9 พ.ย. เวลา 02:09 • ธุรกิจ

Apple เสียหน้า หรือ ฉลาด? ดีลลับพันล้านกับ Google Gemini เพื่อเปลี่ยนสมองใหม่ให้ Siri

ถ้าเราพูดถึง Apple เรานึกถึงอะไร
ส่วนใหญ่คงนึกถึง นวัตกรรม, Design ที่สวยงาม, iPhone, Steve Jobs และความเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
Apple คือบริษัทที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเทคโนโลยีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, เครื่องเล่นเพลง, หรือสมาร์ตโฟน
แต่มีอยู่หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่หลายคนรู้สึกว่า Apple “สอบตก” และมันติดอยู่ในอุปกรณ์เกือบทุกชิ้นของพวกเขา
สิ่งนั้นคือ “Siri”
ย้อนกลับไปตอนที่ Siri เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 มันคือเวทมนตร์ มันคืออนาคตที่เราได้คุยกับคอมพิวเตอร์ในหนัง Sci-Fi
เราตื่นเต้นที่ได้สั่งการมันด้วยเสียง แต่เวลาผ่านไปสิบกว่าปี…
Siri ก็ยังคงเป็น Siri มันเก่งเรื่องการตั้งนาฬิกาปลุก, เช็คสภาพอากาศ, หรือโทรหาแม่
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถามอะไรที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย คำตอบที่เรามักจะได้ยินคือ “นี่คือสิ่งที่ฉันพบบนเว็บ” ซึ่งก็คือการโยนเราไปให้ Google หาคำตอบต่ออยู่ดี
Siri กลายเป็นเหมือนผู้ช่วยที่ยังทำงานไม่เสร็จ เก่งแค่บางอย่าง แต่ไม่สามารถเป็น “ผู้ช่วย” ที่แท้จริงได้
ในขณะที่ Apple กำลังพอใจกับความสามารถเดิมๆ ของ Siri โลกภายนอกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ปลายปี 2022 โลกได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Generative AI การมาถึงของ ChatGPT จาก OpenAI เขย่าโลกทั้งใบ
มันไม่ใช่แค่การถามตอบธรรมดา แต่มันคือ AI ที่สามารถเขียนโค้ด, แต่งบทกวี, วิเคราะห์บทความที่ซับซ้อน, และโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากนั้นไม่นาน Google ก็เปิดตัว Gemini Microsoft ก็ทุ่มเงินมหาศาลให้ OpenAI จู่ๆ โลกก็เข้าสู่สงคราม AI อย่างเต็มรูปแบบ ทุกคนกำลังสร้าง “ยานอวกาศ” ในขณะที่ Siri ของ Apple ยังคงเป็น “จักรยาน”
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องน่าอายสำหรับ Apple แต่มันคือ “วิกฤต”
ลองคิดดูว่า iPhone คือหัวใจที่ทำเงินให้ Apple มหาศาล แต่ถ้า “สมอง” ของ iPhone หรือก็คือ AI มันสู้คู่แข่งไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้น?
เมื่อ Samsung ประกาศจับมือกับ Google เอา Gemini ไปใส่ในมือถือ เมื่อ Microsoft เอา Copilot ที่มีสมอง ChatGPT ไปใส่ใน Windows
Apple ที่เคยเป็นผู้นำมาตลอด กำลังจะกลายเป็น “ผู้ตาม” ในสงครามที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้
แน่นอนว่า Apple มีทีม AI ของตัวเอง พวกเขาเปิดตัว “Apple Intelligence” ที่พยายามยกระดับ AI ในระบบ แต่มันชัดเจนว่า… มันยังไม่ทันเกม
โดยเฉพาะ AI ที่ต้องประมวลผลเรื่องยากๆ บนคลาวด์ Apple ยังตามหลังคู่แข่งอยู่หลายก้าว
เมื่อคุณพัฒนาเองไม่ทัน แต่สงครามมันรอไม่ได้ คุณจะทำอย่างไร?
คำตอบก็คือ… ถ้าสร้างมันไม่ทัน ก็ต้อง “ซื้อ” มันมา
แต่มันมีปัญหาอยู่ว่า บริษัทที่มีเทคโนโลยี AI ที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ ก็ดันเป็นบริษัทที่เป็น “ศัตรู” ตลอดกาลของ Apple
1
เรื่องนี้ นำมาสู่หนึ่งในดีลที่แปลกประหลาด และน่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยี
เมื่อยักษ์ใหญ่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่สุด ต้องยอมก้มหัวไปขอความช่วยเหลือจากคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมาตลอด
แต่ก็ต้องบอกว่าเรื่องราวนี้มันซับซ้อนกว่าที่เราคิด
เมื่อบ้านของคุณกำลังไฟไหม้ คุณคงไม่สนว่ารถดับเพลิงที่มาช่วยนั้น เป็นของบริษัทอะไร
ตอนนี้ “บ้าน” ของ Apple กำลังถูกไฟ “AI” ลาม และบริษัทที่เป็นเจ้าของ “รถดับเพลิง” ที่ดีที่สุด ก็คือ Google
นี่ไม่ใช่แค่คู่แข่งธรรมดา แต่นี่คือ Google… เจ้าของ Android ระบบปฏิบัติการที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ iOS ของ Apple
ย้อนกลับไปในอดีต Steve Jobs เคยประกาศ “สงครามศักดิ์สิทธิ์” (Thermonuclear War) กับ Android เพราะเขามองว่า Google ลอกเลียนแบบ iPhone
ความขัดแย้งระหว่างสองยักษ์ใหญ่นี้ เป็นเหมือนมหากาพย์ที่ขับเคลื่อนวงการเทคโนโลยีมาตลอด
แต่ในวันนี้ Tim Cook ต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป
มีรายงานจากแหล่งข่าววงในว่า Apple กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลง ที่จะจ่ายเงินให้ Alphabet หรือบริษัทแม่ของ Google เป็นเงินราว 1 พันล้านดอลลาร์… ต่อปี
เงินหนึ่งพันล้านดอลลาร์ หรือประมาณสามหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี ไม่ได้จ่ายเพื่อค่าโฆษณา แต่จ่ายเพื่อ “เช่าสมอง” ของ Google
Apple กำลังจะเอาโมเดล AI ที่ทรงพลังที่สุดของ Google ที่ชื่อว่า Gemini มาเป็นสมองให้กับ Siri เวอร์ชันใหม่
นี่ไม่ใช่ Gemini เวอร์ชันที่เราใช้กันทั่วไป แต่เป็นโมเดลที่ “custom” หรือปรับแต่งมาเป็นพิเศษสำหรับ Apple
สิ่งที่น่าตกใจคือ “ขนาด” ของมัน โมเดลนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “พารามิเตอร์” สูงถึง 1.2 ล้านล้าน ตัว
เพื่อให้เห็นภาพว่ามันต่างจากเดิมแค่ไหน ถ้าเราอธิบายง่ายๆ “พารามิเตอร์” ก็เหมือน “จุดเชื่อมต่อ” ในสมองของ AI ยิ่งมีเยอะ ก็ยิ่งซับซ้อน ยิ่งฉลาด ยิ่งเข้าใจบริบทที่ยากๆ ได้ดี
โมเดล AI บนคลาวด์ที่ Apple ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีพารามิเตอร์ประมาณ 1.5 แสนล้าน ตัว จาก 1.5 แสนล้าน กระโดดไปเป็น 1.2 ล้านล้าน
นี่ไม่ใช่การอัปเกรดธรรมดา ๆ แต่นี่แทบไม่ต่างกับการ “เปลี่ยนสปีชีส์” มันคือการเอาสมองของอัจฉริยะ มาใส่แทนสมองของ Siri คนเดิม
ความจริง Apple ได้ทดสอบ AI จากทุกค่าย ทั้ง ChatGPT ของ OpenAI และ Claude ของ Anthropic แต่สุดท้าย Apple ก็ “ล็อคเป้า” ไปที่ Google
แสดงว่า Gemini 2.5 Pro ที่ Google เสนอให้ มันต้องดีที่สุดจริงๆ
แต่… ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด มันไม่ได้อยู่ที่ราคา 1 พันล้านดอลลาร์ คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ… “แล้วความเป็นส่วนตัวล่ะ?”
1
นี่คือจุดยืนที่แข็งแกร่งที่สุดของ Apple
“What happens on your iPhone, stays on your iPhone” “สิ่งที่เกิดขึ้นใน iPhone ของคุณ จะอยู่ใน iPhone ของคุณตลอดไป”
1
Apple ขายเรื่องนี้มาตลอด โฆษณามาตลอดว่าข้อมูลของคุณเป็นของคุณ Apple ไม่ยุ่ง iPhone คือป้อมปราการที่ปลอดภัยที่สุด
ในขณะที่โมเดลธุรกิจของ Google คือการทำมาหากินกับ “ข้อมูล” และ “การโฆษณา” แล้วจู่ๆ Apple จะยอมให้ Siri ผู้ช่วยที่เข้าถึงทุกอย่างในชีวิตเรา ทั้งข้อความ รูปภาพ ปฏิทิน อีเมล ส่งข้อมูลคำสั่งเสียงของเราทั้งหมด ไปให้ “Google” ประมวลผล… อย่างนั้นหรือ?
1
ถ้าทำแบบนั้น นี่มันคือการ “ฆ่าตัวตาย” ทางการตลาดชัดๆ
1
แต่… นี่คือจุดที่ Apple แสดงความอัจฉริยะออกมา
Apple ไม่ได้โง่ พวกเขารู้อยู่แล้วว่าจุดยืนนี้สำคัญแค่ไหน ดีลนี้จึงมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและฉลาดมากซ่อนอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Apple จะไม่ส่งข้อมูลของเราไปที่เซิร์ฟเวอร์ของ Google แต่ Apple จะเอาโมเดล Gemini ของ Google มาติดตั้งบน “เซิร์ฟเวอร์ของ Apple เอง”
ระบบนี้มีชื่อเรียกเท่ๆ ว่า “Private Cloud Compute” หรือ PCC
หลักการทำงานของมัน ถ้าให้เล่าง่ายๆ ก็คือ…
Apple สร้าง “ห้องนิรภัย” ของตัวเองขึ้นมา โดยใช้ฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ที่ Apple สร้างเอง จากนั้น Apple ก็เอา “สมอง” ของ Google หรือโมเดล Gemini 1.2 ล้านล้านตัว ไป “ขัง” ไว้ในห้องนิรภัยนี้
เมื่อเราสั่งงาน Siri ที่มันยากๆ เกินกว่าที่ AI ในเครื่อง iPhone จะรับไหว คำสั่งนั้นจะถูกส่งไปที่ “ห้องนิรภัย” PCC นี้ ข้อมูลของเราจะถูกเข้ารหัส โมเดล Gemini ก็จะประมวลผลคำสั่งนั้น ภายใน ห้องนิรภัยของ Apple
เมื่อได้คำตอบ มันก็จะส่งคำตอบกลับมาที่ iPhone ของเรา และที่สำคัญที่สุด… Google ไม่มีทางเห็นข้อมูลนี้ และแม้แต่ตัว Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
พูดง่ายๆ คือ Apple ไปยืมสมองของ Google มาใช้ แต่เอามาใส่ไว้ใน “ตู้เซฟ” ของตัวเองอีกทีหนึ่ง
นี่คือทางออกที่เรียกได้ว่า Win-Win Apple ได้ AI ที่ฉลาดที่สุดในโลกมาใช้ โดยที่ไม่ต้องยอมเสียจุดยืนเรื่องความเป็นส่วนตัวเลย
นี่คือการแก้ปัญหาที่ฉลาดหลักแหลมมาก
ความพยายามในการ “ผ่าตัดสมอง” Siri ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ภายใน Apple
โครงการนี้มีชื่อรหัสภายในว่า “Glenwood” ซึ่งคนที่คุมโปรเจกต์นี้คือเบอร์ใหญ่ระดับท็อปของบริษัท คนแรกคือ Mike Rockwell อัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังการสร้างแว่นตา Vision Pro และอีกคนคือ Craig Federighi หัวหน้าใหญ่ฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่เราเห็นหน้าบ่อยๆ นั่นเอง
การที่ Apple ต้องเอาผู้บริหารระดับนี้มาคุมโปรเจกต์ มันก็บอกได้ชัดเจนว่า… วิกฤตครั้งนี้มันหนักหนาจริง
ทีนี้… เรามาถึงคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุด แล้วเรา… ในฐานะคนใช้… จะได้อะไรจากดีลนี้?
Siri ใหม่ (ที่มีชื่อรหัสว่า “Linwood”) ที่จะมาพร้อมกับ iOS 26.4 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า มันจะเก่งขึ้นแค่ไหน?
