19 ก.ย. เวลา 12:13 • ปรัชญา

“เด็กแรกเกิด ก็มีกิเลส..”

หลายคนเข้าใจว่า กิเลส ได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง.. แต่ตามหลักการแล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวถึงกิเลสไว้หลายนัย..
ต้นตอของกิเลส คือ อวิชชา.. จะเรียกว่า เป็นกิเลสก็คงไม่ผิด.. มิจฉาทิฐิ ความคิดผิด นับว่าเป็นกิเลสก็คงได้..
ใครจะเรียกบาป.. เรียกอกุศลจิตว่า เป็นกิเลสด้วยก็คงไม่มีใครว่า..
แต่ความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลงนี่.. น่าจะเป็นเพียงผลที่เกิดจากกิเลส..
พระไตรปิฎก กล่าวชัดถึง กิเลสอย่างเป็นทางการ.. สิ่งที่เป็นเครื่องร้อยรัดสรรพสัตว์ให้ต้องมาเกิดซ้ำๆ.. เรียกว่า สังโยชน์..
ในมหาลุงกโยวาทสูตรนั้น พระภิกษุ ชื่อมาลุงกยบุตร เชื่อผิดๆว่า.. เวลาปกติ คนจะไม่มีกิเลส.. คนเราจะมีกิเลสเฉพาะตอนเกิดอารมณ์กิเลสครอบงำเท่านั้น..
ณ วัดป่าเชตวัน.. ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าถามพระมาลุงว่า.. จำได้มั้ยว่า สังโยชน์ 5 .. ที่ร้อยรัดสัตว์โลก.. ที่ควรตัดได้แก่อะไรบ้าง..
“1. สักกายทิฏฐิ..
2. วิจิกิจฉา..
3. สีลัพพตปรามาส..
4. กามฉันทะ และ..
5. พยาบาท.. ขอรับ”
พระมาลุงตอบ..
สักกายทิฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุให้ยึดติดว่ากาย เป็นตัวตนของตน..
ความคิดเกิด ก็ว่าตนคิด.. ความสุขเกิด ก็เห็นว่าตนมีความสุข.. ความเจ็บ ความซึมเศร้าเกิด ก็คิดว่าตนเองเจ็บ ตนเองเศร้า..
เมื่อละได้อย่างเด็ดขาด.. จะไม่ยึดมั่นถือมั่น..
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในธรรมคำสั่งสอน..
สีลัพพตปรามาส คือ ความยึดติดในศีล ในพิธีกรรม ในความเชื่อที่ต้องทำ.. และแนวปฏิบัติที่ผิดที่เชื่อว่าจะเกิดผลดี..
กามฉันทะ คือ ความพอใจ ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิดที่ชอบใจ..
พยาบาท คือ ความคิดลบ คิดปองร้ายต่อสรรพสัตว์อื่น..
พระพุทธเจ้าสอนพระมาลุงว่า..
“เด็กเกิดใหม่ นอนหงายในเปล.. ยังไม่คำนึงถึงกาย.. จะยึดติดในตัวตนได้อย่างไร..
เด็กน้อย.. ยังไม่รู้จักธรรม.. เขาจะลังเลสงสัยในธรรมคำสอนได้อย่างไง..
เด็กน้อย.. ไม่รู้จักศีล ไม่รู้วิธีการปฏิบัติธรรม.. จะเกิดสีลัพพตปรามาสได้มั้ย..
เด็กนั้น.. ไม่มีความคิดเรื่องกาม จะมีกามฉันทะได้มั้ย..
เด็กนี้.. ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่รู้จักสรรพสัตว์.. คิดว่า เขาจะเกิดความพยาบาท คิดลบปองร้ายคนอื่นได้มั้ย..“
พระมาลุงตอบว่า ไม่ได้.. แต่พระพุทธเจ้ายืนยันว่า.. ได้..
”เพราะเด็ก ก็มีสังโยชน์ 5 อย่างนี้ติดมา พร้อมกับการเกิด เพียงแต่กิเลสนี้เป็นอนุสัยฝังตัว นอนเนื่องอยู่ ยังไม่แสดงตัวออกมา..”
พระอานนท์ทูลถามให้ทรงอธิบาย..
“ปุถุชน ผู้ไม่รู้วิธีถอนตัวจากสังโยชน์ 5 อย่างตามความเป็นจริง.. ก็จะถูกรึงรัด..
พระอริยบุคคลนั้น รู้วิธีถอนตัว.. จิตไม่ถูกสังโยชน์ 5 รุมรัด.. จึงละสังโยชน์ 5 ได้ พร้อมทั้งอนุสัยที่แฝงตัวอยู่..”
พระอานนท์ถามต่อไปว่า..
“แล้ววิธีถอนตัวจากสังโยชน์ 5 นี้.. ต้องทำอย่างไรขอรับ..”
“ถ้าบุคคลไม่อาศัยมรรค.. จะไม่มีทางละสังโยชน์ได้เลย..
เปรียบเหมือนการตัดต้นไม้ที่มีแก่น มีกะพี้ และมีเปลือก..“
(คำอธิบายพระไตรปิฏก ขยายว่า.. สมถะสมาธิมีไว้ตัดเปลือก.. วิปัสสนา ตัดกะพี้.. แก่นไม้ตัดได้ด้วยมรรค..)
”การแสดงธรรมเพื่อให้เขาละวางการยึดติดในตัวตน.. สักกายทิฐิ นั้น..
ถ้าจิตของเขาไม่ส่งตาม.. ไม่เลื่อมใส.. ไม่ตั้งมั่น.. เขาก็เห็นเหมือนเดิม.. คือ ไม่หลุดพ้น..“
”มรรค เพื่อละสังโยชน์ได้นั้น ต้องเข้าฌาน เพื่อให้จิตสงบ.. แล้วพิจารณาขันธุ์ 5 ว่า.. ไม่เที่ยง.. เป็นทุกข์.. เป็นของไม่สบาย.. เป็นของทรุดโทรม.. เป็นของไม่ใช่ตน.. เพื่อละวางขันธุ์ 5..
ถ้าวางได้ ย่อมหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์.. ถ้ายังไม่หมดกิเลส.. ก็ยังเป็นพระอนาคามี..“
พระอานนท์ถาม..
”การละวางสังโยช์ ต้องใช้มรรควิธีอย่างเดียวเท่านั้น.. แต่ทำไม พระภิกษุบางรูปหมดอาสวะได้เพราะสมาธิ.. แต่บางรูปตัดกิเลสได้ เพราะปัญญาขอรับ..“
”เพราะพระภิกษุมีความศรัทธา.. ความเพียร.. สติ.. สมาธิ.. และปัญญาแตกต่างกัน..“
พระพุทธเจ้าตอบ..
หมายถึง บุคคลใด ฝึกฝนสิ่งใดในอินทรีย์ 5 นั้นให้มาก..
 
สิ่งนั้นก็จะมีกำลังมาก.. จนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคคลนั้น เกิดความเข้าใจในธรรม แทงตลอดจนตัดสังโยชน์ได้เด็ดขาด..
สรุปว่า.. พระอรหันต์ ไม่ใช่มนุษย์ที่หมดอารมณ์..แต่มีสติรู้ทัน.. คนที่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความคิดปรุงใดๆ.. นั่นคงมีแต่มนุษย์เอไอ..
แต่พระอรหันต์ คือ มนุษย์ที่ตัดสังโยชน์ได้เด็ดขาด..
ไม่มีเชื้อที่เป็นปัจจัยให้เกิดใหม่..
พระอรหันต์นั้น ท่านก็มีหลายเลเวล.. เปรียบเหมือนสะเก็ดไฟ ตกสู่พื้นหญ้าแห้ง..
บางท่าน ไฟดับตั้งแต่ยังไม่ทัชดาวน์ ไม่ทันแตะพื้นรันเวย์..
บางท่าน ตกพื้นแล้วดับทันที ไม่ทันลามหญ้า..
บางท่าน ไฟตกพื้น ติดลามไหม้หญ้าหน่อยนึง แล้วจึงดับ..
แม้ในสายตาของปุถุชน อาจจะดูเหมือนพระอรหันต์บางท่าน.. ยังมีความคิดปรุงแต่ง.. ยังมีรักโลภโกรธหลง เหมือนชาวบ้าน..
แต่จริงๆไม่เหมือน..
เพราะไม่มีอวิชชา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน.. จีงไม่มีอารมณ์.. ไม่มีความคิดปรุงแต่งที่เกิดจากอวิชชาตัณหาอุปาทาน..
ถ้าจะมี ก็ไม่ใช่รักโลภโกรธหลงแบบโลกๆอันมีสังโยชน์เป็นบ่อเกิดอีกต่อไป..
เวลาดูพระอรหันต์.. ให้ดูที่สังโยชน์.. ว่าท่านละวางได้อย่างเด็ดขาดมั้ย..
ถ้าเห็นว่า ท่านละวางตัวใดได้เด็ดขาด.. ก็จะตอบได้ว่า ท่านเป็นโสดาบัน.. สกิทาคา.. อนาคา.. หรืออรหันต์..
ถ้าเราดูท่านไม่ออก.. ดูท่านไม่เป็น.. ก็อย่าไปเสียเวลาดู.. เพราะการดูคนอื่น มันไม่เกิดประโยชน์อะไร..
ไม่จ้องจับผิดคนอื่นให้ใจเศร้าหมอง..
แต่ให้ย้อนกลับมาดูตัวเรา.. ดูใจของเรานี่..
เราเจริญมรรครึยัง..
จ้องดูใจตนเองว่า บกพร่องตรงไหน.. เราละสังโยชน์ตัวไหน ได้แค่ไหน เพียงใดแล้ว..
สังโยขน์ 10 ตัวนี่.. กิเลสตัวใด ละแล้ว.. ตัวใดยังไม่ได้ละ..
อันนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดต่อสังคม.. และจะเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง.. ทั้งในภพนี้ และภพหน้า..
นี้ เรียกว่า การพัฒนา.. หรือภาวนา.. นั่นเอง..
โฆษณา