8 พ.ย. เวลา 06:43 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“ไม่ขายไม่ขาดทุน” คือแนวคิดหนึ่งที่แย่ที่สุดในตลาดหุ้น

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งคือลงทุนแบบ VI ซื้อแล้วถือโดยไม่ขาย ซึ่งไม่จริง!
ในหนังสือ “วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับการตีความงบการเงิน” (Buffett & The Interpretation of Financial Statements - Mary Buffett & David Clark) อธิบายเอาไว้ว่าในโลกของวอร์เรนคุณจะไม่มีวันขายธุรกิจชั้นดี ตราบใดที่ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
ยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่คุณก็ยิ่งทำเงินได้มากเท่านั้น แถมไม่พอถ้าขายก็ต้องจ่ายภาษี ยิ่งขายไปบ่อยก็ทำให้รวยได้ยาก เพราะฉะนั้นแล้วส่วนใหญ่ วอร์เรนจะไม่ขายหุ้นออกมา แม้ในช่วงที่ตลาดร่วงก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็มีบางครั้งที่เขาจำเป็นที่ต้องขายหุ้นของบริษัทออกมาโดยมีสามเหตุผลด้วยกัน
✅ 1. เมื่อคุณต้องการเอาเงินไปลงทุนใน ‘บริษัทที่ดีกว่าในราคาที่ดีกว่า’ ซึ่งเรื่องนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวแต่ไม่ได้บ่อยนัก ซึ่งเขาจะขายก็ต่อเมื่อแน่ใจเหรอว่าบริษัทใหม่ที่จะไปซื้อนั้นดีกว่าบริษัทเก่าจริง ๆ เท่านั้น
✅ 2. เมื่อเห็นว่าบริษัทกำลังสูญเสียความได้เปรียบทางด้านการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ต้องดูเทรนด์ของตลาดด้วย
ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเคยเป็นธุรกิจที่ดีมาก แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามา ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนของธุรกิจก็เริ่มอ่อนแอลง และเมื่อไหร่ก็ตามที่วอร์เรนไม่แน่ใจว่าบริษัทนั้นยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่ มันก็ไม่ใช่ที่ที่ควรจะเอาเงินไปวางในระยะยาวอีกต่อไป
✅ 3. ระหว่างภาวะตลาดกระทิงหรือช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังขึ้นอย่างแรงนั่นเอง เรื่องนี้อาจจะขัดใจใครหลายคนเพราะเราเคยได้ยินว่าเมื่อตลาดกำลังวิ่งก็ Let Profit Run หรือปล่อยให้กำไรวิ่งไปสิ
ซึ่งข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าพอตลาดหุ้นเริ่มวิ่งปุ๊บ วอร์เรนขายทันทีเลย ไม่ใช่แบบนั้น เขาจะมองว่าเมื่อมีการซื้อขายหุ้นในตลาดอย่างบ้าคลั่ง (ตลาดกระทิง) ทำให้ราคาของธุรกิจที่ยอดเยี่ยมพุ่งทะลุเพดาน
ในกรณีนี้ราคาขายของหุ้นจะเกินความเป็นจริง ซึ่งความเป็นจริงของเศรษฐกิจในระยะยาวของธุรกิจก็เหมือนกับแรงโน้มถ่วง เมื่อราคาหุ้นพุ่งสูงทะลุฟ้า สุดท้ายแล้วก็จะต้องถูกดึงกลับสู่โลก การขายและนำเงินไปลงทุนที่อื่นอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าที่จะได้รับจากการครอบครองธุรกิจต่อไป
ยกตัวอย่างเช่นหากเราคาดหวังว่าธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของอยู่จะทำกำไรให้ได้ 10 ล้านเหรียญในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีคนมาเสนอซื้อทางบริษัทในราคา 5 ล้านเหรียญ เราจะขายไหม?
มันก็ต้องดูว่าเราสามารถทำให้เงินตรงนี้งอกเงยได้มากแค่ไหน
หากเราเอาเงิน 5,000,000 เหรียญไปลงทุนแล้วได้อัตราผลตอบแทนทบต้น 2% ต่อปีเราคงไม่ขายเพราะว่าจาก 5 ล้านเหรียญที่ลงทุนวันนี้ อัตราดอกเบี้ยทบต้น 2% ต่อปีจะมีค่าเพียงแค่ 7.4 ล้านเหรียญในอีก 20 ปีข้างหน้า
แต่ถ้าเราสามารถทำผลตอบแทนทบต้น 8% ต่อปี เงิน 5 ล้านเหรียญของเราจะโตเป็น 23 ล้านเหรียญในอีก 20 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นการขายหุ้นก็เหมือนจะเป็นทางเลือกที่น่าคิดไม่น้อย
ในหนังสือแนะนำว่าถ้าหาก P/E ของบริษัทชั้นดีมาถึงระดับที่ 40 เท่า นั่นหมายความว่าโอกาสในการขายหุ้นอาจจะมาในอีกไม่ช้า
ถ้าขายแล้วควรเอาไปทำอะไรล่ะ? อย่างแรกไม่ควรเอาไปซื้ออีกบริษัทที่กำลังร้อนแรง P/E มากกว่า 40 เท่าในตลาดอีกตัวแน่นอน
แต่ให้เก็บเงินเอาไว้ในพันธบัตรรัฐบาลและพักการลงทุนเอาไว้ก่อน พูดอีกอย่างคือให้นั่งทับเงินสดเอาไว้เพื่อรอตลาดหมี (ช่วงขาลงของตลาดหุ้น) ที่จะวนมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
✅ วีระพงษ์ ธัม นักลงทุนเน้นคุณค่าและอดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าเขียนเอาไว้ในหนังสือ “30 กลยุทธ์หุ้นเปลี่ยนชีวิต” ว่า
“ถ้าจะมองการลงทุนเป็นการศึกสงคราม และต้องวางกลยุทธ์ ผมคิดนี่คือสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง และแม่ทัพจำเป็นต้องตรวจแถวทหาร และรวบรวมข้อมูลกำลังรบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผมเห็นนักลงทุนหลายคนทิ้งหุ้นไว้ในพอร์ตโดยไม่กล้าดูหรือทำอะไร ซึ่งไม่เป็นผลดี”
โดยคุณวีระพงษ์แนะนำว่า 3 อย่างที่ควรทำในจังหวะในการปรับทัพแบบนี้คือ
📌 1. ต้องหัดยอมแพ้หรือ “ยกธงขาว” ในบางสมรภูมิให้เป็น
แพ้บางสมรภูมิได้ แต่ไม่จำเป็นต้องแพ้สงคราม การยอมแพ้ตัดขายหุ้นที่ไม่มีอนาคตบางตัวออกไป เพื่อเก็บทุนเป็นกระสุนเอาไว้เพื่อมาทำศึกใหม่ภายหลังคือทางเลือกที่มีแนวโน้มจะทำให้เรากลับมาสู่เกมได้
การเสียกำลังเพื่อรักษาสมรภูมิที่ยังไงก็แพ้จะทำให้เราห่วงหน้าพะวงหลังและไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเมื่อโอกาสใหม่เกิดขึ้นมา
“ดังนั้น ถ้ารู้ว่าหุ้นพื้นฐานไม่ดี หรือเราไม่เข้าใจในหุ้นตัวนั้น ๆ การยอมแพ้เพื่อ รักษาภาพรวมย่อมดีกว่า แนวคิดว่า ‘ไม่ขายไม่ขาดทุน’ ผมคิดว่าเป็นแนวคิดหนึ่งที่แย่ที่สุดในตลาดหุ้น”
📌 2. แต่ในบางพื้นที่ก็ต้องยืนหยัด “ห้ามยอมแพ้” เป็นอันขาด
“ถ้าหุ้นที่มีศักยภาพสูงตกลงมาต่ำกว่ามูลค่า การไม่ยอมแพ้และถือต่อ ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องกว่า หุ้นในบางครั้งสามารถตกลงมาถูกอย่างไม่น่าเชื่อได้ และน่าแปลกใจที่เวลานั้นเป็นเวลาที่นักลงทุนอึดอัดและอยาก "ยกธงขาว" หรืออยากขายเป็นที่สุด”
นี่คือประเด็นสำคัญว่าทำไมการที่หุ้นตก เราไม่ควรปิดหน้าจอแล้วทิ้งไปเลย แต่ต้องมานั่งวิเคราะห์อย่างจริงจังว่ามันจะไปทางไหนต่อ หุ้นที่ดีจริงๆ เราไม่ยอมแพ้ถือต่อไม่ใช่เรื่องผิด
📌 3. กล้าโยกย้ายกำลังกองทัพ ทุกการเปลี่ยนแปลงมีโอกาสเกิดขึ้น
ในการทำสงคราม แม่ทัพต้องคอยจัดกองกำลังให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่ถูกต้องเพื่อสร้างโอกาสกำชัยชนะในสงครามให้ได้
“ทุกวิกฤตหรือ ทุกครั้งที่หุ้นลงหนัก ๆ คือโอกาส การมีหรือไม่มีเงินสด ไม่สำคัญเท่าการ มีวิสัยทัศน์และทัศนคติที่ถูกต้อง หลายครั้งที่นักลงทุนไม่กล้าขาย เพราะ "จำต้นทุน" ตัวเองได้ และไม่อยากขายขาดทุน หรือ "ไม่กล้าซื้อหุ้น" เพราะกลัวราคาหุ้นจะลงมาอีก เหมือนกับแม่ทัพที่กลัวไปหมด จนไม่สามารถ จัดสรร ถ่ายเททรัพยากร เพื่อทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
✅ VI ก็มีจังหวะซื้อ-จังหวะขาย ไม่ใช่ซื้อแล้วถือไปตลอดครับ
การยกธงขาวถูกที่ถูกเวลาถือเป็นจุดตัดสินที่สำคัญในการทำสงครามพอๆ กับการตัดสินใจว่าจะเข้ารบเมื่อไหร่ที่ไหน จะรอดผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ไปได้ไหม หรือเป็นจุดเปลี่ยนให้คุณพ่ายแพ้ในสนามลงทุนไปตลอดกาล
ในหนังสือ 36 กลยุทธ์ธุรกิจการค้า ตำราพิชัยสงครามฉบับธุรกิจ บทสุดท้ายมีชื่อว่า “หนี คือยอดกลยุทธ์” โดยบอกว่า “ถอยหนีมิใช่ความพ่ายแพ้ แต่มันเป็นจุดหมุนเปลี่ยนเพื่อช่วงชิงชัยชนะ”
มีคำกล่าวหนึ่งที่ช่วยเตือนใจเราได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนเน้นคุณค่าที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยมากที่สุดคนหนึ่งของโลกที่บอกว่า
“ถ้าคุณพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในหลุม จงหยุดขุดต่อ”
อย่ายึดติดกับแนวคิด “ไม่ขายไม่ขาดทุน” เลยครับ เมื่อรู้ว่าพลาด รีบแก้ไขก่อนจะแก้ไขไม่ได้กันดีกว่า
- โสภณ ศุภมั่งมี (บรรณาธิการ #aomMONEY)
#MakeRichGeneration #การลงทุน #การเงินส่วนบุคคล #cutloss #ขายขาดทุน #เพจการลงทุนสำหรับมนุษย์เงินเดือน
โฆษณา