สิ่งที่โมเดล Gemini 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ จะเข้ามาทำ ไม่ใช่แค่การตอบคำถามทั่วไป แต่ Apple จะให้มันรับผิดชอบ 2 หน้าที่หลัก ที่สำคัญที่สุด
หน้าที่แรกคือ “Summarizer” หรือ “นักสรุป”
ลองจินตนาการว่า เราสามารถบอก Siri ได้ว่า “ช่วยสรุปอีเมลยาวๆ 10 ฉบับล่าสุดจากเจ้านายให้หน่อย” หรือ “สรุปบทความที่ฉันเปิดค้างไว้เมื่อคืนนี้ให้ฟังที” Siri จะสามารถอ่านและย่อยข้อมูลที่ซับซ้อน แล้วสรุปมาให้เราฟังได้เลย
และหน้าที่ที่สอง ซึ่งเป็น “Game-Changer” ที่แท้จริง คือหน้าที่ “Planner” หรือ “นักวางแผน”
Siri ในปัจจุบัน มันทำงานได้ทีละอย่าง (single-task) เช่น “ตั้งนาฬิกาปลุก” หรือ “ส่งข้อความหาแม่” แต่ Siri ใหม่ ที่มีสมองของ Gemini จะสามารถเข้าใจคำสั่งที่ “ซับซ้อน” และต้องทำ “หลายขั้นตอน” ได้
ตัวอย่างเช่น… เราอาจจะบอก Siri ได้ว่า…
“เฮ้ Siri, ช่วยหา 5 รูปที่ดีที่สุดจากทริปภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว แล้วส่งไปให้พ่อทาง iMessage พร้อมกับพิมพ์ข้อความว่า ‘คิดถึงนะครับ'”
ลองคิดดูว่าคำสั่งนี้ Siri ต้องทำอะไรบ้าง
มันต้องเข้าใจคำว่า “ทริปภูเก็ต” และ “เดือนที่แล้ว” มันต้องเข้าไปในแอป Photos มันต้องไป “วิเคราะห์” รูปทั้งหมดจากทริปนั้น แล้ว “คัดเลือก” รูปที่มันคิดว่า “ดีที่สุด” 5 รูป
มันต้องเปิดแอป iMessage มันต้องรู้ว่า “พ่อ” คือใครในคอนแทค มันต้องแนบรูป 5 รูปนั้น และมันต้องพิมพ์ข้อความ แล้วกดยืนยันเพื่อส่ง
นี่คือความสามารถระดับ “Planner” ที่ AI เดิมๆ ของ Apple ทำไม่ได้
และนี่คือสิ่งที่ Apple ยอมจ่ายปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้มา นี่คือผู้ช่วย AI ที่เราฝันหามาตั้งแต่ปี 2011
1
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ตลาดหุ้นก็ตอบรับในทันที
หุ้นของ Apple ขยับขึ้นไปที่ $271.70 ในขณะที่หุ้นของ Alphabet (Google) ก็พุ่งไปถึง $286.42 นักลงทุนเข้าใจดีว่า นี่ไม่ใช่การ “ยอมแพ้” ของ Apple แต่นี่คือการ “ซื้อเวลา” ที่ชาญฉลาด
และประเด็นสุดท้ายที่สำคัญที่สุด
Apple ไม่ได้วางแผนที่จะพึ่งพา Google ไปตลอดกาล พวกเขาเกลียดการพึ่งพาคนอื่นที่สุด แหล่งข่าวระบุชัดเจนว่า ดีลนี้เป็นเพียง “Interim Solution” หรือ “ทางออกชั่วคราว” เท่านั้น
ในขณะที่ Siri กำลังทำงานด้วยสมองของ Gemini ทีมวิศวกร AI ของ Apple เอง ก็กำลังซุ่มพัฒนาโมเดลของตัวเองอย่างหนัก
เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างโมเดล AI ระดับ 1 ล้านล้านพารามิเตอร์ ของตัวเองขึ้นมาให้ได้ เพื่อที่วันหนึ่ง จะสามารถไล่ตาม Gemini ได้ทัน และเมื่อถึงวันนั้น… Apple ก็จะ “ไล่” Google ออกไปจากระบบ
Apple ต้องการเป็นเจ้าของทุกอย่างใน Supply Chain ตั้งแต่ชิปประมวลผล Apple Silicon ระบบปฏิบัติการ iOS และสุดท้ายคือ “สมอง” AI
เรื่องนี้เราจะเห็นภาพชัดขึ้น เมื่อมองไปที่ตลาดใหญ่อย่าง “ประเทศจีน”
ในจีน Google ถูกแบน Apple ไม่สามารถใช้ Gemini ได้ ที่นั่น Apple จึงต้องใช้โมเดลของตัวเอง ร่วมกับฟิลเตอร์จาก Alibaba และกำลังเจรจากับ Baidu เพื่อมาช่วยเสริมทัพ
มันแสดงให้เห็นว่าสงคราม AI ในยุคนี้ มันซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์โลก
เรื่องราวของ Apple และ Google ในครั้งนี้ จึงเป็นบทเรียนทางธุรกิจที่คลาสสิกมาก
มันคือเรื่องราวของ “ความถ่อมตน” (Humility) การที่บริษัทยิ่งใหญ่ที่หยิ่งทะนงที่สุดในโลก ยอมรับความจริงว่าตัวเอง “ตามหลัง”
มันคือเรื่องราวของ “การปฏิบัติจริง” (Pragmatism) การยอมจับมือกับศัตรูตัวฉกาจ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คือการรักษาลูกค้าของตัวเองไว้
นวัตกรรม ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสร้างเองทุกอย่างเสมอไป แต่มันคือการหาทางออกที่ “ฉลาดที่สุด” เพื่อไปต่อให้ได้
1
Apple อาจจะแพ้ใน “สมรภูมิ AI” รอบแรก แต่ด้วยเช็คมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ พวกเขาได้ซื้อตั๋วกลับเข้ามาสู่ “สงคราม” รอบต่อไปได้สำเร็จ
และสงครามครั้งนี้… มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
References : [bloomberg,theverge,reuters,ft,arstechnica]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา