20 ส.ค. เวลา 11:46 • ความคิดเห็น

L1: Part A: นิยาม “พัฒนาแล้ว” แบบวัดได้ (Master KPIs) : (ตอน A.3.2)

A 3.2 ผลิตภาพรวมเศรษฐกิจ (Total Factor Productivity – TFP)
1. บทนำ: ทำไม TFP คือ “เครื่องยนต์ลับ” ของประเทศพัฒนาแล้ว
หากเราลองเปิดตำราประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก จะพบว่าแทบไม่มีประเทศใดเลยที่ก้าวขึ้นเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ได้เพียงเพราะการทุ่มแรงงานราคาถูกหรือการใช้เงินลงทุนจำนวนมากเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะเครื่องจักรและแรงงานสามารถซื้อหรือจ้างมาได้ แต่สิ่งที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินจำนวนมหาศาลคือ “ความสามารถในการใช้แรงงานและทุนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น” ซึ่งนั่นก็คือ Total Factor Productivity (TFP) หรือ “ผลิตภาพรวมปัจจัยการผลิต”
นักเศรษฐศาสตร์แบ่งที่มาของการเติบโตทางเศรษฐกิจออกเป็นสามส่วนใหญ่ ได้แก่
1. การเพิ่มแรงงาน (Labor input): จำนวนคนทำงานมากขึ้น → GDP โตขึ้น
2. การเพิ่มทุน (Capital input): ลงทุนในโรงงาน เครื่องจักร อาคาร ถนน → GDP โตขึ้น
3. การเพิ่มประสิทธิภาพ (TFP): ใช้แรงงานและทุนที่มีอยู่ให้สร้างผลผลิตได้มากขึ้น
สองข้อแรกเปรียบเหมือนการ “อัดเชื้อเพลิง” เข้าไปในระบบ แต่ข้อสุดท้ายคือการ “ปรับปรุงเครื่องยนต์” ให้ทำงานได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงเพิ่มมากนัก และเมื่อประเทศเข้าสู่จุดที่แรงงานเริ่มหดตัวหรือการลงทุนเพิ่มไม่คุ้มค่าแล้ว TFP จึงกลายเป็นตัวเดียวที่สามารถพาประเทศทะยานต่อไปได้อย่างยั่งยืน
การโตด้วยการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีเพดาน เพราะเมื่ออัตราผลตอบแทนของทุน (return on capital) ลดลง การลงทุนก็ไม่สร้างการเติบโตเท่าเดิม ในขณะที่การโตด้วยแรงงานก็มีข้อจำกัดจากโครงสร้างประชากร เช่น ไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ดังนั้น หากไม่ทำให้ TFP โต การเติบโตทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่เกิดจากการทำงานหนักขึ้นหรือลงทุนมากขึ้น แต่ผลลัพธ์กลับไม่เพิ่มขึ้นจริง
นี่คือเหตุผลที่ประเทศพัฒนาแล้วทุกประเทศมีคุณสมบัติร่วมกันอย่างหนึ่งคือ TFP ต้องโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นแหล่งหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
2. บริบทโลก: ประเทศที่โตด้วยผลิตภาพ
ญี่ปุ่น (1950s–1980s): โตจากการจัดการและนวัตกรรม
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นคือประเทศที่แทบจะพังพินาศ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ได้มีแรงงานราคาถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นมีคือ “วัฒนธรรมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง” หรือ Kaizen และการสร้างระบบการผลิตแบบใหม่ที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนอย่าง Toyota Production System
ผลลัพธ์คือ แม้ญี่ปุ่นจะมีข้อจำกัดเชิงทรัพยากร แต่สามารถทำให้โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ใช้แรงงานและวัตถุดิบเท่าเดิม แต่สร้างผลผลิตมากขึ้นและคุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงทศวรรษ 1960–1970 นักวิจัยคำนวณว่า TFP ของญี่ปุ่นโตเฉลี่ยถึง 2.5% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาในเวลานั้น และนี่คือตัวขับเคลื่อนที่ทำให้ GDP ญี่ปุ่นโตเร็วที่สุดในโลกจนกลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับสองในเวลาไม่ถึงสามทศวรรษ
