Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าเมาเมาแมน
•
ติดตาม
6 ต.ค. เวลา 11:24 • การเมือง
เศรษฐกิจใต้ไฟสงคราม ความกลัวและสิ้นหวัง…
ถ้าใครมาถามผมว่า ผมเชื่อแค่ไหน
ว่ารัฐมนตรีเศรษฐกิจโปรไฟล์ดีคนใหม่
จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นได้
2
ผมจะตอบเลย ว่าไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
และไม่ใช่แค่สี่เดือน ผมให้สี่ปีเลย
เปล่า ผมไม่ได้คิดว่าท่านรัฐมนตรีไม่มีฝีมือ
…แต่ปัญหาจริงๆของเรื่องนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำอะไรได้…
โลกเรากลับมาอยู่ในยุคสงครามเย็นใหม่
ที่ดูแล้วอาจรุนแรงกว่าเก่า
แต่ในทางเศรษฐกิจแล้ว หลังยุคสงบ โลกได้ผูกเศรษฐกิจ
ของสองขั้วขัดแย้งในปัจจุบันเอาไว้อย่างแน่นหนา
ความไม่สมดุลระหว่างระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลกนี่เอง
ที่เป็นปัญหาของเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วโลกในปัจจุบัน
และถ้าย้อนกลับไปสักหน่อย โควิดก็ยังฝากบาดแผลลึกมาก
ไว้ให้กับระบบเศรษฐกิจทั่วโลก
สองอย่างนี่รวมกัน มันจึงพังยิ่งกว่าช่วงสงครามเย็นเก่าเสียอีก
…และเราก็ยังไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน…
มันอาจจริง ที่ไทยไม่ได้เข้าไปมีส่วนกับความขัดแย้งอย่างเต็มที่
แต่ลูกค้าของสินค้าและบริการไทย กลับโดนเต็มๆ
ยุโรป จีน สหรัฐ แม้กระทั่งประเทศในเอเชียใหญ่ๆ
ล้วนย่ำแย่กันหมด มันจึงแน่นอนว่าคนเหล่านี้ ระมัดระวัง
การใช้เงินกันมากขึ้น และการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
ก็น้อยกว่าเดิมลงไปมาก
ถ้ามองไปที่ระดับประชาชน ที่เป็นผู้ซื้อปลายทาง
เราคงต้องรู้ด้วยว่า คนในประเทศเหล่านี้ มีวินัยการเงิน
ส่วนตัวค่อนข้างสูง เงินเก็บต้องมีกันเป็นสัดส่วนสูง
ต่อรายได้แทบทั้งนั้น คือ เก็บเงินกันจนเป็นนิสัยแหละ
พอเขาเห็นความไม่แน่นอน การเพิ่มสัดส่วนการเก็บ
มันก็ยิ่งมาก ไม่ซื้ออะไรที่ไม่จำเป็น ไม่เที่ยวในต่างประเทศ
แบบมือเติบอีกต่อไป
เมื่อคนใช้เงินน้อยในประเทศใหญ่ บริษัทต่างๆในประเทศ
เหล่านี้ ก็มีผลประกอบการที่น้อยลงตาม ซึ่งก็แน่นอนว่ามัน
มีผลต่อเนื่องไปถึงการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลพวกเขา
ในตลาดยุโรป แทบไม่ต้องพูดถึง ประชาชนของพวกเขา
รับรู้ดีถึงความไม่แน่นอนต่างๆ จึงยิ่งเก็บเงินกันอย่างบ้าคลั่ง
…ที่จริง ชาวยุโรปไม่ได้มีรายได้น้อยลง มันก็เท่าๆเดิม
และการว่างงานก็ไม่ได้สูงอะไรนัก แต่ปัญหาคือพวกเขา
ไม่ใช้เงินมากเหมือนสมัยก่อน จนภาพรวมมันแย่
ความกลัวต่อสงคราม คือปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศยุโรป
ซึ่งยิ่งถ้าทอดเวลาออกไป ก็จะยิ่งแย่…
หรือแม้แต่จีน เราก็รู้กันดี ว่าโดยธรรมชาติแล้ว
คนจีนเป็นพวกเก็บเงินเก่ง และค่อนข้างขี้เหนียว
ไม่เหลือจริงๆ ก็ไม่เอามาฟุ่มเฟือย
ปัจจุบันแม้จะยังไม่มีสงครามจริงๆ แต่เนื่องจากคนจีน
ก็รับรู้รับฟังมาตลอด ถึงวาระเรื่องไต้หวัน พวกเขาเองก็
มองไปที่ความเสี่ยง อันอาจเกิดจากรัฐบาลของตัวเอง
ที่ไม่รู้จะบุกไต้หวันเมื่อไหร่เหมือนกัน ก็เลยยิ่งเก็บเงิน
และนั่นคือปัญหาที่หนักมากของจีนในปัจจุบัน
รัฐบาลพยายามกระตุ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนไม่มีผล
…คนจีน ไม่ใช่พวกโลกปิดแบบคนเกาหลีเหนือ
แม้พวกเขามั่นใจในแสนยานุภาพกองทัพ ที่ชนะไต้หวันแน่ๆ
แต่ในอีกทาง พวกเขาก็รู้ดี ว่าหากรัฐบาลตัวเองโจมตีไต้หวัน
จีนจะโดนอะไรบ้าง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่มีการประเมิน
กันว่า ทันทีที่จีนบุกไต้หวัน มาตรการต่างๆต่อจีนจาก
ทั่วโลก มันอาจทำให้เศรษฐกิจจีนเสียหายมากถึง 10-20%
ทันทีเช่นกัน ….
คนจีนที่มีการศึกษา รายได้สูง ที่เคยซื้อสินค้าและบริการ
จากทั่วโลก ปัจจุบันจึงยิ่งระวังการใช้เงินเป็นอย่างมาก
ยิ่งท่านผู้นำสี่ มีท่าทีก้าวร้าวต่อไต้หวันมากขึ้น ปัญหานี้
ก็ยิ่งมากขึ้นไปด้วยนั่นเอง
ปัจจุบันทุกประเทศ มีปัญหาแบบนี้กันหมด คือคนไม่ใช้เงิน
ที่จะช่วยภาคการผลิตจริงๆได้
ไอ้ที่พอมีหรือร่ำรวยก็มองว่า การนำไปลงทุนในตราสาร สินทรัพย์ต่างๆ แม้มีความเสี่ยง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการทำธุรกิจจริงๆมาก
พวกเขาจึงแทบไม่ลงทุนภาคการผลิตอะไรกันเลยในปัจจุบัน…
…คนรวยไม่ลงทุน มันก็ไม่มีการจ้างงาน ผลก็อย่างที่เห็น…
ซ้ำร้าย ก็คือการลงทุนภาครัฐ ของรัฐบาลต่างๆ
ก็ต้องน้อยตามลงไปด้วย
อย่างที่บอก เอกชน นิติบุคคล มีรายได้น้อย
ประชาชนก็ไม่ใช้เงิน การจัดเก็บภาษีของรัฐบาลต่างๆ
มันก็น้อยตามลงไป
ซึ่งภาษี ก็คือที่มาของงบประมาณ
แน่นอน ว่าเงินน้อยลง การลงทุนภาครัฐก็ย่อมน้อยลง
ตามลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ การกระตุ้นทางเศรษฐกิจของภาครัฐ
จึงทำได้อย่างจำกัด
ซ้ำร้าย ในขณะที่รายได้ของรัฐนั้นน้อยลง
แต่รายจ่ายด้านความมั่นคงกลับสูงขึ้นทั่วโลก
นั่นทำให้รัฐบาลต่างๆ มีสัดส่วนเงินที่จะใช้ต่อภาคเศรษฐกิจ
น้อยตามลงไปด้วย
หลายประเทศ เช่นอินโดนีเซีย แม้ขาดทุนย่อยยับจากหลายโครงการ แต่ก็ยังไปจัดซื้ออาวุธเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่จะเป็น
ปัญหาของพวกเขาในอนาคตอย่างแน่นอน และยังมีอีกหลาย
ประเทศที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
และด้วยสภาพที่รัฐบาลทั่วโลกต้องการเงิน
จึงมีความพยายามใช้ระเบียบปฏิบัติ หรือกฎหมาย
ที่ไม่เอื้อต่อการให้เงินไหลออกไปต่างประเทศได้สะดวกนัก
หรือกระทั่งการพูดบ่อยๆ ของรัฐบาลจีน มุมนึง
มันก็คือการให้คนจีนเก็บเงิน ไม่เอาออกไปข้างนอกด้วย
เหมือนกัน เนื่องจากรัฐบาลจีนเองก็รู้ ว่าหากมีอะไรขึ้นมาก
เงินที่จะเข้าประเทศ มันจะน้อยลงอย่างมาก
ทุกประเทศใหญ่ๆ ดูเหมือนกลับมาเน้นการผลิต บริโภคภายใน
ป้องกันเงินไหลออกกันหมด นั่นย่อมทำให้การค้าระหว่างประเทศ มันอยู่ในสภาพที่ยิ่งแย่ไปด้วยนั่นเอง….
นี่คือปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญ
สงคราม คือปัญหาใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้
การแยกขั้วทางการเมืองในลักษณะสงครามเย็น
ที่เกิดขึ้นอยู่ จะให้ผลทางเศรษฐกิจที่แตกต่างและรุนแรง
กว่าสงครามเย็นในรอบที่แล้วอย่างมาก
โลกเรามาไกลแล้ว ทั้งในแง่ขนาดเศรษฐกิจ
และปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เคยมีต่อกัน
คำว่าโลกหลายขั้ว ที่คนอย่างปูตินอยากได้
ในทางปฏิบัติ มันก็คือแยกระบบเศรษฐกิจ และตลาด
ออกจากกันไปด้วย
มันไม่มีทาง ที่ชาติใดก็ตาม ที่เคยขายได้ทั่วโลก
จะลดขนาดตลาดตัวเองลงมา แล้วยังดีเหมือนเดิม
โลกมาไกล จนถึงจุดที่เรียกว่า ไม่สามารถมีประเทศไหน
ย้อนกลับไปสู้ยุคปิดตัวเองได้อีกต่อไป
ประชากรที่มากขึ้น ทำให้ต้องมีงานรองรับพวกเขา
การลดขนาดตลาด ก็คือลดกำลังการผลิต มันย่อมไม่เพียงพอ
ที่จะคงขนาดเศรษฐกิจเอาไว้ได้
จะโดนมาก โดนน้อย ก็ตามลักษณะของเศรษฐกิจของเขา
แต่ที่แน่ๆ มันจะไม่มีใครใหญ่โตอู้ฟู่อย่างแน่นอน
Big market ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีทางทดแทนทั้งโลกได้หรอก
เศรษฐกิจโลกปัจจุบันอยู่บนพื้นฐานการลงทุน
และขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัว
และการเติบโตที่จะน้อยลงเรื่อยๆ จะนำมาสู่ความสิ้นหวัง
โลกเรากำลังเดินไปในทิศทางแบบนั้น
ดังนั้น ผมจึงไม่เชื่อเลยว่าท่านรัฐมนตรีเทพที่ไหน
จะมาช่วยเศรษฐกิจของไทย ซึ่งพึ่งพาเงินตราต่างประเทศ
ในการขับเคลื่อนอย่างมากดีขึ้นจริงๆได้
เรื่องมันใหญ่เกินความสามารถพวกท่านไปเยอะ
และคงไม่มีใครทำได้เช่นกัน…
ไม่รู้นะ ในมุมมองผม เอาคนภาพดีมาเป็นเป็นยันต์
ไม่ให้ใครด่า หวังผลการเมืองเสียเปล่าๆ
ก็โปรโมทไป อวยท่าโน้นท่านี้ สุดท้ายก็คิดได้แค่แจกเงิน
ไม่ได้ต่างกับคนที่ไล่ออกไปเลย
และแจกปลายตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงไฮของเศรษฐกิจไทยอยู่แล้ว
…เอกชนอาจไม่เท่าไหร่เพราะส่วนมากแย่ แต่คนในระบบ
ราชการทุกประเภท เบี้ยขยัน โบนัสก็ออกในช่วงนี้แหละ
และนักท่องเที่ยวก็เริ่มเดินทางเข้ามา คนไทยก็เที่ยวไทย
ไปรับลมหนาวกันแล้ว สำหรับพวกมีเงินหน่อย…
…ความจริงคือมันเป็นช่วงที่การใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องไปดัน ไปแจกอะไรให้มันสิ้นเปลืองเลย …
1
เดาๆนะ…
ก็คงแจกไปปั๊ม GDP ปลายปี ให้มันสูงกว่าปกติตอนประกาศ
เดือนมกราคมปีหน้านั่นแหละ
…แล้วก็เคลมผลงาน ยุบสภา เลือกตั้งเดือนเดียวกัน…
…ไทม์ไลน์มันชัดครับ ว่าแจกเนี่ย มันเพื่ออะไร…
…และแน่นอน ว่ามันไม่ใช่ความหวังในการแก้ปัญหา
เศรษฐกิจจริงๆเลยแม้แต่นิดเดียว ….
…ก็เดิมๆ แค่ท่านเตะตัดขา ไม่ให้คนเก่าแจก เพื่อมาแจกเอง…
…ก็เท่านั้นแหละ ไทยแลนด์ ….🙄🙄🙄…
เศรษฐกิจ
ความคิดเห็น
บันทึก
15
7
1
15
7
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย