Siri ก็ยังคงเป็น Siri มันเก่งเรื่องการตั้งนาฬิกาปลุก, เช็คสภาพอากาศ, หรือโทรหาแม่
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถามอะไรที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย คำตอบที่เรามักจะได้ยินคือ “นี่คือสิ่งที่ฉันพบบนเว็บ” ซึ่งก็คือการโยนเราไปให้ Google หาคำตอบต่ออยู่ดี
Siri กลายเป็นเหมือนผู้ช่วยที่ยังทำงานไม่เสร็จ เก่งแค่บางอย่าง แต่ไม่สามารถเป็น “ผู้ช่วย” ที่แท้จริงได้
ในขณะที่ Apple กำลังพอใจกับความสามารถเดิมๆ ของ Siri โลกภายนอกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ปลายปี 2022 โลกได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Generative AI การมาถึงของ ChatGPT จาก OpenAI เขย่าโลกทั้งใบ
มันไม่ใช่แค่การถามตอบธรรมดา แต่มันคือ AI ที่สามารถเขียนโค้ด, แต่งบทกวี, วิเคราะห์บทความที่ซับซ้อน, และโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากนั้นไม่นาน Google ก็เปิดตัว Gemini Microsoft ก็ทุ่มเงินมหาศาลให้ OpenAI จู่ๆ โลกก็เข้าสู่สงคราม AI อย่างเต็มรูปแบบ ทุกคนกำลังสร้าง “ยานอวกาศ” ในขณะที่ Siri ของ Apple ยังคงเป็น “จักรยาน”
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องน่าอายสำหรับ Apple แต่มันคือ “วิกฤต”
ลองคิดดูว่า iPhone คือหัวใจที่ทำเงินให้ Apple มหาศาล แต่ถ้า “สมอง” ของ iPhone หรือก็คือ AI มันสู้คู่แข่งไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้น?
เมื่อ Samsung ประกาศจับมือกับ Google เอา Gemini ไปใส่ในมือถือ เมื่อ Microsoft เอา Copilot ที่มีสมอง ChatGPT ไปใส่ใน Windows
Apple ที่เคยเป็นผู้นำมาตลอด กำลังจะกลายเป็น “ผู้ตาม” ในสงครามที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้
แน่นอนว่า Apple มีทีม AI ของตัวเอง พวกเขาเปิดตัว “Apple Intelligence” ที่พยายามยกระดับ AI ในระบบ แต่มันชัดเจนว่า… มันยังไม่ทันเกม
โดยเฉพาะ AI ที่ต้องประมวลผลเรื่องยากๆ บนคลาวด์ Apple ยังตามหลังคู่แข่งอยู่หลายก้าว
Apple สร้าง “ห้องนิรภัย” ของตัวเองขึ้นมา โดยใช้ฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ที่ Apple สร้างเอง จากนั้น Apple ก็เอา “สมอง” ของ Google หรือโมเดล Gemini 1.2 ล้านล้านตัว ไป “ขัง” ไว้ในห้องนิรภัยนี้
เมื่อเราสั่งงาน Siri ที่มันยากๆ เกินกว่าที่ AI ในเครื่อง iPhone จะรับไหว คำสั่งนั้นจะถูกส่งไปที่ “ห้องนิรภัย” PCC นี้ ข้อมูลของเราจะถูกเข้ารหัส โมเดล Gemini ก็จะประมวลผลคำสั่งนั้น ภายใน ห้องนิรภัยของ Apple
เมื่อได้คำตอบ มันก็จะส่งคำตอบกลับมาที่ iPhone ของเรา และที่สำคัญที่สุด… Google ไม่มีทางเห็นข้อมูลนี้ และแม้แต่ตัว Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
พูดง่ายๆ คือ Apple ไปยืมสมองของ Google มาใช้ แต่เอามาใส่ไว้ใน “ตู้เซฟ” ของตัวเองอีกทีหนึ่ง
นี่คือทางออกที่เรียกได้ว่า Win-Win Apple ได้ AI ที่ฉลาดที่สุดในโลกมาใช้ โดยที่ไม่ต้องยอมเสียจุดยืนเรื่องความเป็นส่วนตัวเลย
นี่คือการแก้ปัญหาที่ฉลาดหลักแหลมมาก
ความพยายามในการ “ผ่าตัดสมอง” Siri ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ภายใน Apple
โครงการนี้มีชื่อรหัสภายในว่า “Glenwood” ซึ่งคนที่คุมโปรเจกต์นี้คือเบอร์ใหญ่ระดับท็อปของบริษัท คนแรกคือ Mike Rockwell อัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังการสร้างแว่นตา Vision Pro และอีกคนคือ Craig Federighi หัวหน้าใหญ่ฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่เราเห็นหน้าบ่อยๆ นั่นเอง
การที่ Apple ต้องเอาผู้บริหารระดับนี้มาคุมโปรเจกต์ มันก็บอกได้ชัดเจนว่า… วิกฤตครั้งนี้มันหนักหนาจริง
ในจีน Google ถูกแบน Apple ไม่สามารถใช้ Gemini ได้ ที่นั่น Apple จึงต้องใช้โมเดลของตัวเอง ร่วมกับฟิลเตอร์จาก Alibaba และกำลังเจรจากับ Baidu เพื่อมาช่วยเสริมทัพ
มันแสดงให้เห็นว่าสงคราม AI ในยุคนี้ มันซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์โลก
เรื่องราวของ Apple และ Google ในครั้งนี้ จึงเป็นบทเรียนทางธุรกิจที่คลาสสิกมาก