21 ต.ค. เวลา 05:37 • อสังหาริมทรัพย์

คนวงการเกมคิดอะไรอยู่ ประยุกต์เข้ากับอสังหายังไงได้บ้าง

พอดีผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานใหญ่แห่งปีอย่าง gamescom asia x Thailand Game Show ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสองอีเวนต์ยักษ์ใหญ่ ทำให้กลายเป็นแพลตฟอร์ม B2B2C ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมเกมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในงานเต็มไปด้วยโซนธุรกิจขนาดใหญ่ การประชุมเชิงวิชาการสำหรับอุตสาหกรรมเกม และโซนความบันเทิงที่เชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผู้เผยแพร่เกม และแฟน ๆ เข้าไว้ด้วยกัน
จากโอกาสนี้ ผมเลยสร้างสรรค์คอลัมน์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า “Cross-industry Learning” เพื่อเก็บแนวคิดที่น่าสนใจจากคนนอกวงการอสังหามาประยุกต์ใช้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเชื่อมั่นว่าสามารถผสานรวม blend เข้ากับทุกอุตสาหกรรมได้อย่างลงตัว เพราะอสังหาฯ คือส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนโดยแท้จริง สำหรับแนวคิดที่นำมาฝากนี้ ชอบหรือไม่ชอบอย่างไรบอกกันได้เลยนะครับ และหากมีวงการอื่น ๆ ที่อยากเชิญไปร่วมรับฟังความรู้ข้ามวงการเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อไอเดีย ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ผมจะสรุปเนื้อหาที่ได้จากงานสัมมนาแล้วประยุกต์ให้เข้ากับวงการอสังหาเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอสังหา มีทั้งหมด 4 เรื่องที่น่าสนใจ
1. ศิลปะแห่งการออกแบบอสังหา คือการคิดเป็นระบบ Visual System
ในวงการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเกมหรืออสังหาริมทรัพย์ หลักสำคัญที่เหมือนกันคือ “การมองให้เห็นระบบ Visual system” งานออกแบบที่ดีไม่ใช่แค่การทำให้สิ่งหนึ่งดูสวยขึ้น แต่คือการเข้าใจว่าทุกองค์ประกอบมีหน้าที่สื่อสารอะไร สร้างอารมณ์แบบไหน และส่งผลต่อผู้ใช้หรือผู้อยู่อาศัยอย่างไร
ถ้ามองในมุมของคนทำอสังหา การออกแบบโครงการก็ไม่ต่างจากการสร้างเกมหนึ่งเกม ทุกอย่างต้องทำงานสัมพันธ์กัน ทั้งวัสดุ แสง เงา พื้นที่ส่วนกลาง และบรรยากาศโดยรวม สิ่งเหล่านี้คือ “ภาษาภาพ” ที่บอกตัวตนของโครงการ เช่นเดียวกับนักออกแบบเกมที่ต้องคิดถึงประสบการณ์ของผู้เล่น นักออกแบบอสังหาก็ต้องคิดถึงประสบการณ์ของคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่นั้น
แนวคิดหนึ่งจากผู้บรรยายบอกว่า “การออกแบบไม่ใช่แค่ทำให้สิ่งหนึ่งดูดี แต่คือการสื่อสารให้ชัดภายใต้ข้อจำกัด” ซึ่งเข้ากับโลกอสังหามาก เพราะทุกโครงการล้วนมีข้อจำกัดทั้งงบ พื้นที่ หรือเวลาสร้าง แต่ภายใต้ข้อจำกัดนั้น กลับเปิดโอกาสให้เราแสดงตัวตนและความคิดสร้างสรรค์ผ่านดีไซน์ที่มีความหมาย
จะเห็นว่าทุกองค์ประกอบทางศิลป์ในเกมนั้นเป็นคอนเซปต์เดียวกัน เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ visual system
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ “การเสพวัฒนธรรมอย่างมีสติ” เพราะแรงบันดาลใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากการตามเทรนด์ แต่มาจากการเข้าใจวัฒนธรรม ความเชื่อ และความรู้สึกของผู้คน นักออกแบบอสังหาที่ดีจึงไม่หยุดอยู่แค่การดูว่าอะไรฮิต แต่ต้องรู้ว่า “ทำไม” มันถึงฮิต และจะหยิบแก่นของสิ่งนั้นมาใช้สร้างคุณค่าให้โครงการอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในงานออกแบบมากขึ้น ความท้าทายคืออย่าให้เทคโนโลยีทำให้เราขี้เกียจคิด เพราะเครื่องจักรสร้างภาพได้เร็วและแม่น แต่ไม่มีทางสร้าง “ความหมาย” ได้เหมือนมนุษย์ คนทำงานออกแบบยังคงต้องใช้หัวใจและประสบการณ์ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เครื่องมือไม่อาจเข้าใจ
สุดท้ายแล้ว การออกแบบอสังหาไม่ใช่เรื่องของความสวยงามหรือฟังก์ชันเพียงอย่างเดียว แต่คือการเข้าใจ “ระบบของความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริง แสงเงา วัสดุ และมุมมองล้วนสื่อสารกับผู้คนอย่างเงียบ ๆ เหมือนเรื่องเล่าที่ไม่ต้องใช้คำพูด
และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นทีมออกแบบเกมหรือทีมพัฒนาอสังหา ทุกคนต้องร่วมมือกัน ทั้งดีไซเนอร์ วิศวกร การตลาด และนักลงทุน เพราะสิ่งที่เราสร้างไม่ใช่แค่ “อาคาร” แต่คือ “ประสบการณ์ของการใช้ชีวิต” ที่คนจะได้สัมผัสจริง
สำหรับคนทำอสังหาที่คลุกคลีงานดีไซน์ ลองมองให้ลึกกว่าเพียงรูปลักษณ์ แล้วจะเห็นว่าเบื้องหลังของทุกความงามคือ “ระบบความคิด” ที่ชัดเจนและตั้งใจ นั่นแหละคือศิลปะที่แท้จริงของการออกแบบเพื่อชีวิตมนุษย์
2. Playful Design ปลุกพลังอารมณ์สนุกให้อสังหา
ในโลกของการออกแบบที่เต็มไปด้วยเส้นตรงและขอบมุมที่คำนวณอย่างแม่นยำ คำว่า “Playful Design” หรือการออกแบบที่แทรกความสนุกเข้าไป มักถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือส่วนตกแต่งที่ไม่จำเป็น แต่แท้จริงแล้วแนวคิดนี้มีพลังในการสร้าง “ประสบการณ์” ที่ตราตรึงในใจผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่เป้าหมายของการออกแบบไม่ได้มีเพียงการสร้าง “พื้นที่อยู่อาศัย” เท่านั้น แต่ยังต้องการสร้าง “พื้นที่แห่งความรู้สึก” ที่ผู้คนจะอยากกลับมาซ้ำอีกครั้ง
แนวคิด Playful Design เริ่มต้นจากการสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อมีเปียโนตั้งอยู่ในห้อง แม้คนที่เล่นไม่เป็นก็ยังอดไม่ได้ที่จะกดคีย์สักครั้งเพื่อฟังเสียง หรือในสวนสนุกที่มีถังขยะพูดได้ซึ่งทำเสียงอ้อนวอนว่า “ป้อนขยะให้หน่อยสิ” เด็กๆ และผู้ใหญ่ต่างก็รู้สึกอยากช่วยเก็บขยะมาใส่ มันคือพลังของ “ความสนุกที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ” ไม่ต้องสอน ไม่ต้องบังคับ แต่เกิดจากการออกแบบที่เข้าใจจิตวิทยาของความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์
หากมองจากมุมของคนทำอสังหาริมทรัพย์ ลองจินตนาการว่าเรานำความ “playful” แบบนี้มาใส่ในงานออกแบบ เช่น สร้างจุดเล็กๆ ที่ทำให้ผู้พักอาศัยยิ้มได้ทุกครั้งที่เดินผ่าน เช่น ลิฟต์ที่มีเสียงดนตรีเบาๆ ที่ต่างออกไปในแต่ละวัน ปุ่มกดเปิดประตูที่ส่งเสียงทักทายแบบขี้เล่น หรือม้านั่งในโครงการที่ออกแบบให้มีรูปทรงโค้งคล้ายคลื่นน้ำ ให้คนอยากนั่ง เล่น หรือถ่ายรูป มันอาจดูเป็นลูกเล่นเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านี้คือ “ประสบการณ์ความสุข” ที่สร้างคุณค่าทางอารมณ์ให้กับพื้นที่ และยังกลายเป็นพลังการบอกต่ออย่างเป็นธรรมชาติ
Playful Design ไม่ได้หมายถึงการทำสิ่งที่ “ตลก” หรือ “ไร้สาระ” แต่มันคือการออกแบบที่มองเห็นคุณค่าของ “ความเพลิดเพลินที่ไม่ต้องมีเหตุผล” เช่นเดียวกับในเกมที่ผู้เล่นอยากกดปุ่มบางปุ่มเพียงเพราะมันให้เสียงที่ฟังสนุก แม้จะไม่ช่วยให้ผ่านด่านก็ตาม ความรู้สึกนี้เองที่สร้างการเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้กับสิ่งที่พวกเขาสัมผัส
ในมุมของอสังหาริมทรัพย์ Playful Design จึงเป็นมากกว่าการตกแต่ง แต่คือ “กลยุทธ์การสร้างอารมณ์ร่วม” ที่เปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นผู้มีส่วนร่วม เปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นประสบการณ์ และเปลี่ยนโครงการให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่คนอยากแบ่งปันต่อ
สุดท้ายนี้ ในฐานะคนออกแบบอสังหาริมทรัพย์ บางทีเราอาจไม่ต้องเพิ่มงบประมาณมากมายเพื่อสร้างความประทับใจ แค่ลองถามตัวเองว่า “ลูกเล่นเล็กๆ ที่จะทำให้คนยิ้มได้” อยู่ตรงไหนในงานของเรา เพราะบางครั้ง ความสุขที่เล็กที่สุด อาจเป็นสิ่งที่อยู่ได้นานที่สุดในใจลูกค้า และนั่นคือหัวใจแท้จริงของ Playful Design
3. จากสตูดิโอเกมเล็กๆ สู่แรงบันดาลใจใหญ่สำหรับคนอสังหา
เรื่องของเกมสตูดิโออินดี้เล็ก ๆ TrueWorld Studios ที่เริ่มต้นธุรกิจจาก Water Cooler Talk หรือไอเดียข้างตู้กดน้ำกับเพื่อนร่วมงานเพียง 5 คน ก่อนจะขยายทีมจนมีสมาชิกกว่า 30 ชีวิต และสามารถเซ็นสัญญากับค่ายเกมญี่ปุ่นได้สำเร็จ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “เกม” แต่เป็นเรื่องของ “วิธีคิดธุรกิจ” ที่คนอสังหาควรเรียนรู้เช่นกัน
อ่านบทความต่อทั้งบทความได้ที่นี่ https://shorturl.at/XHZmk
โฆษณา