15 ต.ค. เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จาก “ซุ่ยเซ่งเฮง” ถึง AURA เปิดที่มาร้านทองรายเดียวในตลาดหลักทรัพย์ฯ

หากจะกล่าวถึงหุ้นที่มาแรงแซงทางโค้งในปีนี้ หนึ่งในชื่อที่ถูกกล่าวถึงคงต้องมีชื่อของ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA รวมอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แม้จะไม่ใช่หุ้นน้องใหม่หรือมีข่าวการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่โดดเด่นอย่างใคร แต่ด้วยลักษณะธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ที่กำลังร้อนแรงสุด ๆ ในปีนี้อย่าง “ทองคำ” ทำให้หุ้นนอกกระแสอย่าง AURA ได้รับความสนใจตามไปด้วย
ด้วยกระแสการลงทุนทองคำที่ทำให้ AURA กลายเป็นหุ้นที่โดดเด่นขึ้นมาในปีนี้ ทำให้ Wealthy Thai อยากจะนำเรื่องราวประวัติความเป็นมาของบริษัทนี้มานำเสนอให้ได้เห็นในอีกแง่มุมว่ากว่าจะกลายมาเป็นมาเป็นร้านทองรายเดียวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันนี้ AURA ได้เดินทางผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง
จุดเริ่มต้นของร้านทองออโรร่า
ธุรกิจร้านทองของออโรร่าเริ่มต้นจากช่างทองที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญการในเรื่องทอง เปิดร้านภายใต้ชื่อ “ห้างทองซุ่ยเซ่งเฮง” โดยเปิดให้บริการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2516 ที่ถนนสุขุมวิท 103 เขตบางนา กรุงเทพมหานคร โดยมีรากฐานจากการผลิตและขายส่งทองให้กับร้านค้าทองในย่านเยาวราชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ทั้งนี้ เมื่อกิจการเติบโตขึ้น จึงได้ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ร้านทองแท้ออโรร่า” เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นทองแท้คุณภาพสูง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 เนื่องจากในช่วงเวลานั้นมีศูนย์การค้าเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ “ร้านทองแท้ออโรร่า” เริ่มมองหาโอกาสในการได้ก้าวเข้าสู่ศูนย์การค้าเป็นครั้งแรกที่ เดอะมอลล์ รามคำแหง ซึ่งถือเป็นร้านทองคำแท้เจ้าแรกที่เปิดให้บริการในศูนย์การค้าของประเทศไทย และจากจุดเริ่มต้นนี้ ทำให้ออโรร่าได้ขยายสาขาไปยังศูนย์การค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ปี 2533 จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด และเปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น "ห้างเพชรทองออโรร่า"
ปี 2539 เปิดร้านทองแห่งแรกในไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ เทสโก้ โลตัส
ปี 2557 เริ่มพัฒนาแบรนด์ “ออโรร่า ไดมอนด์” เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับเพชร โดยให้บริการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนทองคำและเครื่องประดับได้ครบในจุดเดียว
ปี 2560 พัฒนาแพลตฟอร์มการจัดจําหน่ายทองคำแบบออนไลน์ (E-Commerce) โดยยังคงมาตรฐานเดียวกับการให้บริการในหน้าร้านทุกสาขาทั่วประเทศเป็นครั้งแรก ผ่านแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee
ปี 2564 เริ่มพัฒนาแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ 1. ของขวัญ By AURORA 2. เซ่งเฮง 3. ทองมาเงินไป
ปี 2565 แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ "AURA" ในเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน AURA มีสาขาทั้งหมดทุกแบรนด์รวมกันอยู่ที่ 488 แห่งทั่วประเทศ ในปี 2567 ขณะที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนสาขาถึง 644 สาขาในปี 2568 และมุ่งสู่ 1,070 สาขา ภายในปี 2570
ส่วนในแง่ของผลการดำเนินงานก็เป็นที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน เมื่อย้อนกลับไปดูงบการเงิน 4 ปีย้อนหลัง พบว่า AURA มีผลงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี แม้แต่ผลการดำเนินในช่วงงวดไตรมาส 1 ปี 2568 เองก็เช่นกัน
โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่าผลการดำเนินงานในช่วงปี 2564-2567 บริษัทแห่งนี้มีรายได้รวมและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
ปี 2564 มีรายได้รวมจำนวน 22,270.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 586.10 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้รวมจำนวน 29,603.69 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 707.86 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้รวมจำนวน 29,925.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 850.03 ล้านบาท
ปี 2567 มีรายได้รวมจำนวน 33,188.98 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,134.82 ล้านบาท
ขณะที่ครึ่งแรกปี 2568 ซึ่งเป็นการรายงานผลการดำเนินงานล่าสุดต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า AURA มีรายได้รวมจำนวน 17,690.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 760.9 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้บริหารได้มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลการดำเนินงานไว้ที่ราว 20-30% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2568-2570 จากแนวโน้มราคาทองคำที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการไม่หยุดพัฒนาองค์กร ทั้งการขยายเครือข่ายหน้าร้านสู่ศูนย์การค้า การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ และการรุกตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยจุดแข็งด้านแบรนด์ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และมีแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน ทำให้ AURA เป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตาในแง่ของศักยภาพในการเติบโตระยะยาว และเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากธุรกิจค้าทองคำและเครื่องประดับที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
โฆษณา