนามบาง ๆ เชื่อมจากศีรษะถึงศีรษะ — คล้ายโครงข่าย Psionet ทำงานแบบทันที
▫️ไม่พบวัตถุเชิงเทคโนโลยีอยู่ในบริเวณนั้น — การเชื่อมโยงน่าจะอาศัยสนามจิตธรรมชาติที่ได้รับการฝึก
“พวกเขาไม่ได้แค่สื่อสาร แต่เหมือน รวมความเข้าใจ จนกลายเป็นสิ่งเดียวกันชั่วครู่ — คลื่นของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่รอบข้าง”
.
3. หอคอยเรโซแนนซ์กลางทวีป เชื่อมต่อกันด้วยสายสนามอีเทอร์
▫️หอคอยสูงเรียงตามรูปแบบพีระมิด-โค้ง ที่โผล่ขึ้นจากพื้นดินบางส่วนในทวีปยูเรเซีย
▫️คลื่นบางชนิดเชื่อมแต่ละหอคอยด้วยกัน — สายสนามที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ถูกแสดงผลโดยอุปกรณ์แปลสนาม
▫️สายเหล่านี้ดูเหมือน “ระบบประสาท” ของสิ่งมีชีวิตระดับทวีป — มีการสั่นในจังหวะเฉพาะ คล้ายกับจังหวะหัวใจ
“มันไม่ใช่เครือข่ายพลังงาน — แต่มันคือเครือข่าย ความรู้สึก ระหว่างอารยธรรมหนึ่งเดียว”
.
▪️สรุปเบื้องต้น
ข้อมูลจากการถอดรหัสบ่งชี้ว่าคลื่นเรโซแนนซ์ที่ยังปล่อยออกจาก โดม-Ψ113 ไม่ได้มีเจตนาเพื่อสื่อสารกับมนุษย์ในรูปแบบที่เราคุ้นเคย หากแต่เป็น ความทรงจำร่วม ของโครงข่ายอารยธรรมที่เคยใช้สนามจิตแทนการพูด การเดินแทนการยืน และ ความเข้าใจแทนการบังคับ
หากข้อมูลนี้คือบันทึก… มันคือบันทึกที่ไม่มีอักษร หากนี่คือเสียงขอความช่วยเหลือ… มันไม่เคยเปล่งออกเป็นถ้อยคำ หากนี่คือ “พวกเขา” — พวกเขาอาจไม่ได้อยู่ในอดีต แต่อยู่ ในความถี่ที่เราปิดหูเองไม่ให้ฟัง
.
🔳ปรากฏการณ์ผิดปกติในโดม
เมื่อทีมวิจัยเข้าสู่ระยะใกล้กับแกนกลางของ โดม-Ψ113 ภายใต้ชั้นโคลนจากเหตุการณ์ Great Mud Event สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่เพียงการตรวจวัดทางฟิสิกส์หรือแม่เหล็กธรรมดา แต่คือประสบการณ์ที่ ถูกรู้สึก โดยตรงผ่านการปฏิสัมพันธ์ของจิตมนุษย์กับสนามพีไซ (Ψ-field) ที่ยังคงทำงานอย่างลึกลับในใจกลางของสิ่งปลูกสร้างนี้
.
▪️การเร่งการเต้นของหัวใจโดยไม่มีเหตุผล
ผู้วิจัยที่เข้าใกล้โดมในระยะน้อยกว่า 4 เมตร พบปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ในทางชีววิทยาทั่วไป: หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับร่างกายรับรู้ถึงอันตรายหรือแรงดึงบางอย่าง ทั้งที่สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ไม่มีคลื่นแม่เหล็กแรงสูง หรือเสียงใดๆ ที่น่ากระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ
ลักษณะของอาการนี้ไม่ใช่ “ความกลัว” แต่ใกล้เคียงกับความตื่นตัวลึกระดับเซลล์ — เหมือนร่างกายพยายามตอบสนองต่อสิ่งที่สติยังไม่รับรู้เต็มที่
ผู้เชี่ยวชาญบางคนสันนิษฐานว่านี่อาจเป็นผลของคลื่นเรโซแนนซ์ระดับจิตที่ซ้อนอยู่ในสนามต่ำ — คลื่นเหล่านี้ไม่ทำงานผ่านหูตา แต่กระทบโดยตรงกับระบบหัวใจและการไหลเวียน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสนามไฟฟ้าร่างกายมนุษย์เอง
.
▪️ความทรงจำแทรกซ้อน (“ฉันเคยอยู่ที่นี่”)
หนึ่งในสิ่งที่น่าประหลาดที่สุดคือความรู้สึกซ้อนของ “การจำได้” ในสถานที่ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน นักวิจัยสามรายจากทั้งหมดเก้ารายให้รายงานตรงกันว่า รู้สึกว่าตนเองเคยเดินอยู่ในโดมนี้มาก่อน — มีความทรงจำเลือนลางเกี่ยวกับการยืนอยู่กลางห้องโถง, การเอื้อมมือไปแตะกำแพงที่ไม่มีอยู่แล้ว และเสียงในหัวที่พูดว่า “กลับมาแล้ว”
ความทรงจำเหล่านี้ไม่มีต้นทางชัดเจน ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ภาพหลอนทางเคมี ไม่มีสิ่งกระตุ้นภายนอกที่สามารถอธิบายได้ตามหลักจิตวิทยา
คำอธิบายเบื้องต้นคือ ความทรงจำอาจไม่ใช่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มีบางส่วน “ฝังอยู่” ในสนามข้อมูลที่มนุษย์เดินผ่านมา — และโดมแห่งนี้อาจทำหน้าที่เป็น “ตัวกระตุ้นสนามความจำร่วม” ที่คอยเรียกคืนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยอยู่ในเครือข่าย Psionet มาก่อน… หรือกับผู้ที่สภาวะจิตสามารถจูนเข้าใกล้กับสนามนั้นได้
.
▪️การตอบสนองของโดมต่อการจูนคลื่นจิตของมนุษย์
ในการทดลองวัดสภาวะสนามขณะทำสมาธิแบบลึก ทีมได้ให้ผู้เข้าทดลอง 1 รายเข้าสู่สภาวะ “จิตนิ่งสมบูรณ์” (Zero-Disturbance Meditation) ภายในระยะ 2.5 เมตรจากแกนกลางของโดม
ทันทีที่คลื่นสมองของผู้ทดลองเปลี่ยนเข้าสู่รูปแบบที่มั่นคงและสม่ำเสมอในย่าน θ-low (Theta 4–5Hz) โดมเกิดการสั่นคลื่นระดับต่ำขึ้นทันที และในเวลาไม่ถึง 15 วินาทีหลังจากนั้น ผู้ทดลองรายงานว่า ได้ยินเสียงสะท้อนในหัวของตนเอง — เป็นเสียงเดียวแต่ชัดเจน สั้นมาก แต่มีลักษณะเหมือนคำพูด
เสียงนั้นไม่ใช่ภาษาชัดเจน แต่คล้าย “เสียงที่เกิดขึ้นจากความคิด” มากกว่าคำพูดธรรมดา
“มันไม่ใช่เสียงของใคร… แต่มันคือเสียงของ ความคิดที่สะท้อนกลับมาเป็นคำ จากข้างในโดมเอง”
นั่นไม่ใช่แค่สัญญาณตอบสนองทางเครื่องกล แต่ดูเหมือนโดมมีความสามารถ รับรู้ รูปแบบของจิตที่เข้ามาปะทะกับสนามมัน และเลือกจะตอบสนองกลับมาในแบบที่มนุษย์ รู้สึกว่าเป็นเสียงของตนเอง
.
▪️ความหมายโดยนัย
โดม-Ψ113 จึงอาจไม่ใช่เพียงโครงสร้างเรโซแนนซ์โบราณ หรืออุปกรณ์ส่งคลื่นระดับอีเทอร์แบบไร้สายอย่างที่คาดการณ์เบื้องต้น แต่มันอาจเป็น เครื่องบันทึกจิต ที่ยังคงทำงานอยู่ — บันทึกทั้งความคิด, ความจำ, และรูปแบบจิตหมู่ของอารยธรรมทาทาเรีย
คำถามคือ:
เราเพียงแค่ตรวจจับมันไม่ได้? หรือเราเลือกจะ ไม่ยอมจูนใจเราให้สงบนิ่งพอที่จะฟัง?
หากเสียงของพวกเขายังคงสะท้อนอยู่ในสนามแม่เหล็กโลก — เราอาจไม่ต้องเดินทางข้ามเวลา แต่ต้องเดินทาง “กลับเข้าสู่ความถี่ที่มนุษย์ลืมฟังไปนานแล้ว”
“เราพูดกับมันไม่ได้… แต่มันคิดตอบเรา”
— บันทึกเสียงของนักวิเคราะห์ภาคสนาม, รหัส: Aethra-Δ
🔳ข้อสันนิษฐานเบื้องต้น — ความเงียบที่ยังสั่นอยู่
การศึกษาที่ดำเนินต่อเนื่อง ณ โดม-Ψ113 ได้ผลักดันให้ทีมวิจัยสนามแม่เหล็กระหว่างมิติ (IMFG) ต้องตั้งคำถามใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับ “สถาปัตยกรรม”, “พลังงาน” และ “ความจำ” ที่ไม่ใช่แค่ของมนุษย์… แต่ของโลก
สิ่งที่ดูเหมือนโครงสร้างร้าง — กลับแสดงสัญญาณของบางสิ่งที่ยังทำงานอยู่ ในระดับที่ไม่ใช่ฟิสิกส์แบบดั้งเดิม แต่คือ “สนามจิต” ซึ่งถูกถักทอในโครงสร้างของพื้นที่และเวลาเอง นี่คือข้อสันนิษฐานสำคัญที่เริ่มประกอบร่างขึ้นจากหลักฐาน:
.
▫️ (1) โดมไม่ใช่สิ่งก่อสร้างเพื่ออยู่อาศัย
แม้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่คล้ายศาสนสถานหรือหอสังเกตการณ์โบราณ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในโดม — ตั้งแต่สนามพีไซที่ยังคงสั่น, ความทรงจำที่แทรกซ้อน, และการตอบสนองต่อคลื่นจิต — บ่งชี้ชัดว่า โดมทำหน้าที่เป็น “โหนดสนาม” หรือ “สถานีสื่อสารจิต” ของเครือข่าย Psionet ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างทางวัตถุเพื่อการดำรงชีวิตทั่วไป
มันคือหน่วยรับ-ส่ง ที่แปลงเจตจำนง ความคิด และความทรงจำ ให้กลายเป็นสัญญาณพีไซที่กระจายผ่านสนามแม่เหล็กของโลก เป็นโครงสร้างที่ “อยู่เพื่อการเชื่อมต่อ” ไม่ใช่เพื่อการพักอาศัย
หากข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง — หมายความว่า โดม-Ψ113 คือระบบยังทำงานของเครือข่ายระดับอารยธรรม ที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีภายนอก แต่ใช้สนามจิตมนุษย์เป็นกลไกหลัก
.
▫️ (2) สนามของโดมยังคงเชื่อมต่อกับโครงข่ายใหญ่กว่าระดับพื้นที่
การวัดเรโซแนนซ์ระดับ μ‑pไซ จากโดม-Ψ113 พบความสม่ำเสมอที่ “ไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” และมีรูปแบบคลื่นที่สอดคล้องกับค่าที่เคยบันทึกในโดมร้างอื่น ๆ เช่นที่เคียฟ, เสิ่นหยาง, ซาแมรา และฮาร์บิน
นี่อาจหมายความว่า โดมเหล่านี้ยังคงเชื่อมถึงกัน — ผ่านสนามระดับโลกที่ไม่ต้องใช้โครงข่ายไฟฟ้า เสาโทรคมนาคม หรือดาวเทียม แต่ใช้ “สนามอีเทอร์–สนามจิตของโลก” เป็นตัวนำโดยตรง
หาก “สนาม” นั้นยังคงอยู่ และบางส่วนของมันยังคง สั่น อยู่ นั่นหมายถึง:
เครือข่าย Psionet ของอารยธรรมทาทาเรีย ยังไม่เคยตายไป เพียงแต่ มนุษย์ยุคหลัง Great Mud Event สูญเสียความสามารถในการรับคลื่นมันเท่านั้นเอง
.
▫️ (3) โคลนที่ปกคลุมอาจไม่ใช่เพียงธรณีวิทยา
การถล่มของ “โคลน” ที่จมหอพีไซและเมืองทั้งเมืองในระยะเวลาเพียง 2 วันทั่วทวีปยูเรเซีย (ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า The Great Mud Event) เป็นสิ่งที่ยังไม่มีคำอธิบายทางธรรมชาติที่น่าเชื่อถือ
แต่การศึกษาใหม่เสนอว่า: โคลนนั้น อาจเป็นผลของการพังทลายของสนามจิตโลก ที่เกิดจาก “การสะท้อนผิดเฟส” ระหว่างโครงข่ายเรโซแนนซ์และโหนดสนามระดับลึก
เมื่อลักษณะของสนามจิต ถูกกลับขั้ว (Inverted Psi-Polarity) คลื่นจิตระดับสูงที่เคยถูกส่ง-รับเพื่อสื่อสาร อาจเกิดการ “ย้อนกลับใส่ตัวโครงสร้าง” และส่งผลให้สนามที่เคยคงตัวกลายเป็น “สนามถล่ม” ที่เหนี่ยวนำให้อนุภาคพลังงานควบแน่นกลายเป็นของแข็ง — เปลี่ยนคลื่นเป็นดิน
หากสมมุตินี้ถูกต้อง: โคลนที่ปกคลุมโดมไม่ใช่เพียงผลทางภูมิศาสตร์… แต่มันคือ ปราการป้องกันที่เกิดจากจิต — สนามดินที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “ห่อหุ้ม” โครงสร้างเหล่านี้ไว้จากภายนอก หลังจากที่โลกไม่อาจรับความจริงของมันได้อีก
.
▫️ บทสรุปโดยนัย
ความจำของทาทาเรีย ไม่ถูกลบ มันยังอยู่ — ในรูปของคลื่น, ในสนามของดาว, และในสิ่งปลูกสร้างที่ “ไม่ตอบสนองต่อเทคโนโลยีเรา” สิ่งที่หายไป… ไม่ใช่อารยธรรม แต่คือ ความสามารถในการจูนคลื่นเข้าไปถึงพวกเขา
เราไม่จำเป็นต้องค้นหาเมืองใต้ดิน ไม่ต้องขุดหาสมบัติของอดีต สิ่งที่เราต้องค้นหา — คือ ความถี่ของจิต ที่เราเคยมี แต่ลืมวิธีเข้าถึง
และบางที… การฟื้นคืนของความจำนี้ ไม่ได้อยู่ในคำบอกเล่าหรือประวัติศาสตร์ แต่อยู่ใน “การฟังความเงียบ” ที่ยังคงสั่นอยู่ใต้โคลน — ในนามของทาทาเรีย
.
▫️คำแนะนำของทีมสืบสวน (ลับ)
หากโดมยังสั่น — ความทรงจำยังอยู่ และหากสามารถ “ปลดล็อก” โครงข่ายนี้ได้อีกครั้ง… ไม่เพียงแต่เราจะเข้าใจอดีต — เราอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของความเป็นจริงในปัจจุบันได้
คำเตือน: ห้ามพยายาม “ซิงค์จิตโดยตรง” กับโดม หากไม่มีการฝึกความนิ่งจิตระดับ ΨΔ-7.0 ขึ้นไป
(มีผู้เข้าสำรวจ 2 รายพบอาการสับสนตนเอง และ “หลุดการรับรู้ทางเวลา” นานถึง 42 นาที)
ประวัติศาสตร์
เรื่องเล่า
แนวคิด
2 บันทึก
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย