Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BETTERCM
•
ติดตาม
29 ก.ย. เวลา 05:48 • สุขภาพ
🤯ยากับอาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium)
อาการสับสนเฉียบพลัน / ภาวะเพ้อ (Delirium) คือ ภาวะที่การทำงานของสมองเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน ทำให้มีอาการสับสน คิดช้า ความจำบกพร่อง หรือมีอาการผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น กระวนกระวาย เห็นภาพหลอน หรือซึมเศร้า
อาการนี้อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือหลายวัน โดยมีลักษณะเด่นคือความบกพร่องในด้าน ความใส่ใจ (attention), การรับรู้ (cognition) และ ระดับความรู้สึกตัว (consciousness)
ลักษณะและสาเหตุของภาวะเพ้อ
* อาการขึ้นลง: ผู้ป่วยอาจมีอาการเซื่องซึมในขณะหนึ่ง และตื่นตัวในอีกขณะหนึ่ง หรือสงบและมีสมาธิในขณะหนึ่ง แต่กลับกระสับกระส่ายและวอกแวกในภายหลัง อาการเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง
* อาการร่วม: ผู้ป่วยจะมีความสามารถในการใส่ใจสิ่งรอบข้างลดลง อาจมีการตีความเหตุการณ์ผิดพลาด จากภาพลวงตา หรือภาพหลอน
* ความแตกต่างจากภาวะสมองเสื่อม:
🔹ภาวะเพ้อ มีการดำเนินไปอย่างเฉียบพลัน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว และมักจะกลับเป็นปกติได้
🔸ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) มีการดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรื้อรัง และไม่กลับมาเป็นปกติ
🤶ความชุกและความเสี่ยงในผู้สูงอายุ
* ภาวะเพ้อเป็นเรื่องที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี)
* ผู้สูงอายุประมาณ 15% ถึง 50% มีอาการเพ้อในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
* ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ:
อายุที่มากขึ้น
ความผิดปกติของสมองที่มีอยู่ก่อน (เช่น ภาวะสมองเสื่อม, โรคพาร์กินสัน, โรคหลอดเลือดสมอง)
ความบกพร่องทางการทำงานหรือประสาทสัมผัส
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังที่ซับซ้อน
‼️ยาเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะเพ้อ โดยเฉพาะการใช้ยาในปริมาณสูง โดยทั่วไปมักมีคุณสมบัติดังนี้:
* ยาที่สามารถข้ามผ่านแนวกั้นระหว่างเลือดกับสมองได้โดยตรง (Blood-Brain Barrier - BBB)
* ยาที่เพิ่มการซึมผ่านของแนวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง: เช่น ในภาวะไตวาย เมื่อใช้ยาบางชนิด สามารถทำให้เยื่อหุ้มสมองซึมผ่านได้ง่ายขึ้น
* ยาที่มีฤทธิ์ต้านโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic)
* ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นโดปามีน (Dopaminergic activity)
นอกจากนี้ ยาใดๆ ที่ส่งผลให้เกิดกลุ่มอาการเซโรโทนิน (serotonin syndrome) ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเพ้อเช่นกัน เช่น ยาในกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) รวมถึงยาอื่น ๆ เช่น ไลเนโซลิด (linezolid), ทรามาดอล (tramadol), และแอมเฟตามีน (amphetamines)
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับอายุ ในด้านเภสัชจลนศาสตร์ (การดูดซึม, การกระจายตัว, การเผาผลาญ, การขับออกของยา) และเภสัชพลศาสตร์ (การตอบสนองต่อยา) รวมถึงภาวะบกพร่องของตับและไต ที่เกี่ยวข้องกับโรค จะส่งผลให้เกิดความเป็นพิษจากยาตามมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเพ้อในผู้สูงอายุ
กลุ่มยาที่พบบ่อย:
❗ ยาต้านโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic): เช่น Oxybutynin (ใช้รักษาภาวะปัสสาวะเล็ด)
❗เบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines): (ใช้รักษาภาวะวิตกกังวลหรือปัญหาการนอนหลับ)
❗ ยาเสพติด/ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Narcotics/Opioids)
แม้ในปริมาณที่แนะนำ ยาเหล่านี้ก็อาจทำให้เกิดความสับสน ความบกพร่องทางการรับรู้ และภาวะเพ้อในผู้สูงอายุได้
‼️‼️ความเชื่อมโยงระหว่างยาปฏิชีวนะและภาวะเพ้อที่อาจรุนแรงกว่าที่คิด
ยาปฏิชีวนะไม่เพียงออกฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียเท่านั้น แต่ยังมี "ผลกระทบที่ไม่ตรงเป้าหมาย" โดยรบกวนการส่งสัญญาณปกติภายในสมอง ทำให้เกิดรูปแบบความเป็นพิษที่แตกต่างกันไป
การจัดแบ่งประเภทภาวะเพ้อจากยาปฏิชีวนะ
▶️ประเภทที่ 1 เพนิซิลลิน (Penicillin), เซฟาโลสปอริน (Cephalosporins)
ลักษณะอาการเด่น อาการชัก เริ่มต้นภายในไม่กี่วัน/หายภายในไม่กี่วัน
⏩ประเภทที่ 2 ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides), ฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones), มาโครไลด์ (Macrolides)
ลักษณะเด่น อาการโรคจิต (Psychosis) เริ่มต้นภายในไม่กี่วัน/หายภายในไม่กี่วัน
⏭️ประเภทที่ 3 เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) (พบเพียงชนิดเดียว)
ลักษณะอาการเด่น EEG ผิดปกติ, การประสานงานของกล้ามเนื้อบกพร่อง เริ่มต้นช้า (เป็นสัปดาห์) และอาการคงอยู่ยาวนานกว่ายาประเภทอื่นมาก
⚠️แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีปฏิกิริยาทางระบบประสาทจากยาปฏิชีวนะ แต่เนื่องจากทั้งการติดเชื้อ และ ยาปฏิชีวนะ ต่างสามารถทำให้เกิดภาวะเพ้อได้ การระบุสาเหตุที่แท้จริงจึงเป็นเรื่องยาก
⭕ช่องว่างความรู้เกี่ยวกับยาและความเสี่ยงในการเกิดภาวะเพ้อ
ความเข้าใจที่ยังจำกัด เกี่ยวกับความเสี่ยงของยาที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุ และการรักษาภาวะเพ้อในผู้ใหญ่ ทั้งที่มีและไม่มีภาวะสมองเสื่อม สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวกับพยาธิสรีรวิทยาของภาวะเพ้อเอง
อาการที่ไม่ถูกระบุเฉพาะเจาะจง:
* เนื่องจากอาการของภาวะเพ้อมีความหลากหลายสูง แนวทางการแพทย์ต่าง ๆ ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจน ว่ายา/กลุ่มยาแต่ละชนิดเกี่ยวข้องกับอาการเพ้อที่พบบ่อยที่สุดอย่างไร
* มีการรายงานเพียงคำศัพท์ทั่วไป เช่น "ภาวะเพ้อ" (delirium) และ "ภาวะบกพร่องทางปัญญา" (cognitive impairment) เท่านั้น โดยไม่ได้ระบุถึงอาการเฉพาะเจาะจง เช่น ภาพหลอน, ความสับสน, ภาวะสับสนทางเวลาและสถานที่ (disorientation) กลุ่มอาการร้ายแรงจากยารักษาโรคจิต (neuroleptic malignant syndrome) หรือภาวะสมองผิดปกติ (encephalopathy) ทำให้ไม่ชัดเจนว่ายาแต่ละชนิดมีส่วนทำให้อาการของผู้ป่วยเป็นอย่างไร
การขาดข้อมูลการใช้ยาร่วมกัน:
* พบข้อมูลที่จำกัดมาก เกี่ยวกับการใช้ยาร่วมกัน ที่อาจมีผลสะสมทำให้เกิดภาวะเพ้อ
* แม้มีการระบุชุดยาที่อาจมีผลร่วมกัน (เช่น Orphenadrine + Paracetamol หรือ Diclofenac + Orphenadrine) แต่ก็ไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาใดร่วมกันบ้าง
นิยามที่ไม่เป็นมาตรฐาน:
* แนวทางการแพทย์บางฉบับอ้างถึงมาตรการทั่วไป เช่น การเพิ่มยา 3 ชนิดขึ้นไประหว่างการรักษาในโรงพยาบาลเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่มาตรการนี้ขาดหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่น
* แนวทางอื่น ๆ ระบุถึง "การใช้ยาหลายขนาน (polypharmacy)" เป็นปัจจัยเสี่ยง แต่ไม่มีการกำหนดนิยามที่ชัดเจนสำหรับคำว่า "polypharmacy"
การขาดวิธีการวัดมาตรฐาน:
* ยังขาดระเบียบวิธีที่เป็นมาตรฐานเพื่อ วัดปริมาณความเสี่ยงของยาแต่ละชนิด ในการก่อให้เกิดภาวะเพ้อ
🏥ผลกระทบต่อผู้ป่วยในโรงพยาบาล
* ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะเพ้อ เมื่อถูกแยกจากสภาพแวดล้อมหรือกิจวัตรที่คุ้นเคย
* หลังการผ่าตัด: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากมีการใช้ยาสลบเป็นเวลานาน และมีการให้ยาต้านโคลิเนอร์จิก
* ในหอผู้ป่วยหนัก (ICU): ความเสี่ยงจะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยว ไม่มีหน้าต่าง การถูกรบกวนการนอนหลับบ่อยครั้ง และเสียงรบกวนจากเครื่องมือทางการแพทย์
✴️แนวทางการจัดการและการรักษา
การรักษาที่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับการระบุและแก้ไขปัจจัยเป็นสาเหตุ ซึ่งรวมถึงการทบทวนประวัติทางการแพทย์และประวัติการใช้ยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
✅การแก้ไขสาเหตุ: ให้ความสำคัญกับการลดขนาดยา หรือหยุดยาที่อาจทำให้เกิดความสับสน
✅การรักษาอาการทางพฤติกรรม:
* Haloperidol เป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาอาการเพ้อ เนื่องจากมีผลต้านโคลิเนอร์จิกน้อย
* อาจมีการใช้เบนโซไดอะซีปีนชนิดออกฤทธิ์สั้นร่วมด้วย โดยเฉพาะในกรณีภาวะเพ้อที่เกิดจากการถอนพิษสุรา (alcohol withdrawal)
🧑🔬บทบาทของเภสัชกร: การให้เภสัชกรเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ ในการตรวจสอบประวัติการใช้ยาจะช่วยระบุสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับยาได้อย่างรวดเร็ว
⭕ภาวะเพ้อเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และแม้จะส่งผลกระทบร้ายแรง แต่ก็มักจะสามารถกลับเป็นปกติได้ หากมีการวินิจฉัยและแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที
💢Seniors at Risk for Delirium, US Pharm. 2007;32(6):20-24.
https://www.uspharmacist.com/article/seniors-at-risk-for-delirium
Link between antibiotics and delirium strengthened, Medical News Today, February 2016
https://www.medicalnewstoday.com/articles/306671
🔰อ่านเพิ่มเติม
Medication-induced causes of delirium in patients with and without dementia: a systematic review of published neurology guidelines, International Journal of Clinical Pharmacy 47(2), February 2025
https://www.researchgate.net/publication/389139574_Medication-induced_causes_of_delirium_in_patients_with_and_without_dementia_a_systematic_review_of_published_neurology_guidelines
.🤯ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่หนึ่งกับการเกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน (Delirium) ในผู้สูงอายุ
https://www.blockdit.com/posts/69046185ff8ea60b234597b0
BETTERCM 2025.09.29
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย