19 พ.ย. เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะลึกโอกาสทองของไทย ในยุค 'ทาคาอิจิ' นายกฯหญิงญี่ปุ่น กับนโยบาย "Japan is back"

  • นโยบาย "Japan is back" ของนายกฯ ทาคาอิจิ และท่าทีที่ห่างเหินจากจีน สร้างโอกาสให้สินค้าไทยสามารถเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดญี่ปุ่นได้ โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เสื้อผ้า และอาหาร
  • ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างญี่ปุ่น-จีน อาจเป็นโอกาสให้ไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่หลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่นให้กลับมาเที่ยวไทยได้มากขึ้น
  • แม้กำลังซื้อในญี่ปุ่นจะหดตัว แต่ไทยสามารถเจาะตลาดได้ด้วยกลยุทธ์ "ตลาดนำการผลิต" คือการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เช่น การส่งออกกล้วยหอมพันธุ์ที่คัดเลือกแล้ว และการนำผ้าไทยมาทำชุดกิโมโน
นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียวการพาณิชย์) ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ฐานเศรษฐกิจ วิเคราะห์นโยบายนางซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นนักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมที่ให้ความสำคัญด้านความมั่นคง และเคยทำงานใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ ผู้วางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ “อาเบะโนมิกส์” ที่เคยช่วยฟื้นญี่ปุ่นจากภาวะชะงักงันกว่า 20 ปี
นายกทาคาอิจิประกาศภารกิจ “Japan is back” เพื่อพาญี่ปุ่นกลับมายืนเด่นบนเวทีโลกอีกครั้ง ผ่านการฟื้นเศรษฐกิจและเสริมความมั่นคงของชาติ ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญเศรษฐกิจชะลอตัวและค่าเงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยมีนโยบายสำคัญ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง
โดยใช้การเพิ่มการลงทุนของภาครัฐใน 17 อุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมการต่อเรือ, อากาศยาน, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อมุ่งปฎิรูปและพลิกโฉมอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นให้กลับมาเป็นผู้นำของโลกได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นมีการนำเข้าทั้งสองส่วนถึง 62% และ 95% ตามลำดับ สิ่งที่ญี่ปุ่นต้องการเร่งทำคือการเพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาตนเองด้วยการเพิ่มผลผลิตทางอาหาร รวมถึงพลังงานในประเทศ ทั้งในรูปของพลังงานนิวเคลียร์และพลังงานสะอาดเพื่อทดแทนการนำเข้า
ภูมิรัฐศาสตร์: ญี่ปุ่นเอนเอียงสหรัฐฯ–ลดพึ่งพาจีน?
นายฉันทพัทธ์ ชี้ว่า ภายใต้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณให้ชวนคิดว่ามีท่าทีใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากขึ้น สืบเนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ดี ที่มีมาตั้งแต่ยุคอาเบะ–ทรัมป์ และล่าสุด ญี่ปุ่นก็ยังได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญเพื่อร่วมกันลดการพึ่งพาจีน
ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนกลับเริ่มทวีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆจากกรณีที่นายกทาคาอิจิส่งสัญญาณสนับสนุนไต้หวัน ส่งผลให้รัฐบาลจีนถึงกับออกมาประกาศเตือนพลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งใน 9 เดือนแรกของปี 2568 จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าญี่ปุ่น สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 7.49 ล้านคน
ดังนั้น ปัญหาครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นมูลค่าถึง 2.2 ล้านเยน และอาจลุกลามถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากโลกปัจจุบันไม่สามารถแยกประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ออกจากการค้าได้อีกแล้ว
ค่าเงินเยนอ่อนต่อเนื่อง และกำลังซื้อในประเทศหดตัว
ญี่ปุ่นกำลังเผชิญค่าครองชีพสูงขึ้นจากค่าเงินเยนอ่อนเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ค่าแรงไม่สามารถขยับตามได้ทัน ประชาชนจึงหันไปออมเงินมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศหดตัวต่อเนื่อง และแม้รัฐบาลจะออกมาตรการลดภาระประชาชน เช่น ลดภาษีน้ำมัน ขยายการยกเว้นภาษีรายได้ หรือ เงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค เพื่อหวังกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศแล้วก็ตาม แต่ก็คาดว่าอาจจะไม่ได้ผลมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชาวญี่ปุ่น “ไม่มีเงิน” แต่อยู่ที่ “ไม่กล้าใช้เงิน”เสียมากกว่า
สาเหตุหลักของค่าเงินอ่อนมาจากอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นที่ต่ำกว่าของสหรัฐฯมาก เงินทุนไหลออก หนี้สาธารณะสูง ตรึงให้ญี่ปุ่นไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ “ค่าเงินเยนมีแนวโน้มอ่อนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายเพิ่มการลงทุนภาครัฐซึ่งจะนำไปสู่เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะด้วย อีกทั้ง ตัวนายกทาคาอิจิเองก็ได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าอยากให้เงินเยนอ่อนขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นภาคส่งออกของประเทศต่อไป ดังนั้น ปัญหาเรื่องกำลังซื้อในประเทศตกต่ำจึงยังไม่น่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้” นายฉันทพัทธ์กล่าว
วิเคราะห์ผลกระทบต่อสินค้าไทย
แม้ญี่ปุ่นมีนโยบายเพิ่มการผลิตอาหารภายในประเทศ แต่กระบวนการดังกล่าวยังต้องใช้เวลาพอสมควร และหากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นอยู่เช่นนี้ ก็มีแนวโน้มว่า ประเทศญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับประเทศสหรัฐอเมริกา และยินดีทำตามข้อเรียกร้องจากประธานาธิบดีทรัมป์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการแย่งสัดส่วนหลายๆสินค้า โดยเฉพาะตลาดข้าวไทยในประเทศญี่ปุ่นได้
ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ญี่ปุ่นและจีนที่ไม่ราบรื่นขณะนี้ ก็อาจจะเปิดโอกาสให้ไทยสามารถดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาที่ไทยได้ รวมทั้งเป็นโอกาสให้สินค้าไทยเข้าไปแทนที่สินค้าจีนบางประเภทในญี่ปุ่นได้อีกด้วย
โดยเฉพาะในกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงอาหารทะเลและผักผลไม้ โดยปี 2567 ญี่ปุ่นมีการนำเข้าสินค้ารวมทั้งหมดเป็นมูลค่า 112 ล้านล้านเยน โดยในจำนวนนี้ เกือบหนึ่งในสี่เป็นการนำเข้าจากจีน ซึ่งหากญี่ปุ่นมีการตอบโต้ด้วยการลดนำเข้าสินค้าจีน ไทยก็อาจมีช่องทางใหม่ในการขยายตลาดได้
ใช้กลยุทธ์ “ตลาดนำการผลิต” เจาะตลาดญี่ปุ่น
แม้ว่าประชาชนชาวญี่ปุ่นจะมีการรัดเข็มขัดมากขึ้นก็ตาม แต่ถ้าหากสินค้านั้นตรงใจและเป็นที่ต้องการของตลาดแล้ว ก็ยังคงมีโอกาสเจาะตลาดอยู่มาก กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) มีนโยบาย “Demand-Driven Economy” ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยปรับจากการผลิตตามกำลัง (Supply) ไปสู่การผลิตตามความต้องการของตลาด (Demand)
โดยใช้ข้อมูล เชิงลึก (Market Intelligence) มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้การผลิตสินค้าและบริการสามารถตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศได้อย่างแท้จริง
สำนักงานส่งเสริมในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ได้รับแนวนโยบายดังกล่าวมาปรับใช้เป็น กลยุทธ์ในการบุกเจาะตลาดญี่ปุ่น โดยเน้นใช้กับสินค้าจากผู้ผลิตกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการระดับชุมชน อย่างในกรณีของกล้วยหอมทอง (Gros Michel) ของไทยที่ได้นำมาเปิดตลาดแล้ว และได้ต่อยอดเป็นกล้วยหอมพันธุ์ใหม่ ได้แก่ กล้วยหอมเขียว (Cavendish)
ภายใต้การสนับสนุนของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์แล้วนั้น ก็เป็นการลงลึกความต้องการตลาดอย่างแม่นยำ ด้วยการคัดเลือกกล้วยหอมเขียวที่มีอยู่หลายร้อยสายพันธุ์ จนได้สายพันธุ์ของที่ถูกปากผู้บริโภคญี่ปุ่นที่สุด และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อป้อนตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
รวมถึงกรณีของผ้าไทยภายใต้โครงการ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่สำนักงานฯได้นำมาทดลองเปิดตลาดก่อนหน้านี้ และในตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จในการดึงบริษัท OMIYA Co., Ltd ประเทศ ผู้ค้ากิโมโนเก่าแก่รายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นมาร่วมทำคอลเลคชั่น “กิโมโนผ้าไทย” เพื่อวางจำหน่ายทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้
“การปรับสินค้าให้เข้ากับวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นในรูปของกิโมโนนั้น นอกจากจะทำให้ชุมชนสามารถขายผ้าในราคาที่สูงขึ้นแล้ว ยังจะช่วยให้สามารถขายผ้าได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก เพราะกิโมโนหนึ่งชุดจะต้องใช้ผ้ายาวถึง 19 เมตร อีกทั้ง ยังเป็นการซื้อขายระยะยาวที่ช่วยสร้างรายได้ที่ดีต่อชุมชนอย่างยั่นยืนอีกด้วย
โดยในขณะนี้แม้ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีคำสั่งซื้อกิโมโนผ้าไทยแล้ว 516 ออเดอร์ คิดเป็นมูลค่าถึง 11.6 ล้านเยน และเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยกระจายรายได้สู่ผู้ทอผ้าได้อย่างมาก ซึ่งจากทั้งสองกรณีนี้ ถือว่าเราประสบความสำเร็จในการ “กระตุ้นสั้น” ให้“ได้ผลยาว”แล้ว หลังจากนี้คือการผลักดันให้เกิดการ “กระจายตัว” ของคำสั่งซื้อและรายได้สู่ชุมชนอื่นๆตามแนวนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต่อไป” ทูตพาณิชย์กล่าวทิ้งท้าย
โฆษณา