18 พ.ย. เวลา 07:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ผู้เชี่ยวชาญแนะไทย ย้ำข้อเท็จจริง “กัมพูชาผิดปฏิญญาร่วม” หลัง USTR ระงับเจรจาการค้าชั่วคราว

อดีตผู้แทนการค้าไทยเผย USTR ระงับเจรจาการค้าชั่วคราว สะท้อนสหรัฐฯนำประเด็นความมั่นคงผูกกับการค้า แนะไทยย้ำข้อเท็จจริง กัมพูชาเป็นฝ่ายผิดปฏิญญาร่วม
จากกรณีผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ(USTR) ขอระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว และจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Declaration) และหวังว่าจะสามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว
นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ นำประเด็นความมั่นคงมาเชื่อมโยงกับการค้าว่า เป็นเรื่องที่ทุกประเทศต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าว ไม่เป็นคุณต่อระบบการค้าขององค์การการค้าโลก (WTO)
นายเกียรติกล่าวว่า สาเหตุหลักของการที่สหรัฐฯ ใช้ประเด็นเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามาเป็นข้ออ้างในการระงับการเจรจาการค้าก็เพราะ ประธานาธิบดีชื่อ ทรัมป์ พร้อมเชื่อว่า หากเป็นประธานาธิบดีคนอื่นคงไม่ทำเช่นนี้ โดยพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์แสดงออกถึงความต้องการที่จะ เล่นบทฮีโร่ในการยุติสงคราม ในหลายพื้นที่ทั่วโลก
แม้การแถลงของกระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุว่า สหรัฐฯ ได้แจ้งเรื่องนี้มาผ่านผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) แต่ นายเกียรติชี้ว่า USTR ขึ้นตรงกับประธานาธิบดีในแง่ของกฎหมาย และตนไม่เชื่อว่า USTR ดำเนินการเรื่องนี้เองโดย ไม่มีการชี้แนวทางจากประธานาธิบดี นอกจากนี้ หากตรวจสอบเอกสารแล้ว ไม่พบการแจ้งอย่างเป็นทางการแม้กระทั่งในเว็บไซต์ของสหรัฐฯ เอง
กรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชาว่า มีความสับสนระหว่าง สองเหตุการณ์สำคัญ คือเหตุการณ์กับระเบิดใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระเบิดที่วางใหม่เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ซึ่งการกระทำนี้ถือว่าผิดปฏิญญาหลักทุกฉบับที่มีอยู่ และอีกเหตุการณ์คือ เหตุการณ์ปะทะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้วซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12
นายเกียรติระบุว่า การแถลงการณ์ของกระทรวงฯ มีการปนกันอยู่ระหว่างสองเหตุการณ์นี้ และการประกาศของ USTR เอง ได้อ้างถึงหนองหญ้าแก้ว แต่ยังไม่ได้พูดถึงทุ่นระเบิดที่วางใหม่
อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งสองเหตุการณ์ ถือเป็นคุณกับประเทศไทย เพราะไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มและไม่ได้ทำผิด ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้ควรถูกทำให้ปรากฏต่อประชาคมโลกอย่างชัดเจนที่สุด เพื่อให้ทุกประเทศ ร่วมกันประณามการกระทำของกัมพูชา ที่เป็นผู้ละเมิดปฏิญญาร่วม (Joy Declaration) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการนำทุ่นระเบิดใหม่มาวาง ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับโลก ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าใครซื้อมาจากไหน เนื่องจากประเทศไทยคงไม่ซื้อ
นอกจากนี้ นายเกียรติได้กล่าวถึงความเสี่ยงใหญ่ที่ทั่วโลกยังไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร คือคดีความที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลสูงสุด ของสหรัฐฯเพื่อพิจารณาว่า การที่ประธานาธิบดีใช้มาตรการภาษีตอบโต้นั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯหรือไม่
โดยที่รัฐบาลทรัมป์ได้แพ้มาแล้วถึง 2 ศาล และมีความเป็นไปได้สูงมากที่การดำเนินการด้านการค้าของประธานาธิบดีจะถูกตัดสินว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญสหรัฐฯดังนั้นในอนาคตยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจรออยู่
โฆษณา