เกาหลีใต้ (1980s–2000s): โตจาก R&D และการยกระดับอุตสาหกรรม
เกาหลีใต้เริ่มต้นจากการเป็นประเทศยากจนหลังสงครามเกาหลี แต่รัฐบาลใช้กลยุทธ์ผลักดัน Chaebol (กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่) ให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง และบังคับให้ภาคเอกชนทุ่มลงทุน R&D จนถึงปัจจุบันสัดส่วนงบวิจัยต่อ GDP สูงกว่า 4% ซึ่งติด Top 3 ของโลก
ผลที่เกิดขึ้นคือ เกาหลีใต้ไม่ได้แค่ประกอบสินค้า แต่สามารถออกแบบและสร้างนวัตกรรมเองได้ ตัวเลขการเติบโตของ TFP ในเกาหลีใต้ช่วงปี 1980–2000 แสดงว่า กว่า 40% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจาก TFP ไม่ใช่เพียงจากแรงงานหรือต้นทุนที่ต่ำ
ฟินแลนด์ (1990s–2000s): ICT และการศึกษาเป็นตัวเร่ง
ฟินแลนด์เคยเจอวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงในต้นทศวรรษ 1990 แต่รัฐบาลใช้การลงทุนด้าน ICT (Information and Communication Technology) ร่วมกับระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง ผลลัพธ์คือการเกิดขึ้นของบริษัทอย่าง Nokia ที่กลายเป็น global leader และทำให้ผลิตภาพแรงงานของฟินแลนด์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ประชากรมีเพียงไม่กี่ล้านคน
บทเรียนจากสามประเทศนี้ตอกย้ำว่า TFP ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคในโรงงานเท่านั้น แต่คือการออกแบบระบบเศรษฐกิจ สังคม และนโยบายที่เอื้อให้คนและทุนทำงานได้เต็มศักยภาพ
3. สถานะของไทย: ทำไม TFP ไม่โต
เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ภาพที่เห็นคือตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ระบุว่า TFP ของไทยในช่วงปี 2000–2020 แทบจะเป็นศูนย์ และบางปียังติดลบเสียด้วยซ้ำ หมายความว่า การเติบโตที่เราภูมิใจว่า “GDP โต 3–4% ต่อปี” แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพขึ้น แต่เกิดจากการเอาแรงงานและเงินลงทุนมาอัดใส่ระบบมากกว่าเดิม
ภาคเกษตร: ใช้แรงงานเยอะ แต่ผลผลิตต่ำ
แรงงานกว่า 30% ของประเทศยังอยู่ในภาคเกษตร แต่ผลิต GDP เพียง 8–10% ซึ่งสะท้อนว่า ผลิตภาพแรงงานเกษตรต่ำกว่ามาตรฐานโลกถึง 3–4 เท่า เกษตรกรจำนวนมากยังใช้วิธีการเพาะปลูกแบบเดิม ใช้แรงงานคนมาก แต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำและต้นทุนสูง → นี่คือเหตุผลว่าทำไมรายได้ครัวเรือนเกษตรไทยถึงไม่ขยับ
ภาคอุตสาหกรรม: โรงงานประกอบ ไม่ใช่โรงงานนวัตกรรม
แม้ไทยจะมีนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก แต่สัดส่วนมหาศาลคือโรงงาน assembly plant ที่รับชิ้นส่วนมาประกอบ ไม่ใช่โรงงาน innovation plant ที่ออกแบบหรือสร้างเทคโนโลยีเอง ทำให้แม้จะมีการจ้างงานและการลงทุนสูง แต่การสร้างมูลค่าเพิ่มต่อหน่วยแรงงานต่ำ → ผลิตภาพโดยรวมจึงไม่โต
ภาคบริการ: ขยายตัวเร็ว แต่ยัง low-tech
บริการค้าปลีก การท่องเที่ยว หรือแม้แต่โลจิสติกส์เป็นภาคที่ขยายตัวเร็วที่สุด แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบ low-tech service เช่น ร้านขายหน้าร้านเล็ก ๆ หรือท่องเที่ยวราคาต่ำ ซึ่งแม้จะจ้างงานมาก แต่ไม่ได้สร้างผลิตภาพใหม่ เทียบกับประเทศที่บริการโตด้วยดิจิทัล เช่น e-commerce, fintech หรือ health-tech → ไทยยังห่างไกล
สรุป: ประเทศไทย “โตจากปริมาณ” ไม่ใช่ “โตจากคุณภาพ” และถ้าโครงสร้างนี้ยังไม่เปลี่ยน เราก็จะไม่มีวันก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้เลย
4. บทเรียนจากต่างประเทศ: ประเทศที่เปลี่ยนโครงสร้างด้วย TFP
หากเจาะลึกลงไปในประเทศที่สามารถยกระดับ TFP ได้จริง เราจะเห็นว่าทุกกรณีล้วนมี “เครื่องมือเชิงระบบ” (systemic instruments) ที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่การรณรงค์หรือแผนงานระยะสั้น
ญี่ปุ่น: Lean Manufacturing และการจัดการคุณภาพ
ญี่ปุ่นไม่เพียงแต่คิดค้นระบบ Lean Manufacturing หรือ Kaizen แต่ยังฝังวัฒนธรรม “ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง” ในทุกระดับ ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงระบบโลจิสติกส์ของประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ต้นทุนต่อหน่วยลดลง คุณภาพดีขึ้น และแรงงานสามารถสร้างผลผลิตที่มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มชั่วโมงการทำงาน
เกาหลีใต้: การลงทุน R&D และ Chaebol
รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่ได้มองแค่การสร้างโรงงาน แต่สร้าง “ระบบนิเวศของนวัตกรรม” โดยให้บริษัทใหญ่ต้องลงทุน R&D และสร้าง supply chain ที่ดึงดูด SME ให้เข้ามามีส่วนร่วม ข้อมูลชี้ว่า กว่า 40% ของการเติบโตเศรษฐกิจเกาหลีในช่วง 1980–2000 มาจาก TFP ซึ่งสะท้อนว่าโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบถูกยกระดับ ไม่ใช่แค่การขยายปริมาณแรงงานหรือทุน
จีน: Made in China 2025
หลังวิกฤติการเงินโลก 2008 จีนตระหนักว่าโมเดล “แรงงานราคาถูก” เริ่มหมดอายุ รัฐบาลจึงประกาศยุทธศาสตร์ “Made in China 2025” ที่มุ่งลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง เช่น หุ่นยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์ไฟฟ้า ผลคือ TFP ภาคการผลิตของจีนโตเฉลี่ย 3–4% ต่อปี ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และเปลี่ยนภาพลักษณ์ของจีนจาก “โรงงานโลก” สู่ “ผู้เล่นด้านนวัตกรรมระดับโลก”
บทเรียนจากสามประเทศนี้ชี้ว่า:
• TFP ต้องการยุทธศาสตร์ระยะยาว ไม่ใช่แค่การเพิ่มผลิตภาพแรงงานเฉพาะจุด
• รัฐต้องลงทุนเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่าน เพราะเอกชนลำพังจะไม่ลงทุนมากพอในระยะต้น
• การเชื่อมโยง R&D, อุตสาหกรรม และการศึกษา คือหัวใจ เพราะผลิตภาพไม่ได้มาจากเครื่องจักร แต่จาก “ระบบนิเวศของนวัตกรรม”
5. ความเสี่ยงถ้าไทยไม่เร่ง TFP
หากประเทศไทยยังคงเดินหน้าในเส้นทางปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นชัดเจนและอันตรายมาก:
• ติดกับดักรายได้ปานกลางถาวร
GDP อาจโตปีละ 3–4% แต่เป็นการโตที่ไม่ยั่งยืน เพราะมาจากแรงงานและทุน ไม่ใช่คุณภาพ → รายได้แรงงานไม่โต → คนรุ่นใหม่ไม่เห็นอนาคต
• เสียความสามารถในการแข่งขัน
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามกำลังก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยีการผลิตและระบบ automation ที่เหนือกว่าไทย โรงงานหลายแห่งที่เคยอยู่ในไทยเริ่มย้ายฐานไปเวียดนามและอินโดนีเซีย หาก TFP ไทยไม่ขยับ เราอาจกลายเป็น “ฐานการผลิตตกค้าง” (residual base)
• ต้นทุนสังคมสูงขึ้น
แรงงานจำนวนมากต้องทำงานหนักขึ้นแต่รายได้ไม่เพิ่ม → เกิดภาวะ working poor (ทำงานเต็มเวลาแต่ยังจน) สิ่งนี้จะซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ และความไม่พอใจทางสังคม
• โอกาสพลาดยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
โลกกำลังเข้าสู่ยุค AI, automation, green economy หากไทยยังติดอยู่กับโครงสร้างการผลิตแบบ low-tech จะถูกทิ้งห่างจนไม่สามารถไล่ทันได้อีก
6. กลไกนโยบาย: จะยกระดับ TFP ของไทยได้อย่างไร?
