19 พ.ย. เวลา 04:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ

รฟท.ลุยล้างหนี้ 2.8 แสนล้าน เดินรถเพิ่มรายได้-งัดที่ดินพัฒนา

  • รฟท. เดินหน้าแผนฟื้นฟูเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินสะสมกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้น 2 แนวทางหลัก คือ การเพิ่มรายได้จากการเดินรถ และการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์
  • เร่งเพิ่มรายได้จากการเดินรถโดยสารและขนส่งสินค้า โดยตั้งเป้าจัดหาขบวนรถใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมขบวนรถไฟท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้เสริม
  • มอบหมายให้บริษัทลูก (SRTA) บริหารจัดการและพัฒนาที่ดินแปลงศักยภาพสูง เช่น บริเวณสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และที่ดินย่านพหลโยธิน เพื่อสร้างรายได้เชิงพาณิชย์
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เดินหน้าทบทวนแผนฟื้นฟูฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินสะสมกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้จากการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ผ่านบริษัทลูก การเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน และการเร่งจัดหาขบวนรถใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
เป้าหมายหลักคือการเพิ่มรายได้จากการโดยสารและสินค้าให้สูงขึ้น และลดภาระหนี้สินให้ได้ และมีเป้าหมายระยะยาว เพิ่มรายได้จากการโดยสารให้เพิ่มขึ้น 4 เท่า และรายได้จากการขนส่งสินค้าให้เพิ่มขึ้น 5 เท่า เพื่อให้ รฟท. ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบรางที่ดีที่สุดในอาเซียนภายในปี 2570
ขณะเดียวกันยัง มุ่งนำแปลงที่ดินที่มีศักยภาพออกพัฒนา ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่เป็นใจ โดยขอสนุบสนุนการกู้เงิน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
โดย มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุด เห็นชอบให้รฟท.กู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน ขณะแผนแก้หนี้สะสมมานานหลายแสนล้านบาท ล่าสุดไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 18,000 ล้านบาท
สำหรับเหตุผลของการดำเนินการครั้งนี้ กระทรวงคมนาคม รายงานว่า ปัจจุบัน รฟท. มีผลประกอบการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก รฟท. ต้องจัดสรรรายได้ไว้เพื่อจ่ายชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายเงินกู้
ส่วนรายได้ที่เหลือต้องจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางระบบราง เช่น หมอบรองราง ตัวราง สะพาน ระบบอาณัติสัญญาณ และเครื่องกั้น/สัญญาณไฟทั่วประเทศ
อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาคารสถานที่ รถจักรและล้อเลื่อน รถโดยสาร รถสินค้า และรถพ่วงซึ่งมีอายุการใช้งานนาน ทำให้ต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินรถค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าใช้จ่ายบำเหน็จบำนาญ ส่งผลให้ รฟท. มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
เปิดแนวทางแก้หนี้รฟท.
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระบุว่าแนวทางการแก้ปัญหาหนี้รฟท.แบ่งเป็น 2 แนวทาง
โดยแนวทางแรก คือ การหารายได้จากการเดินรถขนส่งสินค้า ปัจจุบันรฟท.มีรายจ่ายด้านการเดินรถ เช่น ค่าซ่อมบำรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางราง โดยมีรายได้จากการเดินรถโดยสารยังต่ำ ประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี
เนื่องจากปัจจุบันติดปัญหาเรื่องการจัดซื้อรถโดยสารที่กระทรวงคมนาคมได้สั่งให้รฟท.ทบทวนเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมเดินรถในรูปแบบ PPPคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าโดยสารได้ เพราะสภาพการใช้งานรถไฟค่อนข้างเก่ามาก
“หากรฟท.สามารถปรับปรุงการให้บริการที่ดีขึ้นได้ อาจจะทำให้รฟท.สามารถปรับค่าโดยสารขึ้นมาได้ เพื่อชดเชยค่าน้ำมันที่แพงขึ้น โดยรฟท.จะใช้อัตราราคาน้ำมันคำนวณต้นทุน ซึ่งพบว่าขาดทุนมาโดยตลอด ปัจจุบันมีรายได้รวมของการขนส่งสินค้าประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยตั้งเป้าเพิ่มอัตราการขนส่งสินค้าอีก 2,400 - 2,500 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 10%” นายอนันต์ กล่าว
นอกจากนี้ยังมีการหารายได้จากการเดินรถไฟท่องเที่ยว ที่ผ่าน มารฟท.มีรายได้จากการรถไฟท่องเที่ยวประมาณ 50 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากการเดินรถไฟขบวนรถไฟญี่ปุ่น KIHA183
และขบวนรถไฟ Royal Blossom รวมทั้งรถไฟขบวนพิเศษสีน้ำเงิน ไปยังแหล่งเส้นทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทั้งนี้รฟท.จะต้องบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและขบวนรถไฟให้ดีขึ้น โดยตั้งเป้ารายได้ภายในปี 2568 อยู่ที่ 100 ล้านบาท
ปั้นที่ดินเชิงพาณิชย์ 3.8 หมื่นไร่
ส่วนแนวทางที่สอง คือ แผนพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ของรฟท. บนพื้นที่ 3.8 หมื่นไร่ มูลค่าหลายแสนล้านบาท ที่โอนให้บริษัทลูกอย่าง บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ฐานะบริษัทลูก ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อนำที่ดินแปลงศักยภาพเปิดประมูลสร้างรายได้
โดยมีสถานีกลางบางซื่อ(สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์) ศูนย์กลางเดินทางระบบรางใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นจุดขาย ตั้งเป้าหมายดึงนักลงทุนพัฒนาเชิงพาณิชย์มิกซ์ยูส
ที่ผ่านมารฟท.เคยเปิดประมูลพื้นที่โดยรอบมาแล้วสองครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ต้องปรับแผนครั้งใหญ่ โดยอาศัยบริษัทลูกนำที่ดินทั้งหมดออกพัฒนาต่อไป
ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทลูกของการรถไฟฯ นำไปบริหารจัดการสัญญาเช่า โดยที่ทรัพย์สินทั้งหมดยังเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ รวมทั้งจัดสรรพื้นที่และเจรจากับบุคคลที่สาม หรือร่วมทุนกับเอกชน เพื่อรับโอนพื้นที่ไปดำเนินการ
โดยได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทลูก ภายใต้ชื่อ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟฯ อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้การส่งมอบสัญญาดังกล่าวยังครอบคลุมถึงการการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเช่าพื้นที่จากการรถไฟฯ หรือซื้อที่ดินจากองค์กรอื่นมาพัฒนาและบริหารจัดการ โดยบริษัทเอสอาร์ทีต้องแบ่งผลตอบแทนให้กับรฟท. ในฐานะผู้บริหารสัญญา ร้อยละ 5 ของรายได้จากค่าบริหารสัญญา
ต่อสัญญาเซ็นทรัลยาว20ปี
รวมทั้งยังต่อต่อสัญญาเช่าของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ในฐานะผู้เช่า บนที่ดินบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน” หรือที่ดินบริเวณเซ็นทรัลลาดพร้าว ของ รฟท. ที่จะครบสัญญาเช่าในเดือนธันวาคม 2571
ทั้งนี้ในปัจจุบันทางเอกชนได้ยื่นเรื่องขอต่อสัญญามายังบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) บริษัทลูกของรฟท. แล้ว โดยส่งเรื่องมาให้รฟท.พิจารณาแล้ว โดยการต่อสัญญาใหม่ ไม่ต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งผลประโยชน์ตอบแทนของรฟท.ต้องไม่น้อยกว่าสัญญาเดิม
ชงบอร์ดรฟท.เคาะสัญญาเช่า 10 แปลง
ขณะเดียวกันทางบริษัทเอสอาร์ทีได้เสนอแผนต่อรฟท.ในการต่อสัญญาที่ดินแปลงอื่นอีกประมาณ 10 แปลง เช่น โครงการถนนพหลโยธิน (หัวมุม อตก.) ,โครงการย่านชุมทางหาดใหญ่ ฯลฯ โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. พิจารณาภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้
ส่วนแปลงพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปัจจุบันได้แบ่งแผนงานออกเป็น 2 ส่วน คือ แปลง E (กระทรวงคมนาคม) ที่เตรียมดำเนินการเกี่ยวกับพื้นที่ตามสัญญาเช่ากับกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่
และส่วนที่สอง คือ โซนพื้นที่ด้านข้างแปลง E เบื้องต้นบอร์ดรฟท.มอบหมายให้บริษัทเอสอาร์ทีฯไปดำเนินการศึกษาพื้นที่โซนดังกล่าวด้วย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความกว้างสามารถพัฒนาพื้นที่ต่อได้
ด้านแปลง G ซึ่งเป็นแปลงที่ก่อสร้างโครงการบ้านพักคนไทยและเป็นพื้นที่ที่ติดบ้านพักพนักงานอยู่แล้ว ปัจจุบันตามแผนบริษัทเอสอาร์ทีฯ ได้งบกลางเพื่อดำเนินการออกแบบและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)คาดว่าใกล้เสร็จภายใน 2 เดือน
ทั้งนี้บริษัทเอสอาร์ทีฯต้องประเมินมูลค่าการลงทุนว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่ หากคุ้มค่าสามารถเดินหน้าต่อได้
นอกจากนี้ยังมีที่ดินรถไฟย่านรัชดาฯ 186 ไร่ 124 แปลง 124 สัญญา ที่ปล่อยเช่าสร้างตึกสูงใหญ่ โรงแรม-สถานบริการอาบอบนวด ราคาที่ดินสูงสุดอยู่ที่ 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา และมีหลายแปลงที่จะหมดสัญญา
ขณะเดียวกัน หลายสัญญาขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์เปลี่ยนรูปแบบเป็นโรงแรม3ดาวอย่างโพไซดอน ที่ประเมินว่าต้องปรับสัญญาเช่าใหม่ทั้งหมดเพื่อสร้างรายได้
ส่วนที่ดินแปลงศักยภาพรองสถานีธนบุรี 148ไร่ โดย บ้านพักพนักงานรถไฟ สถานีธนบุรี 305 ครัวเรือน เนื้อที่ 21 ไร่ โดยรฟท. มีแผนแปลงโฉมเป็นมิกซ์ยูส ขนาดใหญ่ ให้เอกชนเช่าระยะยาว 30 ปี เพราะนอกจากใกล้โรงพยาบาลศิริราช แม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว บริเวณดังกล่าว ยังเป็นทำเลทองศักยภาพสถานีจุดตัดรถไฟฟ้า 2 สาย ระหว่างสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม)
และสายสีแดง (ตลิ่งชัน -ศิริราช-ศาลายา) ใกล้สถานีอิสรภาพ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินยังไม่รวมที่ดินบริเวณตลาดน้อยย่านฝั่งธนบุรีติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีรูปแบบให้เอกชนเช่าพัฒนาโรงแรม3ดาว ฯลฯ
หนุนเอสอาร์ทีฯหารายได้ต่อ
ส่วนประเด็นที่รฟท.มีสินทรัพย์จำนวนมาก แต่ยังบริหารจัดการได้ไม่ครบถ้วน โดยกระทรวงการคลังจะรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อเตรียมจัดหาบริษัทเอกชนเข้ามาประมูลสินทรัพย์ของรฟท. ที่มีศักยภาพ เพื่อหารายได้ให้กับรฟท.นั้น
เรื่องนี้ยังไม่ได้รับรายงาน เนื่องจากการหารายได้จากทรัพย์สินของรฟท.ยึดตามมติครม.เดิมที่มีการอนุมัติให้บริษัทเอสอาร์ทีฯ ไปดำเนินการก่อนเป็นอันดับแรก
อย่างไรก็ดีรฟท.ได้มอบหมายให้บริษัทเอสอาร์ทีฯ ไปหารือกับผู้แทนกระทรวงการคลังในเรื่องนี้ คาดว่าคณะกรรมการบริษัทเอสอาร์ทีฯ ชุดใหม่จะเริ่มทำงานได้ภายในปลายเดือนพฤศจิกายน 2568
ดันศึกษาที่ดินเพิ่ม 28 แปลง
ที่ผ่านมารฟท.ได้มอบให้ SRTA ศึกษาความเหมาะสมการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ จำนวน 28 แปลง เช่น โครงการบางซื่อ-คลองตัน (RCA) ,โครงการศิลาอาสน์แปลงย่อย โครงการตลาดคลองสาน, โครงการสถานีราชปรารภ(แปลง OA),โครงการย่านบางซื่อ (แปลง A2) สถานีขนส่ง, โครงการย่านสถานีหนองคาย (แปลง 5) เป็นต้น
โฆษณา