Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หุ้นวันละตัว
•
ติดตาม
12 พ.ย. เวลา 16:32 • หุ้น & เศรษฐกิจ
TRP
🇹🇭
หมี ที่ราคา 4.52
ราคาปิด 12 พ.ย. 2025
ตัวอย่าง "หุ้นทำลายทรัพย์" อีกตัวครับ
ผมจำได้เป็นอย่างดี จากประสบการณ์ตรงของตัวเองเลยแหละ
ผมเคยชอบหุ้นตัวนี้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงก่อนบริษัทเข้าตลาด จนถึงช่วงแรก ๆ ที่เข้ามา
บริษัทนี้เป็นบริษัทแรกเลยนะ ที่ผมไปช่วยสมาคมจดสรุป CV ซึ่งเป็นสมัยที่ ผมเคยตั้งคำถามว่า การไป CV คงจะเป็นประโยชน์ และคนที่ไป CV คงจะทำผลตอบแทนได้มหาศาลเป็นแน่
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจผิด เพราะในหลาย ๆ ครั้ง มันโคตรไร้ประโยชน์ และคนที่ไป ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำผลตอบแทนออกมาดีอะไรเลย
หลายคนผมยังมองว่า ถ้ารวยอยู่แล้ว ไปทำงานก๊อกแก๊ก ๆ และเลิกยุ่งกับตลาดหุ้น เอาเงินไปซื้อ Index Fund ดี ๆ อย่าง S&P500, MSCI World, และ Nasdaq-100 และใช้ชีวิตสบาย ๆ ให้มีความสุขไป น่าจะเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่านัก
ตอนนั้นผมไม่ได้อ่านไฟลิ่งไปก่อน แต่อาศัยฟังสัมภาษณ์เจ้าของเอา + ได้ยินแรงเชียร์อย่างสุดใจจากคนที่ดูน่านับถือมาก
ผมก็ยิ่งฟังยิ่งชอบครับ คุณหมอแกดูเรียลดี คือรู้สึกว่า นี่แหละหมอที่แท้จริง (ไม่เหมือนนักธุรกิจในคราบหมอ ซึ่งเป็นเจ้าของอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งก็เป็นหุ้นทำลายทรัพย์อีกเช่นกัน)
คือฟังแล้วมันเคลิ้มมากครับ ผมจำได้ว่า วันแรกที่เข้าซื้อขายในตลาด ผมไปตลาดหลักทรัพย์ตอนนั้นด้วยแหละ
ผมเคย Valuation ด้วยสมมติฐานตามความเชื่อของผู้บริหาร ก็คิดว่า โห ราคา IPO ไม่ได้แพงเลย ถ้าเทียบกับ Growth ที่บริษัทมีโอกาสจะทำได้
(ตอน MEDEZE ผมก็คิดงี้เหมือนกัน ซึ่งคนเชียร์สุดใจ ก็ดันเป็นคนเดียวกันด้วยครับ 555)
คือพูดตรง ๆ นะครับ เวลาไป Roadshow อ่ะ ผมไม่เคยเจอบริษัทไหนมีตำหนิสักแห่งเลย
ทุกเจ้ามาออกเนี่ย จะพูดอย่างกับ บริษัทตัวเองนี่แม่งเจ๋งมาก ไม่เหมือนคนอื่น มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนต่อเงินลงทุนได้สวยหรู
(TRP และ MEDEZE ก็ทำได้จริงครับ ก่อนเข้าตลาดอ่ะครับ งบโคตรดีเลยครับ)
ตอนนั้น ผมลังเลที่จะซื้อ เพราะผมกลัวหุ้น IPO มาก มันชอบเข้ามาแพง แล้วสักพักราคาก็ร่วงแรง บางทีเราก็อยากต่อราคาเยอะ ๆ น่ะครับ
จนกระทั่งช่วงปลายปี ประมาณเดือนธันวาคม 2023 มั้งนะ บริษัทปิดสมุด มีรายชื่อเซียนหุ้นจำนวนมากติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วก็ถือกันเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยด้วย
ผมก็คิดว่า เออ มีคนคิดเหมือนผมด้วยแฮะ แต่ผมคงพลาดไป ตกรถแล้วสินะ
จนเมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว ผมมีเวลาได้อ่านตัวนี้จริงจังมากขึ้น ด้วยการโฟกัสไปที่รายงานประจำปีล้วน ๆ และวิเคราะห์เชิงคุณภาพผ่านตัวกรองที่ผมชอบใช้ประจำ
ผมก็ได้คำตอบใหม่ว่า "ผมว่ามันไม่เห็นจะดีตรงไหนเลยอ่ะ"
ธุรกิจมันไม่ได้สร้างรายได้ Recurring อะไรเลย จะมมีดีก็ตรง ขาย Brand ที่บอกว่า จากมือหมอระดับตำนาน มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ก็เท่านั้น
แล้วพอได้ทั้งอ่าน + ฟัง ประกอบกัน ผมก็รู้สึกว่า ผู้บริหารบริษัทนี้ ทำธุรกิจไม่เป็นนี่หว่า (ผมก็ทำไม่เป็นครับ แต่ผมก็ดูออกว่าใครก็ทำไม่เป็นเหมือนกันครับ 555)
กลยุทธ์ที่ใช้ มันแปลก มันเชยมาก มันดูไม่น่าทำให้บริษัทจะเป็นหุ้นเติบโตได้เลย อีกทั้งไอ้การสร้างโรงพยาบาลของตัวเอง เหตุผลแม่งโคตรแปลก ไม่ใช่เพื่อขยายกิจการอะไรนะ แค่อยากมีเฉย ๆ โดยที่ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะหาลูกค้ามาใช้บริการได้คุ้มทุนหรือป่าว
คือจะทำออกมาซะใหญ่โต แต่ไม่ได้มีกลยุทธ์อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ดึงดูดให้คนมาใช้บริการ เพื่อบริษัทจะเติบโตได้เรื่อย ๆ เลยครับ
และประกอบกับ ตอนนั้นผมก็อ่านรายงานประจำปีของทุกบริษัท ที่ทำธุรกิจคล้ายกับ TRP ที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยน่ะ
ผมก็พบว่า TRP เป็นบริษัทที่ดูแย่ที่สุดแล้ว อีก 2 เจ้าถึงไม่ได้มีหมอระดับตำนาน แต่กลยุทธ์มันยังดูน่าฝากผีฝากไข้ได้
แต่พูดจริงนะ ใน 3 ตัวนี้ ผมชอบ Kliniq ที่สุด มันดูแพง Brand ดูมีราคา และบริษัทนี้ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนหมอมาทำธุรกิจ และเจ้าของก็ยังดูมีความเป็นหมออยู่ด้วย
ส่วน TRP ดูเป็นหมอเกิน น่าจะทำเป็นคลินิกอย่างเดียว แล้วอย่ามาเข้าตลาดเลย
และนั่นแหละฮะ งบของบริษัทก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ พร้อมกับราคาหุ้นที่ตกลง ๆ โดยเหตุผลที่บริษัยกมาอ้างใน MD&A ก็รู้สึกว่า เหมือนเขียนเอาสะกดจิตพวกตัวเองว่า เราเก่ง เราทำดีแล้ว แต่สถานการณ์โดยรวมมันแย่
ซึ่งมันก็อาจจะแย่จริง ๆ แต่พวกคุณก็ไม่ได้เก่งไง
ผมโชคดีมาก ที่ไม่ได้มีหุ้นทั้ง 3 ตัวที่กล่าวมา หุ้น IPO ที่ผมพลาดหนักตัวล่าสุด ก็คือ WARRIX ซึ่งผมเคยเขียนเล่าความผิดพลาดของตัวเองไปแล้ว
เมื่อประมาณเกือบ 2 เดือนก่อน ผมไปปฏิบัติธรรม และได้พินิจพิเคราะห์ ความผิดพลาดของตัวเอง ในการลงทุนหุ้น WARRIX ต่ออีกรอบครับ
1
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ จะมาเขียนเล่าเพิ่มเติมให้ฟังสักหน่อยในโพสต์นี้เลยล่ะกันครับ
1. ผมซื้อหุ้นมาแพงเกินไป โดยไม่ได้เข้าใจเลยว่า มันแพงเพราะคุณภาพ หรือแพงเพราะคนคาดหวังการเติบโตแบบไม่สมเหตุสมผล
ผมเคยคิดว่า เมื่อสมัยก่อน มันมีอยู่ยุคหนึ่ง ที่นักลงทุนเก่ง ๆ ในไทย ลงทุนในหุ้นแบบ Hypergrowth โดยเล่นระดับ P/E สูง อย่างกับหุ้น NVDA, AMD, PLTR ในสมัยนี้
แล้วก็ดันทำผลตอบแทนได้สูงด้วย
หุ้นเหล่านั้น ตอนนี้ราคาล้วนเป็นเจดีย์กันทั้งนั้น
ตอนนั้น ผมเลยคิดว่า การเริ่มซื้อ WARRIX ตอน P/E 50 เท่า คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ถ้าบริษัททำได้
แต่ในภายหลัง ผมยอมรับว่า ผมคิดผิด และ Playbook ที่นักลงทุนเหล่านั้นใช้กัน ในช่วงเวลานั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้สมเหตุสมผล ให้สามารถถือหุ้นยาวได้เลยสักนิด
เพราะบริษัทที่เค้าลงทุนกัน มันก็ไม่ใช่บริษัทคุณภาพดีจริง ๆ แบบที่พวกหุ้นอย่าง Costco, FICO, MCO, SPGI ที่คู่ควรจะได้ Multiple สูง ๆ
หุ้นเหล่านั้น อาจจะแค่กำลังโดนปั่น แล้วอยู่ในช่วงเฟสเติบโตก็ได้ แต่มันไม่ใช่บริษัทที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้เลย
ถ้าจะลงทุนก็ได้แหละ แต่ต้องรีบเข้ารีบออก ซึ่งพวกนักลงทุนเก่ง ๆ เค้าก็เข้าเร็ว-ออกเร็ว กว่านักลงทุนส่วนใหญ่อยู่แล้ว
บริษัทเหล่านั้น แตกต่างจากพวกหุ้นเทพคุณภาพสูงในระดับโลก อย่างสิ้นเชิงครับ
บริษัทเหล่านั้น ไม่มีรายได้ Recurring Income เลย และโมเดลธุรกิจ ก็ไม่ได้มีอะไรให้มันว้าวสักเท่าไรด้วย
แต่อาศัยแรงดัน เพราะตลาดหุ้นไทยมันเล็ก + ผลประกอบการบริษัทก็เติบโตจริง ๆ นั่นแหละ วิธีการแบบนี้ มันจึงประสบความสำเร็จในช่วงหนึ่ง
แต่ก็เห็นไหมครับว่า ในระยะยาวแล้ว บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถยืนระยะได้เลย และราคาหุ้นก็จะตกลงมา สร้างความเสียหายให้กับคนที่ออกไม่ทัน อย่างย่อยยับ
ผมว่าวิธีการนี้มันยากมากนะ และรู้สึกว่า เป็นวิธีการที่ลงทุนแล้วไม่ได้ทำให้สบายใจเท่าไร เพราะเราจะต้องคอยสอดส่อง เวลาที่ควรจะขายหุ้นเสมอเลย
ซึ่งมันต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทระดับเทพ ที่พัฒนาตัวเองให้เก่ง ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ และมีกระบวนการ Value Creation ให้เราเห็นเสมอ ซึ่งหุ้นแบบนี้ ผมเชื่อว่ามันสามารถถือได้ตลอดชีวิต โดยที่เราไม่ต้องขายออกอีกเลยครับ
2. การสร้างแบรนด์ใหม่ ให้ติดตลาด มีคนกลับมาซื้อซ้ำ ดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ มันยากมาก
ผมผิดพลาดในข้อนี้ครับ
3. Playbook ซื้อหุ้น P/E แพง อาจจะไม่เหมาะกับการมาใช้ลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งบริษัทคุณภาพสูงจริง ๆ ดันมีอยู่น้อยมาก
เราอาจจะโดนสภาวะตลาดในช่วงนึงหลอกตาครับ ทำให้เชื่อว่า P/E 30 เท่า 50 เท่า สำหรับหุ้นเติบโตแต่คุณภาพไม่ได้ดีอะไร สมเหตุสมผลแล้ว
ซึ่งมันอาจจะเป็นความเชื่อที่ผิดครับ เพราะช่วงนั้น ตลาดหุ้นเรามันยังกระทิง ทำให้หุ้นมันแพงเกินไป ก็เป็นได้
พอมาคิดดู ผมกลับพบว่า เอาจริง ๆ P/E ที่สมเหตุสมผลของหุ้นไทยหลาย ๆ ตัว มันก็ควรอยู่สัก 10 - 15 เท่า ดีหน่อย ก็สักไม่เกิน 20 เท่า
4. เมื่อได้เปิดโลก กลับพบเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป
เมื่อผมได้ศึกษาหุ้นระดับเทพ ที่มีอยู่ทั่วโลก อย่างจริงจัง ผมพบว่า มันมีหุ้นดี ๆ ที่ยังเติบโตระดับ Double Digit ไปอีกยาว ๆ อยู่เยอะมาก โดยที่บริษัทแบบนี้ Multiple ก็ไม่ได้แพง คุณภาพดีจริง มีความสามารถพอจะเป็นผู้ชนะได้เลย
แต่หุ้นไทยที่ผ่านมาหลายตัว คุณภาพก็สู้ไม่ได้ Growth ก็ไม่ได้สูงเท่า แต่ Multiple ดันแพงกว่าเยอะ
พอได้มองจากมุมมองภายนอกดู มันก็ทำให้ผมเชื่อเหมือนอาจารย์นิเวศน์เลยครับ จริง ๆ ตลาดหุ้นเรา โดน Cornered มานานแล้ว ทำให้ไอ้ความแพงที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ มันอยู่มานาน จนคนเชื่อว่ามันคือบรรทัดฐานไปแล้ว
แต่เนี่ยแหละฮะ คือความมหัศจรรย์ของชีวิต เพราะสุดท้ายแล้ว ในระยะยาว สิ่งต่าง ๆ จะลู่ลงไปสู่ ความเป็นจริงที่คู่ควร
เหมือนที่ Nassim Taleb ได้บอกไว้ คนที่ไร้ความสามารถแต่โชคดี สุดท้ายแล้ว ก็จะได้รับสิ่งที่ตัวเองคู่ควร แต่แค่ต้องใช้เวลาที่นานพอ จนผลกระทบจากโชค หมดสิ้นลงครับ
ผมพิมพ์มาซะยาวอีกแล้ว ผมเหนื่อยแล้ว ขอพักก่อนครับ ปิดจบกันห้วน ๆ แบบนี้แหละครับ
3 บันทึก
2
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย