4 พ.ย. เวลา 14:00 • ไลฟ์สไตล์

ไม่ทำประกันสุขภาพได้ไหม? วิเคราะห์ด้วยหลัก "ลด-หลีกเลี่ยง-รับไว้เอง-โอนออก"

เคยไหมครับที่เดินเข้าร้านกาแฟแล้วได้ยินคนคุยกันเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่แพงหูฉี่ หรือกระทั่งเพื่อนของเราเองที่ต้องหมดเงินเก็บไปกับการรักษาโรคร้ายแบบไม่ทันตั้งตัว สิ่งเหล่านี้คงทำให้หลายคนเริ่มคิดว่า
"ถ้าวันหนึ่งเราป่วยขึ้นมาบ้างจะทำยังไง?"
จริงอยู่ว่าการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเป็นเรื่องสำคัญ แต่โลกนี้ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน หรือโรคร้ายที่อาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ การวางแผนทางการเงินเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลย
และคำถามที่ว่า “ไม่ทำประกันสุขภาพได้ไหม?” จึงเป็นคำถามที่น่ามาหาคำตอบกัน
การตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำประกันสุขภาพ ควรอยู่บนหลักคิดที่รอบด้าน ไม่ใช่แค่ความรู้สึกว่า "ไม่อยากจ่ายเบี้ย" หรือ "ยังแข็งแรงดี" แต่ควรใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเข้ามาช่วย
1
ซึ่งในที่นี้เราจะใช้หลักการ 4 ข้อที่นักวางแผนการเงินมักใช้กัน ได้แก่ 1. ลด (Reduce) 2. หลีกเลี่ยง (Avoid) 3. รับไว้เอง (Retain) และ 4. โอนออก (Transfer) เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพและนำไปปรับใช้กับชีวิตของตัวเองได้
➡️1. ลด (Reduce)
“ลดความเสี่ยงคือทางเลือกแรก”
หลักการข้อแรกนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดครับ หากไม่อยากทำประกัน ต้องถามตัวเองว่า เรา "ลดโอกาส" ที่จะเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้หรือไม่ พูดง่ายๆ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นนั่นเอง
2
ในบริบทของสุขภาพ การลดความเสี่ยงหมายถึงการดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น…
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การมีร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยลงได้มาก
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารรสจัด หรืออาหารที่มีไขมันสูง
การลดความเสี่ยงด้วยวิธีเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงินจากค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินไปอีกด้วย หากต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตัวเอง แต่คำถามต่อมาคือ มั่นใจหรือไม่ว่า “ลด” ได้ 100%
➡️2. หลีกเลี่ยง (Avoid)
“ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง”
หลักการข้อนี้คือการพยายาม "หลีกเลี่ยงกิจกรรม" หรือ "พฤติกรรม" ที่จะนำพาความเสี่ยงมาสู่ชีวิตของเราโดยตรง
ในเรื่องของสุขภาพ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เช่น ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ เพราะมีสารที่รู้กันดีว่าเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด
การหลีกเลี่ยงเป็นวิธีที่เด็ดขาดที่สุดในการจัดการความเสี่ยง เพราะถ้าเราไม่ไปยุ่งกับมันเลย โอกาสที่จะเกิดเรื่องไม่ดีก็แทบจะไม่มี
แต่ต้องยอมรับว่าในชีวิตจริง เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ทั้งหมดครับ เพราะบางครั้งความเสี่ยงก็มาจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้
➡️3. รับไว้เอง (Retain)
“รับมือด้วยเงินเก็บของเราเอง”
ทางเลือกที่ 3 หากไม่ต้องการทำประกันสุขภาพ ต้องถามตัวเองว่า เราสามารถ "รับความเสี่ยงไว้เอง" ได้หรือไม่
การรับความเสี่ยงไว้เองหมายถึงการ "เตรียมเงินสด" หรือ "เงินออม" สำหรับใช้จ่ายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น โดยที่เราไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นหรือเครื่องมือทางการเงินอื่นใด
สำหรับความเสี่ยงด้านสุขภาพ การรับไว้เองก็คือการที่เรามี "เงินสำรองฉุกเฉิน" หรือ "เงินเก็บ" จำนวนหนึ่งที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจครอบคลุมตั้งแต่ค่ารักษาทั่วไป ไปจนถึงการรักษาโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น
คำถามคือ...เงินจำนวนเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ?
คำตอบคือ ไม่มีตัวเลขที่ตายตัว แต่ทั่วไปมักจะแนะนำให้มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน และอาจต้องมีเงินเก็บก้อนใหญ่สำหรับค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะเพิ่มมาด้วย ซึ่งอาจจะต้องประเมินจากความเสี่ยงด้านสุขภาพของตัวเราและครอบครัว เช่น หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง ก็อาจจะต้องสำรองเงินไว้สำหรับความเสี่ยงนี้เป็นพิเศษ
3
ดังนั้นคำถามที่ว่า "ไม่ทำประกันสุขภาพได้ไหม?" คำตอบก็คือ "ได้ครับ" ถ้าคุณมีเงินเก็บก้อนใหญ่มากพอที่จะรับมือกับค่ารักษาพยาบาลได้เองทั้งหมด
1
ดังนั้น การรับความเสี่ยงไว้เองจึงเหมาะกับคนที่มีเงินเก็บจำนวนมากๆ หรือคนที่ไม่ต้องการให้เงินเก็บต้องเสียหายไปกับค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินไป
3
➡️4. โอนออก (Transfer)
1
“ให้คนอื่นมาช่วยแบกรับความเสี่ยง”
มาถึงวิธีสุดท้ายและเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน นั่นคือการ "โอนความเสี่ยง" ออกไปให้คนอื่นช่วยรับผิดชอบ
ในบริบทของสุขภาพ การโอนความเสี่ยงก็คือการ "ซื้อประกันสุขภาพ" นั่นเองครับ
1
หลักการของประกันสุขภาพก็คือ เราในฐานะผู้เอาประกันภัย จ่ายเบี้ยประกันจำนวนไม่มากนักให้กับบริษัทประกัน และเมื่อเราเจ็บป่วยหรือต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันก็จะเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาแทนเรา
พูดง่ายๆ ก็คือ เรายอมจ่ายเงินก้อนเล็กๆ เพื่อแลกกับการไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่อาจจะมาถึงในอนาคต ทำให้เรามั่นใจได้ว่าแม้จะป่วยด้วยโรคร้ายแรงแค่ไหน ก็ยังมีเงินสำหรับใช้ในการรักษาพยาบาลอย่างเพียงพอ โดยที่เงินเก็บของเราไม่เสียหาย
5
ดังนั้น คำตอบสุดท้ายของคำถามที่ว่า "ไม่ทำประกันสุขภาพได้ไหม?" จึงเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบระหว่าง "รับไว้เอง" กับ "โอนออก" ครับ
1
ถ้าคุณมีเงินเก็บเพียงพอที่จะรับความเสี่ยงด้านสุขภาพไว้เองทั้งหมด การไม่ทำประกันก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ถ้าเงินเก็บของคุณมีจำกัด หรือต้องการปกป้องเงินเก็บก้อนนั้นไว้เพื่อเป้าหมายอื่น การโอนความเสี่ยงด้วยการทำประกันสุขภาพก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมและคุ้มค่ากว่ามาก
4
[ แล้วเราควรเลือกทางไหนดี? ]
มองว่าการทำประกันสุขภาพไม่ใช่แค่การซื้อความคุ้มครอง แต่เป็นการ "ซื้อความสบายใจ" และ "ซื้อเวลา" ให้กับตัวเราเองและคนที่เรารัก
การวางแผนการเงินที่ดีไม่ใช่แค่การหาทางเพิ่มเงิน แต่คือการหาทางป้องกันไม่ให้เงินที่มีอยู่ต้องสูญเสียไปกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ดังนั้น คำถามที่ควรจะถามตัวเองจึงไม่ใช่แค่ "ไม่ทำประกันสุขภาพได้ไหม?" แต่ควรเป็น "เราพร้อมที่จะรับความเสี่ยงด้านสุขภาพไว้เองทั้งหมดแล้วหรือยัง?"
หากคำตอบคือ "ไม่" การทำประกันสุขภาพก็ถือเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดครับ เพราะมันคือเครื่องมือทางการเงินที่จะช่วยให้คุณและครอบครัวสามารถผ่านพ้นวิกฤตสุขภาพไปได้โดยที่เป้าหมายทางการเงินอื่นๆ ยังคงอยู่และไม่ถูกทำลาย
แต่ถ้าคำตอบคือ "พร้อมแล้ว" ก็ต้องแน่ใจจริงๆ นะครับว่าเงินเก็บก้อนนั้นใหญ่พอและคุณรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด เพราะในวันที่คุณป่วยหนักจริงๆ เงินเก็บก้อนนั้นอาจหมดไปอย่างรวดเร็วจนคุณตั้งตัวไม่ทัน
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจอย่างมีสติและอยู่บนพื้นฐานของการวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ เพราะสุขภาพของเราและคนในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะละเลยไม่ได้เลยครับ
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ AFPT™
#aomMONEY #ประกัน #ประกันสุขภาพ #Reduce #Avoid #Retain #Transfer
โฆษณา