การยกระดับ TFP ของประเทศไทยไม่สามารถทำได้ด้วยมาตรการเฉพาะจุด แต่ต้องอาศัย “การปฏิรูประบบเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง” ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรม เทคโนโลยี เกษตรกรรม และกฎระเบียบ โดยมี 5 เสาหลักดังนี้
6.1 Industrial Upgrading – ยกระดับอุตสาหกรรมสู่ High-Value
โจทย์ใหญ่: อุตสาหกรรมไทยในปัจจุบันยังติดอยู่กับ “การผลิตแบบประกอบ” (assembly plant) มากกว่าการสร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่แม้จะเป็นฐานการผลิตใหญ่ในโลก แต่การวิจัยและออกแบบ (R&D & Design) ส่วนใหญ่ยังอยู่ต่างประเทศ
แนวนโยบาย:
• สร้างคลัสเตอร์ยุทธศาสตร์ใหม่: เน้นอุตสาหกรรม 3 กลุ่มที่เป็นตัวขับเคลื่อน TFP ได้แก่ (1) EV & Clean Mobility, (2) Semiconductors & Advanced Electronics, (3) Bio/Medical & Healthcare Tech
• ผูก incentive เข้ากับ Productivity: รัฐบาลออกมาตรการลดหย่อนภาษี 150% ให้กับบริษัทที่ลงทุน Automation หรือ AI ในสายการผลิต และต้องพิสูจน์ด้วยตัวเลขว่าผลผลิตต่อแรงงานเพิ่มขึ้นจริง
• EEC 2.0 → R&D Hub: ยกระดับเขต EEC (Eastern Economic Corridor) จาก “ฐานการผลิต” ไปเป็น “ฐานการออกแบบและทดสอบ” เช่น ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่, ศูนย์ดีไซน์ชิป, Bio Lab
กรณีศึกษา: เกาหลีใต้ในทศวรรษ 1980s–1990s ใช้นโยบาย “Heavy and Chemical Industry Drive” บังคับให้บริษัท Chaebol เช่น Samsung, Hyundai ต้องลงทุนในอุตสาหกรรมที่มี Productivity สูง ผลลัพธ์คือการก้าวจากประเทศยากจน → พัฒนาแล้วภายในสองชั่วอายุคน
6.2 R&D Nation – ประเทศแห่งการวิจัยและนวัตกรรม
ปัญหาปัจจุบัน: ไทยลงทุนด้าน R&D เพียง ~1% ของ GDP (ต่ำกว่า OECD ที่เฉลี่ย 2.5–3%) และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่ไม่ถูกนำไปใช้เชิงพาณิชย์
แนวนโยบาย:
• เพิ่มงบ R&D → 2% ของ GDP ภายใน 10 ปี โดยรัฐร่วมลงทุนกับเอกชน (Matching Fund)
• National Innovation Fund: ตั้งกองทุนแห่งชาติร่วมทุนกับ Startups ที่มีศักยภาพด้าน Deep Tech เช่น AI, Biotech, Clean Energy
• Triple Helix Model: มหาวิทยาลัย–เอกชน–รัฐ ต้องเชื่อมโยงเป็น Ecosystem จริง เช่น รัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายทดลอง + มหาวิทยาลัยให้บุคลากร + เอกชนนำไปพัฒนาต่อ
• Spin-off Policy: เปิดเสรีให้อาจารย์–นักวิจัยสามารถตั้งบริษัทจากงานวิจัยได้ โดยมหาวิทยาลัยถือหุ้นร่วม
บทเรียน: ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ลงทุนอย่างต่อเนื่องใน R&D ระดับ ≥4% GDP ผลลัพธ์คือการเป็นผู้นำด้านชิปและเทคโนโลยีสารสนเทศ
6.3 Digital Transformation for SME – SME 1 ล้านรายต้องโตด้วยดิจิทัล
SME ไทยกว่า 90% ยังพึ่งพาการขายหน้าร้านและแรงงานคนมากกว่าการใช้ดิจิทัล → Productivity ต่ำกว่ามาตรฐานโลก
แนวนโยบาย:
• E-Invoice ภาคบังคับ: ทุกธุรกิจต้องใช้ระบบ e-Invoice และ e-Payment → ลดต้นทุนธุรกรรม → ภาครัฐได้ข้อมูลจริงไปใช้ทำนโยบาย
• Voucher Cloud/AI: SME ทุกแห่งได้รับ “Digital Voucher” สำหรับใช้บริการ Cloud, ERP, AI tools เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยี
• Lean+AI Consultant: รัฐอุดหนุนที่ปรึกษา SME ที่ช่วยปรับระบบการผลิตให้ Lean (ลดของเสีย) + ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ stock และ demand
ภาพที่เกิดขึ้น: SME ร้านอาหารในเชียงใหม่ติดตั้งระบบ AI คาดการณ์ลูกค้า → ลดของเสีย 30% และเพิ่มยอดขายออนไลน์ 50% ภายใน 1 ปี
6.4 Precision Agriculture – เกษตรแม่นยำสูง
ภาคเกษตรคือจุดอ่อนใหญ่ของ TFP ไทย เนื่องจากใช้แรงงานมาก (30% ของแรงงานประเทศ) แต่สร้าง GDP เพียง 8–10%
แนวนโยบาย:
• IoT & Drone: ใช้ sensor และ drone ควบคุมการให้น้ำ–ปุ๋ย → ลดต้นทุนแรงงาน 70%
• Big Data Farming: เก็บข้อมูลดิน–สภาพอากาศ–พันธุ์พืช → วิเคราะห์ด้วย AI เพื่อเพิ่มผลผลิต
• Smart Contract Farming: เชื่อมเกษตรกรกับห้าง/โรงงานผ่านแพลตฟอร์ม blockchain เพื่อลดต้นทุนธุรกรรม
ตัวอย่าง: ฟาร์มอ้อยในโคราชทดลองใช้ drone พ่นน้ำแทนแรงงาน → ลดต้นทุนแรงงาน 500 บาท/ไร่/ปี → ถ้าขยายทั่วประเทศจะเพิ่ม productivity ภาคเกษตร 30–40%
6.5 Regulatory Reform – ปลดล็อก Productivity ที่ถูกกดทับ
ปัญหา: กฎระเบียบล้าสมัยและระบบราชการซับซ้อนทำให้ต้นทุนธุรกิจไทยสูงโดยไม่จำเป็น
แนวนโยบาย:
• Regulatory Guillotine: ยกเลิก/รวมใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น ≥30% ภายใน 1 ปี
• One-stop E-License: ระบบออนไลน์อนุญาตทุกกิจการ → ลดเวลาขออนุญาตจาก 200 วัน → 30 วัน
• Open Data by Default: เปิดข้อมูลภาครัฐ เช่น logistics, health, education ให้เอกชนใช้ต่อยอดสร้างผลิตภาพ
7. เป้าหมายเชิงปริมาณ (10 ปี)
• TFP โตเฉลี่ย ≥ 1% ต่อปี (จากปัจจุบันที่แทบเป็นศูนย์)
• สัดส่วนการเติบโตของ GDP ที่มาจาก TFP ≥ 25% (เทียบกับ OECD ที่เฉลี่ย 30–40%)
• งบ R&D ≥ 2% GDP
• Productivity ภาคเกษตรเพิ่มขึ้น ≥ 50%
• SME ≥ 50% ใช้ digital platform อย่างน้อยหนึ่งอย่าง (ERP, e-commerce, cloud)
• อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (EV, ชิป, Biotech) มี TFP สูงกว่าอุตสาหกรรมทั่วไป ≥ 30%
8. ภาพชีวิตจริง (Scenario 2035)
• ถ้าทำสำเร็จ:
o โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ในชลบุรี ใช้ automation + AI → ผลิตได้มากขึ้น 2 เท่าโดยใช้แรงงานเท่าเดิม → รายได้แรงงานเพิ่มจาก 15,000 → 25,000 บาท/เดือน
o ฟาร์มข้าวโพดในลำปางใช้ drone + AI → ลดต้นทุนปุ๋ย 30% ผลผลิตเพิ่ม 40% → เกษตรกรมีรายได้จาก 8,000 → 15,000 บาท/เดือน
o SME ผู้ส่งออกทุเรียนใช้ blockchain ตรวจสอบย้อนกลับ → ขายจีนได้ราคาสูงขึ้น 20%
• ถ้าไม่ทำ:
o เวียดนามและอินโดนีเซียแซงไทยในการใช้ automation → FDI ไหลออก
o เกษตรกรไทยยังใช้แรงงานคน → รายได้ไม่พอหนี้ → ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น
o ภาคบริการไทยยัง low-tech → ท่องเที่ยวแข่งขันไม่ได้กับญี่ปุ่น/เกาหลี
9. ข้อสรุปเชิงนโยบาย
TFP คือ หัวใจลับของการพัฒนาอย่างยั่งยืน หากประเทศยังอิงการเติบโตด้วยแรงงานราคาถูกและทุนต่างชาติ การเติบโตจะ “เปราะบางและจำกัด” แต่หากสามารถทำให้ TFP โตอย่างต่อเนื่อง ≥1%/ปี ประเทศไทยจะเปลี่ยนจาก “โตด้วยเหงื่อ” ไปสู่ “โตด้วยสมองและเทคโนโลยี”
การยกระดับ TFP ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือ เงื่อนไขบังคับ ของการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว Blueprint Thailand → Developed จึงต้องยืนยันเป้าหมาย TFP ≥ 1%/ปี และกำหนดให้เป็น KPI หลักของยุทธศาสตร์ชาติ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา