26 ก.ย. เวลา 03:36 • ข่าวรอบโลก

เซเลนสกี: ผมไม่ขอไปต่อแล้ว หาก…

สรุปเหตุการณ์สำคัญ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ในรอบวันที่ผ่านมา
“โวโลดิมีร์ เซเลนสกี” ผู้นำยูเครนให้สัมภาษณ์กับ Axios สื่อของอเมริกา ในรายการ The Axios Show เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 ว่าเขาพร้อมที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนสมัยที่สอง หากสามารถยุติสงครามกับรัสเซียได้ [1]
“หากเรายุติสงครามกับรัสเซียได้ ผมก็พร้อมที่จะไม่ลงสมัคร [เลือกตั้ง] เพราะการเลือกตั้งไม่ใช่เป้าหมายของผม ผมต้องการอยู่เคียงข้างประเทศชาติในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ เป้าหมายของผมคือการยุติสงคราม” เซเลนสกีกล่าวในการให้สัมภาษณ์ ฟังดูเท่มากๆ
ไฮไลท์การให้สัมภาษณ์ของเซเลนสกีครั้งนี้รับชมได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้
เซเลนสกีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2019 โดยวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกอย่างเป็นทางการ (จากสองวาระที่เป็นไปได้) ของเขาสิ้นสุดลงไปแล้วในเดือนพฤษภาคม 2024
อย่างไรก็ตาม “ภายใต้กฎอัยการศึก” กฎหมายยูเครนห้ามไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ดังนั้นวาระแรกของเซเลนสกีจึงได้รับการขยายออกไปโดยอัตโนมัติ (เมื่อมีการขยายกฎอัยการศึกออกไปเรื่อยๆ) ซึ่งทำให้ทางการรัสเซียมีเหตุผลที่จะประกาศย้ำอยู่หลายหนว่า เซเลนสกี “ไม่มีความชอบธรรม” ในการเป็นประธานาธิบดียูเครน
ในขณะเดียวกันในยูเครนเอง แม้แต่คู่แข่งทางการเมืองของเซเลนสกีก็มีความเห็นพ้องต้องกันว่าเขาควรดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปจนกว่าจะมีการยกเลิกกฎอัยการศึก
เซเลนสกีเองได้กล่าวถึง ความสำคัญของการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีหลายครั้ง แต่ต้องเกิดหลังจากสงครามสิ้นสุดลงและกฎอัยการศึกถูกยกเลิก ในการให้สัมภาษณ์กับ Axios เขากล่าวว่าเขาจะผลักดันให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงการหยุดยิงกับรัสเซีย (Ceasefire) ชั่วคราวในระยะยาว แทนที่จะผลักดันให้สงครามยุติลงอย่างสิ้นเชิงแล้วค่อยจัดเลือกตั้ง
ผลโพลล่าสุดจัดทำโดยหน่วยงานในยูเครนเองแสดงให้เห็นว่า เซเลนสกีจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุดหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จากการสำรวจในเดือนสิงหาคมโดยศูนย์สังคมวิทยา Rating พบว่าชาวยูเครน 35.2% เต็มใจที่จะลงคะแนนเสียงให้เขา ขณะที่ 25.3% จะลงคะแนนเสียงให้กับ “นายพลวาเลรี ซาลุจนี” คู่แข่งคนสำคัญของเขา อย่างไรก็ตามเซเลนสกียังคงตามหลังซาลุชนีในด้านความไว้วางใจโดยรวม [2]
นายพลวาเลรี ซาลุจนี ที่มาภาพ: Social media
มาดูสถานการณ์ที่ฝั่งรัสเซียกันบ้าง กลุ่มประเทศสมาชิกนาโตมีความเห็นไม่ตรงกันว่าจะยิงเครื่องบินทหารรัสเซียที่ละเมิดน่านฟ้าของกลุ่มตนหรือไม่ ประเด็นนี้ได้รับการหารือในวันอังคารที่การประชุมฉุกเฉินของสภาแอตแลนติกเหนือ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้การร้องขอของทางการ “เอสโตเนีย” ตามรายงานของซีเอ็นเอ็น [3]
แหล่งข่าวรายงานว่า บางประเทศโดยเฉพาะ “โปแลนด์” และ “เอสโตเนีย” ต้องการให้แถลงการณ์ร่วมหลังการประชุมระบุอย่างชัดเจนว่า หากรัสเซียละเมิดน่านฟ้าอีก ทางนาโตจะทำการตอบโต้อย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน “เยอรมนี” และกลุ่มประเทศในยุโรปใต้ยืนยันว่าถ้อยคำดังกล่าวอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ (กล้าๆ กลัวๆ)
ในที่สุดได้มีการนำรูปแบบการประนีประนอมมาใช้ในสถานการณ์กับรัสเซีย ข้อความอย่างเป็นทางการของแถลงการณ์ระบุว่า “นาโตและพันธมิตรจะใช้วิธีการทางทหารและที่ไม่ใช่ทางทหารทั้งหมดที่จำเป็นตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันตนเองและต่อต้านภัยคุกคามใดๆ จากทุกทิศทาง… เราจะยังคงตอบโต้ด้วยวิธี ในเวลา และตามวิธีที่เราเห็นว่าเหมาะสม” แถลงการณ์หลังการหารือระบุ
นี่แสดงให้เห็นว่า ตอนนี้พันธมิตรนาโตยุโรปประสบความยากลำบากเพียงใดในการหาฉันทามติเกี่ยวกับวิธีรับมือกับการกระทำของรัสเซีย ยังไม่มีเป็นเอกฉันท์ น่าจะยังกลัวรัสเซียเรื่องนิวเคลียร์อยู่ที่กดหรือปรามพวกเขาไม่ให้ผลีผลาม
เครดิตภาพ: The Sun
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์หลายครั้งที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดน่านฟ้าของกลุ่มนาโตโดยโดรนและอากาศยานของรัสเซีย ในคืนวันที่ 10 กันยายน โดรนมากกว่า 20 ลำบินเข้าสู่โปแลนด์ และเครื่องบินขับไล่ของโปแลนด์และพันธมิตรได้เข้าสกัดกั้นโดรนเหล่านั้น โดยมีโดรนหลายลำถูกยิงตก ในวันที่ 13 กันยายน โดรนของรัสเซียลำหนึ่งบินเข้าสู่ดินแดนโรมาเนีย และเครื่องบินขับไล่ถูกเข้าสกัดกั้น แต่โดรนดังกล่าวก็ออกนอกน่านฟ้าของประเทศภายในไม่กี่นาที
19 กันยายนที่ผ่านมา เอสโตเนียรายงานว่าเครื่องบินขับไล่ของรัสเซีย 3 ลำได้ละเมิดน่านฟ้าและลอยอยู่ในน่านฟ้าเอสโตเนียเป็นเวลา 12 นาที ในวันเดียวกันนั้นโปแลนด์รายงานว่าเครื่องบินขับไล่ของรัสเซีย 2 ลำบินในระดับต่ำเหนือแท่นขุดเจาะในทะเลบอลติก [4][5]
นาโตเชื่อว่า “รัสเซียกำลังศึกษาหาจุดอ่อนในการป้องกันของกลุ่มพันธมิตรนาโต” และทดสอบว่านาโตสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อปกป้องสมาชิกของตน
เรียบเรียงโดย Right Style
26th Sep 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Christopher Occhicone / The Atlantic>
โฆษณา