1 ก.ย. เวลา 05:20 • ข่าว

ปะทะคารมเดือด CSI LA vs CK Cheong: ดราม่า ข้อกล่าวหา และสรุปเราได้อะไร

ฝ่ายแรก คือ เพจ CSI LA ซึ่งเป็นเพจเฟซบุ๊กยอดนิยมที่มีผู้ติดตามกว่า 1.4 ล้านคน เน้นส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ และการเปิดโปงพฤติกรรมที่น่าสงสัย ดำเนินการโดยแอดมินที่ชื่อเดวิด โดยคนหน้าจะเคยได้ยินชื่อเพจนี้มาบ้างจากทางช่องข่าวหรือ social media ต่างๆ
และในอีกด้านหนึ่งก็คือ CK Cheong, CEO ของ Fastwork แพลตฟอร์ม ฟรีแลนซ์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย โดยเป็นที่รู้จักจากสไตล์การสร้าง personal branding ที่โดดเด่น คอนเทนต์สร้างแรงบันดาลใจ พูดจาแรง และการให้ข้อมูลเชิงลึกทางการเงินผ่านเพจของเขาที่มีผู้ติดตามเกือบ 784,000 คนก่อนเกิดการปะทะคารม (ปัจจุปัน เกิน 1 ล้านคน)
จุดเริ่มต้นของเรื่อง
การโต้แย้งเริ่มขึ้นปลาย ส.ค. 68 เมื่อ CSI LA โพสต์คำวิจารณ์ชุดหนึ่งที่มุ่งเป้าไปที่บทสัมภาษณ์ของ CK โดยเฉพาะในประเด็น “คนรวยหาผลตอบแทนยังไง 17% ต่อปี” ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นการถงเถียงในสังคมของนักการเงิน และคนทั่วไปอยู่มาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีทั้งเรื่องที่เป็นความรู้ใหม่ที่ CK นำมาตีแพ่ และความเสี่ยงบางประการที่ CK อาจไม่ได้พูดถึง และตัว CK ก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้จึงได้ออกมา Post ประมาณว่า “รู้สึกดีใจที่สังคมไทยได้ถกกันเรื่องมีสาระแบบนี้ (open discussion) ดีกว่าข่าว drama ที่ไม่เป็นประโยนช์"
1
เพจ CSI LA แสดงความไม่พอใจต่อ CK โดยกล่าวหาว่าเขาใช้ความมั่นใจและความสามารถในการพูดเป็นหลัก ในการให้คำแนะนำมากกว่าความเชี่ยวชาญ และมีการไปคอมเม้นใน post ของบุคคลหนึ่งว่า “ถ้ามันเก่งจริง ทำเงินได้ปีละ 4-5 ล้าน มันจะกลับไปทำงานเมืองไทยทำไม” ประมาณนี้ ซึ่งเมื่อ CK เห็นเข้า CK ก็ออกมาโต้ทันทีว่า “ก็ถ้ามีแต่คนคิดแบบมึง เมื่อไรประเทศ มันจะเจริญ i-here”
และต่อจากนั้นการประทะกันก็เริ่มเดือดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CSI LA ชี้ให้เห็นถึงคำแนะนำในอดีตของ CK เช่น การกระตุ้นให้ผู้ติดตาม ขายหุ้นสหรัฐในปีก่อนช่วงที่หุ้นเริ่มตกหนัก (ไม่แน่ใจแหล่งที่มาที่ CSI LA อ้าง) แต่ CSI LA ก็ชี้ให้เห็นว่า CK ผิดเพราะต่อมาราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น ทำให้ผู้ที่ทำตามอาจเสียโอกาส
หรือกรณีที่บอกว่าการศึกษาไทยห้ามนักศึกษาลอกโดย CSI LA ก็ออกมาแย้งว่าที่ต่างประเทศก็ห้ามลอกเป็นปกติเช่นกัน หรือครั้งล่าสุดการส่งเสริมกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การใช้เงินกู้เพื่อการลงทุน และเพื่อขุดลึกยิ่งขึ้น CSI LA ได้ขอความช่วยเหลือจากสาธารณชนเกี่ยวกับชื่อเต็มของ CK หรือรู้จัก CK สมัยที่อยู่ที่อเมริกา เพื่อตรวจสอบประวัติของเขาและป้องกันการซ้ำรอยกรณี "หลวงพ่ออลงกต 2"
ต่อจากนั้น CK ได้ออกมาบอกชื่อจริง นามสกุลจริง ตาม passport เสมือนเปิดหน้าชก เพื่อให้ CSI LA นำไปขุดคุ้ยได้หากต้องการ ส่วน CSI LA ก็นำ port การลงทุนของตัวเองมาขิงเพื่อให้ดูว่าตัวเองยังมีความสามารถด้านการเงินมากกว่า CK ส่วน CK ก็เข้าไป comment ว่า "รวยขนาดนี้แล้วยังขอรับบริจากอีกเหรอ กูงง"
และ CK ได้ทำการเปิดการโจ้มตีครั้งใหม่โดยการโอนเงิน 33 บาท เข้าบัญชี สนับสนุน CSI LA และนำสลิปมาแปะหน้า Page ตัวเอง (โดยอ้างว่าบริจาค ทำให้เกิดวิวาทากันเรื่อง คำนิยามของเงินสนับสนุนกับเงินบริจาคเล็กน้อย) ซึ่งมีผู้ติดตามหลายแสน โดยเผินๆอาจเหมือนไม่มีอะไร แต่ปัญหาดันเกินตรงที่ชื่อผู้รับเงินบนสลิปเป็นชื่อหญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะอยู่ในประเทศไทย ทำให้คนต่างสงสัยว่า CSI LA ที่กล่าวมาตลอดว่าตัวเองอยู่อเมริกา ทำไมใช้ชื่อคนอื่นรับเงิน โปร่งใสหรือไม่ และคนนี้เป็นใคร เกี่ยวข้องยังไงกับ CSI LA
แต่ดูเหมื่อน สิ่งที่ CSI LA จะกังวลมากกว่าก็คือหญิงคนนี้อาจจะได้รับความเดือดร้อนในหลายด้าน เพราะตัวเค้าเองก็มีศัตรูอยู่ไม่น้อยเหมือนกันโดยเฉพาะจากคนในบ้านเมืองเพราะในอดีต ตัวเขาได้เปิดเปิดประเด็นเรื่องราวต่างๆมาไม่น้อยเหมือนกัน (ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน) จึงได้ออกมาปกป้องและขู่ไปกลายๆ ว่าชื่อหญิงคนนั้นนั้นเป็นเพียงทีมงานและไม่รู้ไม่เห็นอะไร และหากใครทำให้เธอเดือดร้อนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย
ส่วน CSI LA ก็ไปขุดประวัติมาว่า license CPA ของ CK นั้น มีสถานะ inactive/unregistered (น่าจะเป็น inactive มากกว่าในความเห็นผู้เขียนเพราะ CPA ต้องอบรบเก็บชัวโมงและ renew license ทุกๆกี่ปีก็ว่าไป ซึ่ง CK อาจไม่ได้อยู่ในแวดวง audit แล้วเลยไม่ต่อ แต่ไม่ได้นำตัวต่อท้าย CPA ออกจากชื่อ) แต่ CK ก็นำหลักฐานมาแสดงว่าเขาสอบผ่านจริงเป็นใบ certificate CPA (ซึ่งน่าจะแสดงว่าเคยสอบผ่านจริงในอดีต) แต่ขาดการต่ออายุจากการอบรม และไม่ได้นำอักษร CPA ออกจากคำห้อยท้ายชื่อ
แต่ทว่าเรื่องระหว่าง CK และ CSI LA ก็ยังไม่จบลง เมื่อ CK นำเรื่องมาขยี้บนหน้าเพจว่าบริจาคเงินไปแค่ 33 บาท Follower ขึ้นมาจาก 700,000 เป็น 1,000,000 แล้ว และแถมยังพลิกเกมนี้มาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดโดยให้ใช้โค้ด ที่ มี ชื่อ CSI ในโค้ดเพื่อเป็นส่วนลดบนฟาสเวิร์ค และขิงให้ดูว่ายอด download app fastwork แซง grab แล้ว
และแน่นอน CSI LA ก็ไม่หยุดเช่นกัน ได้แคปหน้าจอมาลงว่า CK เองก็เคยพูดว่าอย่าไปเชื่อพวกถ่ายรูปกับรถหรู ทำตัวดูดี แล้วสุดท้ายก็ขายคอรส์ราคาแพง และนำหน้า link ที่ CK ขาย course และถ่ายรูปรถหรู พร้อมสรุปให้ดูว่าธรุกิจที่ผ่านมาผลการดำเนินงานเป็นเช่นไร และก็แทบไม่มีนวัตกรรมอะไรเลยเมื่อเทียบกับธุรกิจคล้ายๆกันในตปท
สุดท้าย เหมือนการเริ่มต้นและการจบของการปะทะคู่นี้ ต่างฝ่ายต่างเจ็บ ทั้งคู่ และทั้งคู่ก็ได้เริ่มหยุด เริ่มนิ่งกันไป และปล่อยให้กระแสมันผ่านไป แต่ หากเรามองอย่างเป็นกลาง เราได้อะไรจากการตามข่าวครั้งนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา
ต้องยอมรับก่อนว่าทั้งคู่มีต่างมีคุณูปการต่อสังคมไทย หากขาด CSI LA ไป หลายสิ่งที่บิดเบี้ยวในสังคมอาจไม่ถูกเปิดเผย แต่ CK ก็สำคัญเช่นกัน เขาเป็นแรงบันดานใจให้ใครหลายคน บางคนอยากสู้เพื่อตัวเอง บางคนก็มีวินัยขึ้น บางคนก็มีช่องทางสร้างรายได้มากขึ้น
สิ่งสำคัญที่เราเรียนรู้คือในครั้งนี้คืออะไร
• สู้กันไป ไม่ว่าจะแพ้ จะชนะ หรือเสมอ กองเชียร์จะสะใจแค่ไหน ไม่มีใครอยู่ในสนามกับคุณ ทุกคนต่างเคยมีบาดแผล CSI LA ขนาดอยู่ตปทไม่เห็นหน้ายังถูงเปิดแผล CK เหมือนจะ win ได้ follower เพิ่ม ได้ user เพิ่มแต่ก็ ลงทุนไปเยอะ และเจอแผลเหมือนกัน บางครั้งความนิ่งก็อาจเป็นคำตอบ ซึ่งคนหลายคนเลือกใช้ และตอนนี้เหมือนทั้งคู่ ก็ต้องนำมาใช้
• ในยุคที่ Social Media และสังคมออนไลน์มีอิทธิพลมากขึ้นในชีวิตประจำวัน มันคงไม่ผิดที่เราจะรับความรู้จากแหล่งใหม่ๆให้มากขึ้น แต่ที่สำคัญก็คือการตรวจสอบความถูกต้องและแม่นยำของข้อมูล หรือแม้กระทั้งการทำตาม เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่เสียหายคือเรา ไม่ใช่ guru ใน social แต่คือเราเอง เหมื่อนที่ คนพูดกัน ไม่มีใครรัก(เงิน)คุณ เท่าตัวคุณเอง
• และท้ายที่สุด อยากให้สังคมวางความเป็น FC ของแต่ละฝ่ายลงดูก่อน และก่อนจะเถียงกัน ให้มาพิจารณาด้วยเหตุผลว่าอะไรถูก อะไรผิด ไม่เชียร์เพราะชอบเพราะความสะใจ หากทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ร่วมกัน กับแตกแยกกัน แบบไหนดีกว่ากัน หากมองว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ทำประโยชน์ และต่างก็เคยทำพลาด ก็แค่ขอให้ยุติความขัดแย้งและมาทำเพื่อส่วนรวมต่อไปจะดีกว่าหรือไม่เพื่อคนไทย เพื่อประเทศ (ไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน ไม่ว่าใครจะพูดผิด ไม่ว่าใครจะพลาดมากกว่า แต่คนไม่เคยพลาด มีเพียงแต่คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย)
โฆษณา