3 ก.ย. เวลา 12:24 • ประวัติศาสตร์

ปัญหาที่ “ญี่ปุ่น” กำลังเผชิญ

ชาวญี่ปุ่นนั้นเป็นชนชาติที่โดดเด่น ด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในปัจจุบัน ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาการลดลงของจำนวนประชากร โดยปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีผู้สูงวัยมากกว่าเด็กทารก
ในปีค.ศ.2024 (พ.ศ.2567) ที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตในญี่ปุ่นมีถึง 1.4 ล้านคน แต่มีทารกเกิดใหม่เพียง 686,061 คน ซึ่งนับเป็นสถิติที่ต่ำที่สุด และเป็นครั้งแรกที่อัตราการเกิดลดต่ำกว่า 700,000 คนนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกในปีค.ศ.1899 (พ.ศ.2442)
นี่เป็นแนวโน้มการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคิดเป็นการลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ด้วยวิถีการปรับตัวทางวัฒนธรรมตลอดช่วง 300 ปีที่ผ่านมา ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถ หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ ไม่เต็มใจที่จะปรับตัวต่อความท้าทายเหล่านี้ ทั้งนี้เป็นผลจากการเมืองภายในประเทศและโครงสร้างสังคมอันเฉพาะตัวของญี่ปุ่น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีที่รุนแรงตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) เป็นต้นมา
ชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันไม่เต็มใจที่จะเผชิญกับปัญหาสังคม และใช้การอพยพเป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อซื้อเวลาในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ
สาเหตุหนึ่งที่ญี่ปุ่นไม่ต้องการพึ่งพาการอพยพเข้ามาของชาวต่างชาติ มาจากการที่ญี่ปุ่นเห็นผลลัพธ์อันเลวร้ายของการอพยพในยุโรปตั้งแต่ปีค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) ซึ่งหลายประเทศได้สูญเสียการควบคุมพรมแดน เช่น สหราชอาณาจักรที่ในปัจจุบัน มีผู้คนข้ามช่องแคบอังกฤษเข้ามาสัปดาห์ละเกือบ 1,000 คน รวมทั้งตัวเลขการอพยพสะสมสูงถึง 28,000 คนในปีนี้ (ค.ศ.2025)
สิ่งที่เกิดขึ้นในยุโรปได้ส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่การอพยพจำนวนมากนำไปสู่การก่อรูปของ “สังคมคู่ขนาน” ซึ่งไม่ผสมกลมกลืนเข้ากับประเทศใหม่ และชาวญี่ปุ่นก็เห็นปรากฏการณ์เหล่านี้และไม่ต้องการให้เกิดซ้ำในญี่ปุ่น ดินแดนซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานของความเป็นสังคมเชื้อชาติเดียวกัน
อีกปัจจัยสำคัญคือผลกระทบจากแนวคิดสตรีนิยม และการที่ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเปลี่ยนสังคมญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาขึ้นในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุค 40 (พ.ศ.2483-2492) เป็นต้นมา ทำให้แรงงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังของผู้ชายอีกต่อไป ผู้หญิงก็สามารถทำงานได้ สามารถมีรายได้เป็นของตนเอง การพึ่งพาผู้ชายจึงน้อยลง
แต่ปัญหาคือ สังคมญี่ปุ่นไม่สามารถพัฒนาโครงสร้างสังคมให้ทันกับลัทธิสตรีนิยม เศรษฐกิจของผู้หญิงดีขึ้นก็จริง แต่เงื่อนไขทางสังคมกลับไม่เปลี่ยนตาม
นั่นหมายความว่าผู้หญิงญี่ปุ่นยังต้องทำงานเต็มเวลา และยังต้องรับภาระงานบ้านที่ไม่ได้รับค่าจ้าง เนื่องจากวัฒนธรรมที่ผู้ชายและผู้หญิงไม่ได้แบ่งภาระงานบ้านอย่างเท่าเทียม สิ่งนี้จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อัตราการเกิดต่ำ เพราะไม่มีแรงจูงใจทางสังคมหรือวัฒนธรรมเพียงพอที่ผู้หญิงจะเลือกมีลูกกับผู้ชายญี่ปุ่น
1
ปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในญี่ปุ่น แต่ยังพบในประเทศที่ได้รับอิทธิพลขงจื๊อ เช่น เกาหลีใต้และจีน ที่ต่างเผชิญกับวิกฤตการเกิดต่ำเช่นกัน แม้กระทั่งประเทศตะวันตกก็ประสบปัญหาเดียวกัน เนื่องจากสังคมไม่สามารถปรับตัวต่อผลกระทบของลัทธิสตรีนิยม เทคโนโลยี และความมั่งคั่งที่ทำให้แรงจูงใจในการมีลูกถดถอย
“อดัม สมิธ (Adam Smith)” นักเศรษฐศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์เคยสรุปไว้ใน ”The Wealth of Nations“ ซึ่งตีพิมพ์ในปีค.ศ.1776 (พ.ศ.2319) ได้กล่าวว่า คนร่ำรวยมักไม่อยากมีลูกหรือมีลูกน้อย ขณะที่ “เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (Edward Gibbon)” นักการเมืองและนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้เขียนเรื่อง “The Decline and Fall of the Roman Empire” ในปีค.ศ.1776 (พ.ศ.2319) เช่นกัน ก็เชื่อมโยงความมั่งคั่งและความเสื่อมโทรมกับการที่ชนชั้นสูงโรมันไม่สามารถสืบเชื้อสายต่อไปได้
นั่นชี้ให้เห็นว่า ความมั่งคั่ง ความสำเร็จ และความเสื่อมโทรม มักทำให้สังคมไม่อยากมีลูก ซึ่งปัจจุบันปัญหานี้ก็กำลังเกิดขึ้นในระดับใหญ่ทั่วโลก
อดัม สมิธ (Adam Smith)
และแนวโน้มทางสังคมแบบนี้ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น จีนที่ใช้นโยบายมีบุตรคนเดียว แม้ง่ายต่อการบังคับใช้ แต่กลับเป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกฟื้นให้คนอยากมีลูกมากขึ้นอีก ซึ่งตอกย้ำว่าการทำให้คนเลิกมีลูกนั้นง่ายกว่ามาก แต่การทำให้คนกลับมาอยากมีลูกเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าจะทำได้
1
หากมองในมุมของประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากสังคมยุคกลางสู่สังคมอุตสาหกรรมภายในเวลาเพียง 40 ปี หลังจากสิ้นสุดยุครัฐบาลเอโดะในช่วงระหว่างค.ศ.1603–1868 (พ.ศ.2146-2411) และยุติลงด้วยการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration) ในปีค.ศ.1868 (พ.ศ.2411)
เป้าหมายสำคัญในเวลานั้นคือ เปลี่ยนญี่ปุ่นจากสังคมยุคกลางเป็นสังคมสมัยใหม่ โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นไว้ โดยมีคำขวัญคือ “ทำให้ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง”
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความหมายของการเป็นมหาอำนาจ คือการครอบครองจักรวรรดิ และหนทางเดียวที่ญี่ปุ่นจะสามารถทำได้ในเอเชียตะวันออก ก็คือต้องเอาชนะจีน รัสเซีย และขับไล่สหรัฐอเมริกาและชาติล่าอาณานิคมอื่นออกจากแปซิฟิก
ญี่ปุ่นทำสำเร็จสองในสามเป้าหมาย นั่นคือ
-ในปีค.ศ.1894 (พ.ศ.2437) ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจีน ซึ่งเป็นชาติที่ครองความเป็นใหญ่ในเอเชียตะวันออกมากว่า 4,000 ปี
-ต่อมาใน “สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War)” ในปีค.ศ.1904–1905 (พ.ศ.2447-2448) ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจักรวรรดิรัสเซียได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 300 ปีที่ชาติตะวันออกสามารถเอาชนะมหาอำนาจยุโรปได้
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคมของญี่ปุ่นในระยะเวลาอันสั้น
ต่อมา ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนจากสังคมยุคกลางเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม ไปสู่จักรวรรดิ และต้องเผชิญหายนะจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฮิโรชิมาและนางาซากิถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลก
หลังจากการยึดครองของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายยุค 40 (พ.ศ.2483-2492) -ต้นยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนผ่านจากสังคมจักรวรรดินิยมสู่สังคมเสรีประชาธิปไตย และกลายเป็นหนึ่งในประเทศประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออก
อาจจะสรุปได้ว่า ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความสามารถในการพลิกโฉมประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรม
หากญี่ปุ่นสามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้ ญี่ปุ่นก็ควรจะสามารถก้าวผ่านวิกฤตอัตราการเกิดต่ำได้เช่นกัน แต่ในท้ายที่สุด อนาคตของชาติญี่ปุ่นก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของชาวญี่ปุ่นเอง
จะเลือก “ประสบความสำเร็จ” หรือปล่อยให้ “ล้มเหลวและเสื่อมสลายไป”
คงมีเพียงอนาคตที่จะตอบได้
โฆษณา