9 พ.ย. เวลา 04:09 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

.Chihayafuru Full Circle

เสียงจากผู้แพ้
ผมมักพูดอยู่เสมอ เรียกว่าบ่อยจนถึงบ่อยที่สุดว่า “หนังญี่ปุ่นมันทำอะไรก็ดูน่าสนุกไปหมด ไม่ว่าจะหยิบอะไรได้ทำหนังก็ทำสนุกไปหมด ” โดยเฉพาะหนังแนวฟูมฟาย ยิ่งทำออกมาก็ยิ่งดีเหลือเกิน มันมีจังหวะที่แม่นยำเหลือเชื่อ ทั้งจังหวะปูพื้น จังหวะกระแทกอารมณ์ และจังหวะที่ดึงเราเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของตัวละคร
แม้จะรู้ตัวว่าหนังตั้งใจจะ “ปั่นอารมณ์” เราขนาดไหน แต่ก็ยังเผลอตกหลุมพรางอยู่ดีทุกครั้ง
โดยเฉพาะบทสนทนา เคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเอาบทพูดแบบเดียวกันนี้ไปใส่ในหนังของประเทศอื่น มันอาจจะฟังดูไม่เข้ากันเท่าไร อาจจะพาลไปจนเหมือนดัดจริต แต่พอเป็นหนังญี่ปุ่น มันกลับกลมกลืนได้อย่างน่าอัศจรรย์ อะไร ๆ ก็ไปด้วยกันได้หมด
Chihayafuru ก็เช่นเดียวกันครับเอากีฬาไพ่คารุตะมาผสมกับนักเรียนมัธยมแล้วใส่สูตรฟูมฟายเต็มรูปแบบ กลายเป็นหนังไตรภาคที่ประสบความสำเร็จมากๆและผมถือว่าเป็นหนังในดวงใจชุดหนึ่งเลย ได้ข่าวทีมงานจะสร้างไตรภาคที่ 2 นานมากแล้ว แล้วก็เงียบหายไปจนกระทั่งรู้อีกทีทำเป็นซีรีส์ออกมาฉายในปีนี้ชือว่า Chihayafuru Full Circleซึ่งจะเป็นเรื่องที่รอคอยแล้วก็สมหวังเมื่อ Netflix เอาเข้ามาให้ได้ดูนะ
Full Circle พาเรากลับสู่โลกของบทกวี “Hyakunin Isshu” อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มุมมองเปลี่ยนไปจากหญิงสาวผู้หลงใหลในชัยชนะอย่างจิฮายะ สู่หญิงสาวที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงอยากเล่นคารุตะ
เมะงุรุเด็กสาวผู้เรียบง่าย ไม่มั่นใจในตัวเอง และแทบไม่มีอะไรเหมือนจิฮายะในตำนานเลย เธอเริ่มต้นเรื่องราวของตัวเองอย่างไม่เต็มใจนัก เมื่อถูกดึงให้เข้าร่วมชมรมคารุตะของโรงเรียน โดยมีอาจารย์คานะ โอเอะอดีตเพื่อนสนิทของจิฮายะ มาเป็นที่ปรึกษาชมรม
ในอีกฟากหนึ่งคือ นางิเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ด้านคารุตะ และดูเหมือนจะเป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของจิฮายะอย่างแท้จริง เมะงุรุจึงตกอยู่ในเงาของ “ตำนาน” โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเธอได้เผชิญกับความพ่ายแพ้ ความลังเล และความหมายของบทกวีที่พูดถึง “ผู้แพ้ในประวัติศาสตร์” เธอเริ่มเข้าใจว่าคารุตะไม่ใช่แค่เรื่องของการชนะหรือแพ้ แต่คือการ “ฟังเสียงของหัวใจตัวเอง”
ซีรีส์ค่อย ๆ พาเรากลับไปหาความอบอุ่นของตัวละครเก่า ๆ คานะที่เติบโตขึ้นเป็นครู, สึกุเอะที่สานต่อกิจการครอบครัว,ไทชิได้เป็นหมอตามความฝัน และเงาของจิฮายะที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของทุกคน แม้จะไม่ปรากฏตัวบ่อย แต่ชื่อของเธอยังคงเป็นแรงบันดาลใจ เป็นตำนาน และเป็น “คู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” สำหรับคนรุ่นใหม่
Full Circle ไม่ได้เล่าเรื่องของการสืบทอดเพียงอย่างเดียว แต่คือการค้นหาว่า “เราจะอยู่ในวงกลมของความฝันได้อย่างไร โดยไม่ต้องเป็นใครคนเดิม”
มันคือภาคต่อที่อ่อนโยน เต็มไปด้วยอารมณ์ละเมียด และยังคงรักษาจังหวะปั่นอารมณ์แบบหนังญี่ปุ่นไว้อย่างงดงาม
ครูคานะพูดไว้ว่าบทกวี Hyakunin Isshu”หรือ “บทกวีนิพนธ์ร้อยบทของกวีหนึ่งร้อยคน” นั้น ถูกเรียบเรียงขึ้นเพื่อ “ผู้พ่ายแพ้ในประวัติศาสตร์” ผู้คนที่อาจถูกลืม ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือไม่เคยมีชื่ออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างผู้ชนะ แต่ยังคงมี “เสียง” ของตนเองในบทกวีเหล่านั้น
มันเป็นแนวคิดที่ทั้งงดงามและน่าเศร้าในเวลาเดียวกันว่าความรู้สึก ความฝัน และความสูญเสียของคนธรรมดา ก็สามารถคงอยู่ได้ผ่านถ้อยคำ ไม่ต่างจากชื่อของวีรบุรุษในตำราเรียน
และซีรีส์นี้ก็ถ่ายทอดแนวคิดนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความลึกซึ้ง และความเคารพต่อสิ่งเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะหล่นหายไปตามกาลเวลา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นหัวใจของเรื่องทั้งหมด
ซีรีส์เรื่องนี้ดีอย่างเหลือเชื่อ ดีเกินความคาดหมายจริง ๆเป็นเรื่องของใจและความรู้สึกล้วนๆ
10/10
เสียงจากผู้แพ้
ผมมักพูดอยู่เสมอ เรียกว่าบ่อยจนถึงบ่อยที่สุดว่า “หนังญี่ปุ่นมันทำอะไรก็ดูน่าสนุกไปหมด ไม่ว่าจะหยิบอะไรได้ทำหนังก็ทำสนุกไปหมด ” โดยเฉพาะหนังแนวฟูมฟาย ยิ่งทำออกมาก็ยิ่งดีเหลือเกิน มันมีจังหวะที่แม่นยำเหลือเชื่อ ทั้งจังหวะปูพื้น จังหวะกระแทกอารมณ์ และจังหวะที่ดึงเราเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของตัวละคร
แม้จะรู้ตัวว่าหนังตั้งใจจะ “ปั่นอารมณ์” เราขนาดไหน แต่ก็ยังเผลอตกหลุมพรางอยู่ดีทุกครั้ง
โดยเฉพาะบทสนทนา เคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเอาบทพูดแบบเดียวกันนี้ไปใส่ในหนังของประเทศอื่น มันอาจจะฟังดูไม่เข้ากันเท่าไร อาจจะพาลไปจนเหมือนดัดจริต แต่พอเป็นหนังญี่ปุ่น มันกลับกลมกลืนได้อย่างน่าอัศจรรย์ อะไร ๆ ก็ไปด้วยกันได้หมด
Chihayafuru ก็เช่นเดียวกันครับเอากีฬาไพ่คารุตะมาผสมกับนักเรียนมัธยมแล้วใส่สูตรฟูมฟายเต็มรูปแบบ กลายเป็นหนังไตรภาคที่ประสบความสำเร็จมากๆและผมถือว่าเป็นหนังในดวงใจชุดหนึ่งเลย ได้ข่าวทีมงานจะสร้างไตรภาคที่ 2 นานมากแล้ว แล้วก็เงียบหายไปจนกระทั่งรู้อีกทีทำเป็นซีรีส์ออกมาฉายในปีนี้ชือว่า Chihayafuru Full Circleซึ่งจะเป็นเรื่องที่รอคอยแล้วก็สมหวังเมื่อ Netflix เอาเข้ามาให้ได้ดูนะ
Full Circle พาเรากลับสู่โลกของบทกวี “Hyakunin Isshu” อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มุมมองเปลี่ยนไปจากหญิงสาวผู้หลงใหลในชัยชนะอย่างจิฮายะ สู่หญิงสาวที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงอยากเล่นคารุตะ
เมะงุรุเด็กสาวผู้เรียบง่าย ไม่มั่นใจในตัวเอง และแทบไม่มีอะไรเหมือนจิฮายะในตำนานเลย เธอเริ่มต้นเรื่องราวของตัวเองอย่างไม่เต็มใจนัก เมื่อถูกดึงให้เข้าร่วมชมรมคารุตะของโรงเรียน โดยมีอาจารย์คานะ โอเอะอดีตเพื่อนสนิทของจิฮายะ มาเป็นที่ปรึกษาชมรม
ในอีกฟากหนึ่งคือ นางิเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ด้านคารุตะ และดูเหมือนจะเป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของจิฮายะอย่างแท้จริง เมะงุรุจึงตกอยู่ในเงาของ “ตำนาน” โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเธอได้เผชิญกับความพ่ายแพ้ ความลังเล และความหมายของบทกวีที่พูดถึง “ผู้แพ้ในประวัติศาสตร์” เธอเริ่มเข้าใจว่าคารุตะไม่ใช่แค่เรื่องของการชนะหรือแพ้ แต่คือการ “ฟังเสียงของหัวใจตัวเอง”
ซีรีส์ค่อย ๆ พาเรากลับไปหาความอบอุ่นของตัวละครเก่า ๆ คานะที่เติบโตขึ้นเป็นครู, สึกุเอะที่สานต่อกิจการครอบครัว,ไทชิได้เป็นหมอตามความฝัน และเงาของจิฮายะที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของทุกคน แม้จะไม่ปรากฏตัวบ่อย แต่ชื่อของเธอยังคงเป็นแรงบันดาลใจ เป็นตำนาน และเป็น “คู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” สำหรับคนรุ่นใหม่
Full Circle ไม่ได้เล่าเรื่องของการสืบทอดเพียงอย่างเดียว แต่คือการค้นหาว่า “เราจะอยู่ในวงกลมของความฝันได้อย่างไร โดยไม่ต้องเป็นใครคนเดิม”
มันคือภาคต่อที่อ่อนโยน เต็มไปด้วยอารมณ์ละเมียด และยังคงรักษาจังหวะปั่นอารมณ์แบบหนังญี่ปุ่นไว้อย่างงดงาม
ครูคานะพูดไว้ว่าบทกวี Hyakunin Isshu”หรือ “บทกวีนิพนธ์ร้อยบทของกวีหนึ่งร้อยคน” นั้น ถูกเรียบเรียงขึ้นเพื่อ “ผู้พ่ายแพ้ในประวัติศาสตร์” ผู้คนที่อาจถูกลืม ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือไม่เคยมีชื่ออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างผู้ชนะ แต่ยังคงมี “เสียง” ของตนเองในบทกวีเหล่านั้น
มันเป็นแนวคิดที่ทั้งงดงามและน่าเศร้าในเวลาเดียวกันว่าความรู้สึก ความฝัน และความสูญเสียของคนธรรมดา ก็สามารถคงอยู่ได้ผ่านถ้อยคำ ไม่ต่างจากชื่อของวีรบุรุษในตำราเรียน
และซีรีส์นี้ก็ถ่ายทอดแนวคิดนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความลึกซึ้ง และความเคารพต่อสิ่งเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะหล่นหายไปตามกาลเวลา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นหัวใจของเรื่องทั้งหมด
ซีรีส์เรื่องนี้ดีอย่างเหลือเชื่อ ดีเกินความคาดหมายจริง ๆเป็นเรื่องของใจและความรู้สึกล้วนๆ
10/10
โฆษณา