10 พ.ย. เวลา 12:22 • ประวัติศาสตร์

สงครามที่กินเวลานานกว่า 2,000 ปี

“สงครามพิวนิก (Punic Wars)” เป็นสงครามสามครั้งระหว่างกรุงโรมและคาร์เธจ ซึ่งในท้ายที่สุด โรมก็สามารถบดขยี้ศัตรูของตนจนราบคาบ ทำให้คาร์เธจเหลือเพียงซากปรักหักพัง
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของสองเมืองนี้ยังไม่จบสิ้น โรมและคาร์เธจไม่เคยทำสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการเพื่อยุติสงคราม กว่าจะยุติปัญหานี้ก็ปาเข้าไปปีค.ศ.1985 (พ.ศ.2528)
สงครามพิวนิก เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิคาร์เธจเหนือเพื่อชิงอำนาจควบคุมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก และทั้งสองเมืองต่างก็มีอาณานิคมข้ามทะเล ทำให้สงครามกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สงครามพิวนิกครั้งที่หนึ่ง กินเวลาตั้งแต่ 264 ถึง 241 ปีก่อนคริสตกาล และนี่คือความขัดแย้งในการแย่งชิงการควบคุมเหนือเกาะซิซิลีซึ่งเป็นชนวนให้เกิดสงคราม
สงครามเริ่มต้นจากการสู้รบทางบก แต่แสนยานุภาพทางทะเลที่เหนือกว่าของคาร์เธจได้กระตุ้นให้ฝ่ายโรมันต้องพัฒนากองทัพเรือที่แข็งแกร่ง ซึ่งแม้ว่าคาร์เธจจะมีชัยชนะในช่วงแรก แต่ในที่สุด ฝ่ายโรมันก็เป็นฝ่ายชนะ ได้เข้าควบคุมซิซิลี และมีการลงนามในสัญญาสงบศึก
อย่างไรก็ตาม สันติภาพก็อยู่ได้ไม่นาน ชาวคาร์เธจยังคงเต็มไปด้วยความแค้นจากความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายในสงครามครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ฮันนิบาล (Hannibal)” ขุนพลชาวคาร์เธจ
ฮันนิบาล (Hannibal)
นับตั้งแต่สงครามครั้งแรก ฝ่ายโรมันได้ขยายอาณาเขตและอำนาจเข้าไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รวมถึงสเปน ซึ่งเป็นที่ตั้งอาณานิคมของคาร์เธจ ทำให้ชาวคาร์เธจอึดอัดและระแวงในอำนาจที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายโรมัน และวางแผนที่จะแก้แค้น
สงครามพิวนิกครั้งที่สองจึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 218 ปีก่อนคริสตกาล
ฮันนิบาลได้เปิดฉากการรุกรานอิตาลี และสร้างชื่อด้วยการนำช้างศึกข้ามเทือกเขาแอลป์ ได้รับชัยชนะในช่วงแรกที่ทะเลสาบตราซิเมเนและใน “ยุทธการที่กันไน (Battle of Cannae)” เมื่อ 216 ปีก่อนคริสตกาล
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโรมันก็ไม่ยอมแพ้ ได้เปิดฉากโต้กลับ ขับไล่ชาวคาร์เธจออกจากสเปน จากนั้นก็บุกแอฟริกาเหนือ ทำให้ฮันนิบาลต้องทิ้งแผนการรุกรานกรุงโรมเพื่อกลับไปปกป้องคาร์เธจ
ต่อมา ฝ่ายโรมันได้รับชัยชนะใน “ยุทธการที่ซามา (Battle of Zama)” เมื่อ 202 ปีก่อนคริสตกาล
คาร์เธจถูกริบดินแดนในสเปน กองทัพเรือถูกบีบให้ยอมจำนน และต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามที่สูงลิบ ซึ่งเท่ากับเป็นการสิ้นสุดสถานะของคาร์เธจในฐานะมหาอำนาจทางทหารไปโดยปริยาย
นี่คือความพ่ายแพ้ที่น่าอัปยศอดสูสำหรับนครรัฐอันทรงอำนาจนี้ ฮันนิบาลถูกเนรเทศ แตาถึงอย่างนั้น ในสายตาของชาวโรมัน ฮันนิบาลคือปีศาจร้าย และฝ่ายโรมันก็ระแวงว่าฮันนิบาลอาจจะนำกองทัพคาร์เธจบุกกรุงโรมอีกครั้ง
ดังนั้น ฝ่ายโรมันจึงวางแผนจับกุมฮันนิบาล แต่ตามที่นักประวัติศาสตร์บางคนระบุ ได้ระบุว่าฮันนิบาลได้ปลิดชีพตนเองด้วยยาพิษเมื่อ 181 ปีก่อนคริสตกาล
เมื่อสิ้นสุดสงครามพิวนิกครั้งที่สอง ผู้รักชาติหัวรุนแรงหลายคนในวุฒิสภาโรมันได้เรียกร้องให้ทำลายคาร์เธจ
คาร์เธจกำลังฟื้นฟูความแข็งแกร่งทางการค้า ซึ่งแม้ว่าจะยังห่างไกลจากความรุ่งโรจน์ในอดีต แต่ก็วางใจไม่ได้
149 ปีก่อนคริสตกาล กรุงโรมใช้การที่ฝ่ายคาร์เธจละเมิดสนธิสัญญาเพียงเล็กน้อยเป็นข้ออ้างในการบุกคาร์เธจ ซึ่งสงครามครั้งนี้ประกอบด้วยการล้อมเมืองเป็นเวลาสามปี และเมื่อ 146 ปีก่อนคริสตกาล คาร์เธจก็ล่มสลาย
หลังการล่มสลาย ประชาชนในเมืองก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกจับไปเป็นทาส เมืองถูกทำลายราบคาบ และดินแดนดังกล่าวก็ได้กลายเป็นมณฑลแอฟริกาของโรมัน ซึ่งกลายเป็นแหล่งผลิตเสบียงที่สำคัญสำหรับสาธารณรัฐที่กำลังเติบโต
มีตำนานที่แพร่หลายว่า ชาวโรมันได้หว่านเกลือลงในทุ่งนาเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดเติบโตได้อีก แต่เรื่องนั้นก็ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากเกลือเป็นทรัพยากรที่มีค่าเกินกว่าจะนำมาใช้ในลักษณะนั้นได้ แต่อาจมีการโปรยเกลือในเชิงสัญลักษณ์เพียงเล็กน้อย
แม้ว่าเมืองคาร์เธจเดิมจะกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ “จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar)” ขุนศึกชาวโรมัน ก็มีแผนที่จะสร้างคาร์เธจของโรมันขึ้นใหม่ แต่ก็ถูกลอบสังหารก่อนที่แผนจะบรรลุผล
แต่ในเวลาต่อมา “จักรพรรดิออกัสตัส (Augustus)” จักรพรรดิโรมันองค์แรก ได้รื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาเมื่อ 29 ปีก่อนคริสตกาล และเมืองนี้ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญ จนกระทั่งชาวอุมัยยะฮ์ทำลายเมืองเมื่อ 698 ปีก่อนคริสตกาล และปัจจุบัน เมืองคาร์เธจสมัยใหม่ก็ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งประวัติศาสตร์
จักรพรรดิออกัสตัส (Augustus)
ต่อมา นายกเทศมนตรีของกรุงโรม นั่นคือ “อูโก เวเตเร (Ugo Vetere)” และนายกเทศมนตรีคาร์เธจ นั่นคือ “เชดลี คลิบิ (Chedli Klibi)” ได้พบกันเพื่อลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1985 (พ.ศ.2528) ซึ่งเป็นการยุติสงครามพิวนิกอย่างเป็นทางการ
นับได้ 2,131 ปีหลังจากที่สงครามพิวนิกเริ่มต้นขึ้น
โฆษณา