Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
nothing but movie
•
ติดตาม
20 พ.ย. เวลา 04:09 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Last Samurai Standing (2025)
คมดาบเฉียบ เราทุกคนเป็นซามูไรในยุค AI
ซีรีส์ที่เยี่ยมที่สุดในปีนี้
หนังซามูไรในยุคเก่ามักจะตัดสินแพ้ชนะกันด้วยดาบเดียว เสียงฝีเท้าขยับบนพื้นกรวด ลมหายใจที่สะกดกลั้นกระชั้น เสียงดาบที่ชักออกจากฝัก ใครมีดาบที่ไวกว่า จิตใจมั่นคงกว่า มันเป็นการต่อสู้ทางจิตใจมากกว่าร่างกาย เรียกได้ว่าฟันฉับเดียวก็รู้ผล เลือดพุ่งทะลักราวกับสายน้ำหรือน้ำตกแดงฉาน มันเป็นภาพความงามของความตายที่แตกต่างจากความตื่นเต้นในหนังซามูไรยุคปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงที่ไม่มีดาบเดียวรู้ผล แต่เพิ่มกระบวนท่า การต่อสู้ทางร่างกายมากกว่าจิตใจเข้ามา
ฉากต่อสู้เปลี่ยนจากการวัดสมาธิเป็นการระเบิดพลังร่างกาย การเคลื่อนไหวเร็วกว่าเดิมมาก ตัวละครกระโดด หมุนตัว วิ่งผาดโผน ฉากดวลดาบยาวขึ้น ซับซ้อนขึ้น และมีความเป็นจังหวะของการออกแบบมากขึ้น เหมือนการเต้นรำแห่งความตายที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน มันเป็นความงามคนละแบบ มันคือยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป การต่อสู้ก็เปลี่ยนไป วิถีซามูไรในหนังยุคอดีตกับซามูไรในยุค 2000 ก็ต่างกัน
วัฒนธรรมมังงะมีส่วนทำให้การต่อสู้ในหนังเปลี่ยนแปลงไปด้วย หนังซามูไรหลายเรื่องดัดแปลงจากมังงะ ซึ่งในมังงะจะมีการขยายการต่อสู้ออกไปจนส่งอิทธิพลมาสู่หนังคนแสดง เพราะมังงะไม่ได้มองการต่อสู้เป็นดาบเดียวรู้ผลแบบหนังยุคเก่า แต่ทำให้การฟันดาบกลายเป็นกระบวนการ การแสดงอารมณ์ การอ่านใจ การลังเล การตัดสินใจ ทั้งหมดถูกขยายออกด้วยเส้นสปีดของหมึก และจังหวะภาพ ตลอดจนคำบรรยายความในใจของตัวละครที่ทำให้คนอ่านเห็นภาพชัดเจน ทั้งฉากแอ็กชั่น และสิ่งที่คิดอยู่ภายใน จนกลายเป็นภาษาใหม่ที่หนังยุคหลังหยิบมาใช้
เมื่อหนังซามูไรหลังปี 2000 รับภาษานี้เข้ามา การต่อสู้จึงยืดยาวขึ้น เต็มไปด้วยรายละเอียดของความรู้สึก ไม่ใช่เพียงความเร็วหรือความคมของดาบ แต่เป็นการเผยให้เห็นโลกภายในของตัวละคร เหมือนเราได้เห็นจิตใจฟาดฟันกันพอๆ กับร่างกาย สิ่งนี้สะท้อนยุคสมัยของเราอย่างชัดเจน ถ้ามองในเชิงวิวัฒนาการของภาษาภาพยนตร์แนวซามูไรจะเห็นชัดว่าภาพยนตร์ซามูไรพเนจร (Rurouni Kenshin) ได้สร้างมาตรฐานใหม่ที่ทรงพลังจน Last Samurai Standing และหนังซามูไรรุ่นหลังจำนวนมาก “หลีกหนีไม่พ้นเงา” ของมัน ทั้งโดยตั้งใจและโดยไม่ตั้งใจ
เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะ Kenshin เป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ทำดีทุกด้าน แต่เพราะมันได้นิยามใหม่ของการต่อสู้แบบซามูไรสำหรับศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง โดยสร้างภาษาการต่อสู้ที่ “เร็ว ไม่หยุดหายใจ และทำร้ายขีดจำกัดศักยภาพทางกายของการต่อสู้ ซามูไรพเนจรเปลี่ยนการเคลื่อนไหวรวดเร็วเหมือนลม มีจังหวะไหลต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง ใช้โลเคชันร่วมในการต่อสู้ ( บ้านไม้, บันได, ไฟไหม้) สไตล์นี้ทำให้ผู้สร้างยุคหลังแทบจะต้องอ้างอิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันกลายเป็นมาตรฐานยอดนิยมไปแล้ว
Last Samurai Standing จึงได้รับอิทธิพลทางภาพโดยตรงในหลายอย่าง เช่น การเคลื่อนตัวเร็วแบบ dash หรือคือการพุ่งตัวระยะสั้นด้วยความเร็วสูงในเสี้ยววินาที เพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง หลบการโจมตี หรือเข้าถึงเป้าหมายก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งตัวทัน เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้คู่ต่อสู้จับจังหวะไม่ทัน มีการปะทะแบบหมุนตัวฟันครั้งเดียวแต่มีน้ำหนัก การใช้ระยะประชิดกับมุมกล้องติดตัว และสร้างความรู้สึกคนปะทะคน ไม่ใช่สลิงหรือซีจี
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Rurouni Kenshin ได้ยกระดับความสมจริงที่ดุเดือดในการต่อสู้ และเป็นหลักไมล์ของหนังซามูไรยุคปัจจุบัน
..........
Last Samurai Standing ซีซันแรกมี 6 ตอน เล่าเรื่องผ่านมุมมองของ ชูจิโร่ ซากะ (รับบทโดย จุนอิชิ โอคาดะ ที่ถ่ายทอดความหม่นลึกได้ยอดเยี่ยม) อดีตซามูไรมือสังหารผู้ได้รับฉายา “เพชฌฆาตเงา” ซีรีส์เปิดฉากด้วยเหตุการณ์สงครามโบชิน ในยุทธการที่กองกำลังฝ่ายจักรพรรดิที่มีปืนใหญ่เอาชนะแบบเบ็ดเสร็จ ทำให้ซามูไรอย่างชูจิโร่หมดสิ้นบทบาททันที แม้ว่าซูจิโร่จะอยู่ฝั่งผู้ชนะก็ตาม
เกือบสิบปีต่อมา ในปี 1878 ชูจิโร่ผู้รอดชีวิตกลับต้องทรมานจากหมู่บ้านของเขากำลังเผชิญโรคระบาดอหิวาตกโรค ลูกสาวตัวน้อยจากไปก่อนด้วยโรคร้าย ส่วนภรรยาและลูกชายก็อาการทรุดลงเรื่อย ๆ ขณะความหวังใกล้ดับลง เขากลับได้ข่าวปริศนาชวนให้ไปวัดเท็นริวจิในเกียวโต เพื่อเข้าร่วมการประลองที่มีรางวัลสูงถึงหนึ่งแสนเยน
ที่นั่น เขาพบว่าเป็นหนึ่งในนักรบ 292 คน ตั้งแต่ซามูไร นักธนู อดีตทหารผ่านศึก คนตกงาน ไปจนถึงผู้ที่ล้มเหลวในการปรับตัวสู่โลกยุคเมจิ โดยมีชายลึกลับชื่อ เอนจุ เปิดเผยว่าพวกเขาถูกดึงเข้าสู่เกมที่ชื่อว่าโคโดคุ(Kodoku) กติกาคือ ผู้แข่งขันจะได้ป้ายไม้ประจำตัวและต้องเดินทางตามเส้นทางโทไคโดจากเกียวโตสู่โตเกียว และต้องสังหารฝ่ายตรงข้ามเพื่อแย่งป้ายไม้ของอีกฝ่าย เพื่อผ่านจุดพักที่ต้องมีจำนวนตามกำหนด และมีเพียง 9 คนเท่านั้นที่จะไปถึงปลายทาง พร้อมจำนวนป้าย 30 อันต่อคน
เกมเริ่มต้นขึ้นเพียงเสี้ยววินาที คมดาบตวัดวับ เลือดสาด และชิ้นส่วนร่างกายปลิวว่อน ชูจิโร่เปิดโหมดพ่อผู้ปกป้องคล้ายองงามิ อิโตจากซามูไรพ่อลูกอ่อนยื่นมือช่วย ฟุตาบะ คัตสึกิ เด็กสาววัย 16 ปี ผู้ร่วมแข่งขันเพื่อช่วยแม่ของเธอ ทำให้เธอกลายมาเป็นสหายคู่เดินทาง ระหว่างเส้นทาง ทั้งคู่ได้พบและร่วมมือน้องสาวของชูจิโร่ผู้เป็นนักดาบฝีมือร้ายกาจ และ เคียวจิน สึกะนักวางกลยุทธ์ที่ฉลาดเป็นกรด ทั้งหมดร่วมกันหาทางเอาชีวิตรอด ขณะที่นักรบอันตรายอย่างบุทโคสึ ฉายาเพชฌฆาตเถื่อน ทยอยปรากฏตัวขึ้น
Last Samurai Standing คือหนึ่งในงานแอ็กชันรุ่นใหม่ที่งดงามที่สุดที่ผมเคยเห็นทั้งในวงการซีรีส์และภาพยนตร์ในช่วง 2-3 ปีนี้ ทีมผู้กำกับ มิชิฮิโตะ ฟุจิอิ และ เคนโตะ ยามากุจิ (ทั้งคู่ร่วมเขียนบทด้วย) รวมถึง โทรุ ยามาโมโตะ ได้ขยายขอบเขตเส้นทางโทไคโดให้กลายเป็นฉากหลังสุดดิบเถื่อน แต่สื่อความหมายยิ่ง
สิ่งที่ผมติดใจมากที่สุดใน Last Samurai Standing คือ สารที่ตัวหนังส่งต่อสังคม แม้ฉากหลังจะอยู่ในยุคเมจิ แต่มันกลับส่งตรงถึงคนในยุค 2025 ยุค AI น้เลยทีเดียว
ในโลกของ Last Samurai Standing เราเห็นซามูไรผู้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่กำลังหันหลังให้เขา ซามูไรกลายเป็นไม่มีใครต้องการ พูดง่ายๆว่า ตกงานทั้งแผง อุดมการณ์ที่เคยเป็นแกนกลางของชีวิตกลับถูกโลกใหม่มองอย่างไร้ค่า สิ่งนี้สะท้อนกับปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้ง ยุคที่เทคโนโลยีและ AI เดินหน้าเร็วเกินกว่าที่มนุษย์จะตั้งหลัก โลกที่ค่าของแรงงาน ความเชี่ยวชาญ หรือแม้แต่ศักดิ์ศรีในวิชาชีพเริ่มถูกตั้งคำถาม และแทนที่จากเครื่องจักรที่ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยหลับ และเรียนรู้เร็วกว่าเราเสมอ
ผมว่าคนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันไม่ต่างจากซามูไรที่กลายมาเป็นโรนิน ซามูไรฝึกดาบมาตั้งแต่เก เราก็เรียนกันมาตั้งงแต่อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เรียนรู้กันมาเป้น 10 ปี แต่ AI รู้ทั้งหมดและมากกว่าเราในเสี้ยววินาทีเอง
หลายคนเปรียบเทียบซีรีสืเรื่องนี้กับ Squid Game แต่ผมอยากจะบอกว่า มันคนละเรื่องกันเลย Last Samurai Standing มันทำให้ซีรีส์เกมปลาหมึกกลายเป็นเหมือนเด็กไปเลย ตัวละครใน Last Samurai Standing ที่โผล่เข้ามาอย่างเฉียบคมแล้วดับวูบจายไปอย่างรวดเร็ว หรือบางคนมีมิติทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง แต่บางคนกลับถูกวาดให้ดูเป็นการ์ตูนหรือคล้ายตัวละครจากเกม
ความแตกต่างสุดขั้วนี้ไม่ใช่ความไม่ตั้งใจของผู้เขียน หากเป็นการสร้างภาวะโลกที่กำลังหลุดวิถี เพื่อสะท้อนความปะทะกันของยุคสมัยใหม่ที่ความเป็นจริง ความแฟนตาซี และตัวละครที่สร้างขึ้นปนกันจนแยกไม่ออก เหมือนกับสังคมยุคปัจจุบันที่คนหนึ่งอาจดูจริงจัง ลึกซึ้ง และอีกคนหนึ่งดูเหนือจริง เหมือนตัวละครดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขัน ทั้งที่ท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน การถูกประเมินคุณค่าจากโลกที่ไม่สนว่าคุณมีความลึก หรือมีคุณค่าเพียงใด มีเพียงเกณฑ์ที่ต้องผ่านเท่านั้น
ซูจิโร่เป็นลูกศิษย์สำนักดาบลึกลับที่เติบโตมาด้วยกันกับศิษย์น้องรวม 8 คน แต่กลับต้องฆากันเองเพื่อแย่งตำแหน่งเจ้าสำนัก สิ่งนี้สะท้อนโครงสร้างของโลกยุคปัจจุบันอย่างน่าขนลุก มันคือภาพของสังคมที่ถูกออกแบบให้การแข่งขันคือแก่นของการมีชีวิต โดยไม่ใช่การแข่งขันกับศัตรูจากภายนอก แต่คือการแข่งขันกับคนที่เหมือนเราแทบทุกอย่าง คนที่เดินเส้นทางเดียวกัน เรียนเหมือนกัน ทำงานเหมือนกัน มีความฝันคล้ายกัน แต่สุดท้ายทุกคนถูกโยนเข้ากรงเดียวแล้วถูกบังคับให้พิสูจน์ว่าใครคู่ควรที่สุด
นี่คือสภาวะ “เกมการคัดเลือก” ของยุคใหม่ ยุคที่คนทำงานต้องแข่งกับเพื่อนร่วมงาน นักเรียนต้องแข่งกับเพื่อนในห้อง ครีเอเตอร์ต้องแข่งกันเองและน่าขันด้วยว่าแข่งกันเพื่อให้อัลกอริธึ่มตัดสิน วันนี้ คนเก่งถูกตัดสินด้วยการคำนวณของโปรแกรมที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมองหาอะไร จำนวนไลค์ การเข้าถึง การจัดอันดับ หรือคะแนนที่ระบบให้แบบปิดตาย วันนี้เราถูกตัดสินกันด้วยโปรแกรมแทนการประเมินค่าจากคนจริงๆ
Last Samurai Standing จึงเฉียบคมมาก เฉียด้วยความอำมหิตที่ไม่ได้อยู่ที่ใครเก่งกว่าใคร แต่อยู่ที่การบีบให้คนที่เคย “พึ่งพาและเติบโตมาด้วยกัน” ต้องกลายเป็นคู่แข่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในหัวใจจริงๆ แล้ววกเขายังอยากพึ่งพาและปกป้องกันเหมือนเมื่อก่อน
..............
สุดท้ายแล้วตัวหนังแข็งแรงและเฉียบด้วยตัวละครซูจิโรและฟุตาบะ
ทั้งคู่เป็นเหมือนโลกคู่ขนานที่เป็นสองด้านของมนุษย์ที่ต่างกัน แต่กลับต้องเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฟุตาบะคือแสงสว่างของความหวังและความเมตตา ผู้ยังเชื่อว่ามนุษย์ควรค่าต่อการมอบโอกาสครั้งใหม่ ส่วนซูจิโรคือเงามืดของความเหนื่อยล้าและบาดแผล เขาแข็งกระด้างแต่ไม่ใช่เพราะใจร้าย แต่เพราะโลกบีบให้ต้องเป็นเช่นนั้น เมื่อทั้งสองพบกัน การเดินทางของพวกเขากลายเป็นภาพสะท้อนลึกที่สุดของความเป็นมนุษย์ ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และเปราะบางในเวลาเดียวกัน
ซูจิโรเป็นเหมือนดาบที่ผ่านการสู้รบจนทื่อ ความแข็งของเขาไม่ได้งอกมาจากความโหดร้าย แต่เกิดจากการถูกบังคับให้รอดชีวิตในโลกที่ไม่เคยอ่อนโยนกับใคร ขณะที่ฟุตาบะคือดาบที่ยังไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้เต็มกำลัง เธอยังมีพื้นที่เหลือให้ความเห็นใจ ยังมีความดื้อรั้นชนิดที่เชื่อในคุณค่าของผู้อื่น แม้คนๆ นั้นจะเต็มไปด้วยรอยแผลอย่างซูจิโรก็ตาม
เมื่อต้องร่วมเดินทาง ทั้งคู่ต้องเรียนรู้จากกันอย่างเงียบงัน เหมือนชีวิตจริงที่เรามักถูกสอนบทเรียนจากคนที่ไม่เคยคิดว่าจะมีบทบาทสำคัญในชีวิตเราเลย แต่กลับเป็นคนที่ทำให้เราเติบโตมากที่สุด
ความแข็งแกร่งของซูจิโรทำให้ตัวเขารอด แต่ทำให้ใจตายไปเรื่อยๆ ส่วนความอ่อนโยนของฟุตาบะคือสิ่งที่ทำให้เธอเป็นมนุษย์สมบูรณ์ แต่ก็เป็นจุดอ่อนที่จะทำให้เธอถูกทำร้ายในโลกที่ดิบ เถื่อน ฟุตาบะคือศีลธรรมดั้งเดิมที่ยังไม่หายไปจากใจมนุษย์ หวังว่าสิ่งดีๆ ยังมีอยู่
ทว่าพอทั้งสองรวมกัน ความแข็งและความอ่อนกลับสร้างพลังรูปแบบใหม่ พลังที่ไม่ใช่เพียงการเอาตัวรอด แต่คือการก้าวต่อไปโดยยังรักษาความหมายของชีวิตไว้ได้ ความเข้มแข็งที่แท้จริงไม่เคยถือกำเนิดจากความโหดหรือความอ่อนเพียงด้านเดียว หากเป็นการประสานทั้งสองเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสมดุล
เมื่อทั้งคู่เดินร่วมทางมันคือการยอมรับว่าความดีและความมืดต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ฟุตาบะไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เป็นคนที่เข้มแข็งพอจะรักษาความเชื่อในมนุษย์ไว้ ขณะที่ซูจิโรไม่ใช่คนชั่วร้าย เขาเพียงถูกโลกตีกรอบให้ต้องเป็นดาบสังหารเพื่อจะได้มีลมหายใจต่อไป ทางรอดจึงอยู่ที่การประคองทั้งสองด้านเอาไว้ให้ได้
ในโลกยุค AI ที่ทุกคนต้องวิ่งอยู่ในการแข่งขันแบบไม่มีเส้นชัย นี่คือโจทย์ใหญ่ของมนุษย์ยุคนี้ เราต้องแข่งขันเพื่ออยู่รอด แต่ก็ต้องพยายามรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ให้สูญหายไปเช่นกัน
9/10
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย