10 พ.ย. เวลา 02:36 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

มหาลัยคลั่ง ช่วยด้วย ซอมบี้พาคลั่ง

“มหาลัยคลั่ง” เปิดฉากด้วยเหตุการณ์สุดโกลาหล เมื่อเชื้อซอมบี้แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัย ประตูรั้วจึงปิดตายทุกทางหนีทีไล่ เหล่านักศึกษาที่เคยใช้ชีวิตชิลล์ ๆ กับการเรียนหนังสือ ต้องหันมาเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้กระหายเลือดแทน นี่คือพล็อตที่เรียบง่ายแต่มีพลัง และมันน่าสนใจกับซีรีส์ไทย เพราะอย่างน้อยในรอบหลายปี เราแทบไม่เห็น “ซอมบี้ไทย” ได้ออกมาอาละวาดกันแบบจริงจังสักที
ผมดูซีรีส์เรื่องนี้ด้วยความรู้สึกลุ้นและเอาใจช่วยเต็มที่ เพราะตัวเองก็เป็นแฟนหนังซอมบี้เหมือนตัวละครในเรื่อง ที่ชอบพูดถึงผลงานคลาสสิกอย่างของ จอร์จ เอ. โรเมโร หรือซีรีส์ระดับตำนานอย่าง The Walking Dead, The Last of Us ซึ่งทำให้รู้ว่าทีมคนสร้างคงมีใจรักแนวนี้ไม่น้อย
ทว่า แทนที่ความลุ้นจะอยู่ที่เนื้อหาซอมบี้จะมันแค่ไหน กลับกลายเป็นลุ้นว่าหนังจะ “หาทางลง” ยังไงดี เพราะสิ่งที่เห็นคือหนังที่มีไอเดียดี แต่ขาดทักษะในการเล่าเรื่อง เรียกว่าคอร์ไอเดียของเรื่องเข้าท่ามากๆ แต่ยิ่งเล่ายิ่งรู้สึก อิหยังว่ะ
แม้จะพยายามสร้างบรรยากาศชวนขนลุกด้วยภาพแหวะ ๆ และเสียงกรีดร้องไม่ขาดสาย แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องกลับอ่อนแรงเต็มที หนังซอมบี้แทบทุกประเทศมีช่องโหว่อยู่แล้ว แต่พอมาอยู่ในรูปแบบซีรีส์ ช่องโหว่นั้นยิ่งเด่นชัดขึ้น ทั้งตัวละครที่ถูกออกแบบมา “เพื่อให้ตาย” ตัวละครที่ “ต้องมีไว้ให้คนดูสงสาร” และแน่นอน ตัวละครที่ “ตัดสินใจโง่ ๆ” จนพาตัวเองไปตาย ซึ่ง “มหาลัยคลั่ง” ก็มีครบทุกสูตร
สิ่งที่ขาดที่สุดคือ “ตัวละครที่คนดูอยากอยู่ข้าง” ไม่มีใครให้เราได้เอาใจช่วยอย่างจริงจัง เด็กที่เหลือรอดกลับถูกวางบุคลิกให้สุดโต่งจนห่างไกลจากความเข้าใจของผู้ชม จะโวยวายก็โวยวายเกินเหตุ จะหลงตัวเองก็หลงจนเกินรับ หรืออย่างตัวเอกนักศึกษาวิทย์หญิงที่แม้จะมีชะตาอาภัพเพียงใด แต่กลับไม่มีมุมไหนให้เรารู้สึกเห็นใจเธอได้เลย เพราะเธอเกรี้ยวกราด ไม่น่าเอาใจช่วย โดยเฉพาะคำพูดที่มีอารมณ์ร้อน ไม่เห็นมุมที่น่าเอาใจช่วย
ยิ่งรวมกับตัวเรื่องที่ทำให้สงสัยตลอดเวลาว่า เช่น การปิดตายในรั้วมหาวิทยาลัย ขณะที่ภายนอกใช้ชีวิตปกติกันดีนั้น มันเป็นไปได้เหรอ
ที่จริงจุดเริ่มต้นไอเดียที่ให้ซอมบี้คลั่งในมหาลัยคลั่งมันก็น่าสนใจ เพราะมหาวิทยาลัยมันประกอบด้วยหลากหลายคณะ หลากหลายนักศึกษาที่ความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ซึ่งมันน่าจะเอามาเป็นจุดที่ทำให้หนังแตกต่างได้ ยังคิดเล่นๆว่าถ้าเอานักศึกษาแต่ละคณะมารวมพลังสู้ เอาจุดเด่นของคณะตนเองมาใช้ มันก็อาจจะทำให้โทนเรื่องไปอีกแบบหนึ่ง แต่ในหนังเราจะเห็นเพียงแค่เด็ก 3 กลุ่ม คือกลุ่มนักศึกษาวิทยาศาสตร์ กลุ่มนักศึกษาพละ และกลุ่มที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์
ถึงจะมีแค่ 3 กลุ่มก็ไม่เท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือใส่เข้ามาแล้ว มันควรจะดึงตัวตนของแต่ละคนออกมา มีส่วนต่อการเล่าเรื่อง แต่ทำไมมันมีความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องมีก็ ได้อย่างเช่นกลุ่มของเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งเหมือนจะหลุดออกไปแยกการเล่าเรื่องเป็นเอกเทศและไม่สัมพันธ์หรือส่งผลสำคัญต่อเนื้อเรื่องเลย อาจจะดูกลายเป็นตัวถ่วงด้วยซ้ำ เพราะพฤติกรรมบางอย่างเขาเด็กกลุ่มนี้กลับรู้สึกว่ามันล้นจนเกินพอดี เช่น อาการฟูมฟายในจังหวะที่จะโดนซอมบี้รุมอยู่แล้วยังมามีพฤติกรรมแปลกๆ
ในแง่ฉากแอ็กชันหรือความตื่นเต้น “มหาลัยคลั่ง” ยังขาดจังหวะเด็ดที่ควรจะมี แม้จะมีฉากเลือดสาดหรือซอมบี้บุก แต่ไม่มี “ภาพจำ” ที่ทำให้เรารู้สึกติดตา ไม่มีฉากไหนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจริง ๆ ทั้งที่หนังซอมบี้ชั้นดีมักจะมี “ฉากไฮไลต์” ที่ทั้งโชว์บุคลิกตัวละครและดึงอารมณ์คนดูไปพร้อมกัน ความโกลาหลที่ผู้สร้างพยายามใส่กลับกลืนเอาเสน่ห์ของความระทึกไปหมด
ถึงกระนั้น “มหาลัยคลั่ง” ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว มันมีทุกองค์ประกอบของหนังซอมบี้ครบถ้วน ทั้งฝูงผีดิบ ความหวาดกลัว และการเอาชีวิตรอด เพียงแต่ขาด “ทีเด็ดทีขาด” ที่จะทำให้จดจำได้ หลังจากดูจบ ผมกลับรู้สึกเสียดายมากกว่าจะผิดหวัง เพราะเห็นเค้าลางของสิ่งดี ๆ ที่สามารถพัฒนาได้ในซีซั่นต่อไป
สิ่งที่น่าชื่นชมคือ “เงื่อนไขการเกิดซอมบี้” ซึ่งมีแนวคิดที่ดู"ฉลาด"กว่าหนังซอมบี้ทั่วไป และยังเปิดช่องให้ต่อยอดได้อีกมาก รวมถึงความพยายามแทรกบทสนทนาที่สะท้อนสังคม คือหนังพยายามส่งสารบางอย่างออหไป แม้จะยังดูไม่ลงตัวนักเพราะบางช่วงยัดเยียดจนเสียจังหวะ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างมีความตั้งใจจะทำมากกว่าความบันเทิงผิวเผิน ความพยายามใส่บทสนทนาที่สะท้อนภาพความคิด(ของทีมงาน)ที่มีต่อสังคมไทยเข้าไป ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วมันอาจจะดูเท่ดีแต่มันไม่ไปกันกับจังหวะในช่วงเวลานั้น
จริงๆ แล้วถ้าหนังตั้งเป้าเต็มที่เอาให้มันเอาให้สนุก แล้วสิ่งที่อยากจะบอกคนดูนอกเหนือจากความมันให้มันสอดแทรกเข้าไปในจังหวะการเดินเรื่องที่เหมาะสมกว่าการตั้งใจใส่ไดอะล็อกยัดปากตัวละครให้พูดไปในช่วงเวลาที่ดูแล้วมันไม่เข้ากัน
ในซีรีส์มีนักศึกษา 3 กลุ่ม ที่เน้นหนักคือเด็กพละกับเด็กวิทย์ เอาเข้าจริงแล้วกลับรู้สึกว่าเด็กพละเนี่ยมันเก่งกว่าเด็กวิทย์ ทั้งวิธีคิด ความเป็นเหตุเป็นผล ในขณะที่เด็กวิทย์เนี่ยเลอะเทอะมากมาย แล้วพอตัวละครจะพูดอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลมันกลับไม่มีน้ำหนักเลอะเทอะยิ่งกว่า
สำหรับมหาลัยคลั่งแล้วสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเรื่องนี้ก็คือบทสนทนา ตัวละครที่มันเลอะเทอะอยู่แล้ว ดันพูดจาเหลวไหวอีก คำพูดของตัวละครนักศึกษาในเรื่องมันเหลวไหล ขาดตรรกกะ ขาดการคิดวิเคราะห์ หรือจริงๆแล้วผู้สร้างก็พยายามบอกต่อผู้ชมว่าเด็กปัจจุบันก็เป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่อย่าไปตั้งความหวังอะไรกับเด็กรุ่นใหม่เลย(ฮา)
ทำให้นึกถึงหนังสยองขวัญอีกเรื่องอย่าง "ห่าก้อม" ที่มีสารส่งถึงสังคมไทย การเมือง แต่วิธีการใส่มันกลืนไปกับเรื่อง มีบางช่วงอาจจะยัดปากตัวละคร แต่มันเป็นบทสนทนาที่เราเชื่อว่าตัวละครต้องพูดแบบนั้นจริงๆ เหมือนกับเราถ้าอยู่ในสถาการณ์นั้น เราก็จะพูดแบบนั้น
สรุปแล้ว “มหาลัยคลั่ง” เป็นซีรีส์ซอมบี้ไทยที่คอร์ไอเดียที่ดี จุดที่ค่อนข้างชอบเลยคือเงื่อนไขของการเกิดซอมบี้ที่มันสามารถพัฒนาให้เห็นว่าหนังแบบนี้มันก็ใส่ความลึกของซอมบี้ไปได้มากกว่าปกติและมหาลัยคลั่งทำให้เห็นว่าในพื้นที่ของซอมบี้ที่เราเห็นกันชินตามันก็มีอะไรบางอย่างที่สามารถทำให้แตกต่างได้
แต่เมื่อยังขาดขาดความเสน่ห์ ขาดตัวละครที่คนดูรัก และกล้าในการเล่าเรื่อง และขาดตัวละครที่ให้คนดูยึดโยงอารมณ์ได้ ถ้าซีซั่นต่อไปพัฒนาเรื่องบทและจังหวะให้ดีขึ้น มันอาจกลายเป็นหนังซอมบี้ไทยที่เราพูดได้เต็มปากว่าสนุกจริง ที่จริงมหาลับคลั่งมันออกจะโอเคกว่า The walking Dead ซีซั่นท้ายๆ หรือซีซั่นสปินออฟตัวละครออกมา เพียงแต่ที่ว่าไปเพราะอยากให้มันดีขึ้นถ้าได้ไปต่อ
5/10
โฆษณา