27 พ.ย. เวลา 08:05 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Crimson Charm(1971)นางด้วนตะลุยแหลก

ในโลกยุทธภพมักเปิดเรื่องด้วยความผิดพลาดที่ไม่อาจรั้งคืน หรือบางทีมันอาจจะมีเบื้องลึกยิ่งกว่านั้น
จอมยุทธเจียงฉู่เล้า เจ้าสำนักกระบี่จงโจวเร่งรีบเดินทางกลับสำนักพร้อมเจียงชางชิงบุตรี เพื่อไปให้ทันงานฉลองครบรบอายุ 60 ปีของตนเอง ระหว่างทางเขาได้พลั้งมือสังหารบุตรชายของรองหัวหน้าพรรคยันต์โลหิต จากการทนเห็นพวกมันรังแกคนไร้ทางสู้ไม่ได้ แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้เป็นชนวนแห่งโศกนาฏกรรมที่ตามมา พรรคยันต์โลหิตคืออธรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหด และนี่คือจุดเริ่มต้นของโศกกรรมทั้งหมด
ในยุทธจักรแล้วคำพูดเลือดต้องล้างด้วยเลือด ไม่ใช่คำพูดเล่นๆ ประกาสิตสังหารล้างสำนักถูกส่งไปให้เจียงฉู่เล้าทันที ทว่าในวันที่เจียงฉู่เล้ากลับถึงสำนัก เขากลับตัดสินใจขับไล่ศิษย์คนโตหันเจี๋ยออกไปจากสำนักทันที ด้วยเหตุผลที่ไม่ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจน ทำให้การขับไล่นี้กลายเป็นฟ้าลิขิตให้เขาต้องรอดชีวิต เพื่อกลับมาฝ่ากองเลือดล้างแค้นในภายหลัง
ไม่นานนัก พรรคยันต์โลหิต นำโดยรองหัวหน้าพรรคเสื้อเหลืองผู้โหดเหี้ยมก็ยกกำลังบุกสำนักเพื่อล้างแค้น แบบกวาดล้างสำนักไม่เหลือความปรานี ศิษย์ของเจียงฉู่เล้าถูกฆ่าตายเกือบหมดสิ้น มีเพียงอี้ฟางฟางเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิตในสภาพที่เธอต้องสูญเสียแขนข้างหนึ่ง ส่วนเจียงชางชิงได้รับการช่วงเหลือจากคุณชายโลหิตลิ่งหูเหลยในสภาพบาดเจ็บสาหัส จนทั้งคู่ต้องอาศัยถ้ำป่าเขาเพื่อรักษาตัว
อี้ฟางฟางผู้กลายเป็นนางด้วนได้รับการช่วยเหลือจากแม่ชีผู้เป็นอาจารย์ของเจียงฉู่เล้าช่วยเหลือและถ่ายทอดวรยุทธให้ใหม่ ส่วนหันเจี๋ยผู้ถูกผลักออกจากสำนักถูกไล่ล่าเจียนตายแต่ก็ได้เทพกระบี่เข้าช่วยและกลายเป็นอาจารย์เพื่อกลับมาล้างแค้นภายหลัง
ทั้งคู่อยู่บนเส้นทางสายอาฆาต พรรคยันต์โลหิตต้องถูกทำลายเพื่อเพื่อชำระหนี้เลือดให้แก่ อาจารย์ที่ถูกฆ่า ศิษย์พี่น้องที่ล้มตาย และชีวิตที่พวกเขาเองสูญเสียไป ขณะเดียวกันคุณชายโลหิตผู้รักมั่นกับเจียงชางชิงก็แบกความแค้นคนรักสิ้นใจด้วยพรรคยันต์โลหิต กลายเป็นสายที่ 3 แห่งความแค้น
ในจักรวาลหนังกำลังภายในยุคทองของชอว์บราเดอร์สที่เต็มไปด้วยดาราชั้นนำและผู้กำกับยอดฝีมือมากมาย The Crimson Charm หรือนางด้วนตะลุยแหลกดูเหมือนจะเป็นผลงานรองแถวเมื่อเทียบกับหนังของผู้กำกับใหญ่ร่วมยุค แต่เมื่อลองเปิดใจให้หนังเรื่องนี้ สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นความบันเทิงเข้มข้นที่ค่อย ๆ เผยตัวตน มันอาจจะไม่ใช่หนังระดับแถวหน้า แต่คืองานที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือของผู้กำกับหวงเฟิงอย่างแท้จริง
เพราะแม้หนังเรื่องนี้จะอุดมไปด้วยสูตรสำเร็จ นั่นคือโครงเรื่องล้างแค้นคลาสสิกที่ยืนอยู่บน 3 องค์ประกอบหลักของหนังจีนกำลังภายในยุคทอง
1.ความผิดพลาดที่นำสู่หายนะ – การสังหารลูกชายรองหัวหน้า
2.การล้างบางแบบไร้เมตตา – ทำลายสำนักจนราบคาบ
3.ผู้รอดที่กลับมาในฐานะยอดฝีมือล้างแค้น – หันเจี๋ยและอี้ฟางฟาง
ยิ่งกว่านั้นยังมีพล็อตรองที่เพิ่มความซับซ้อนเข้าไปคือความรักระหว่างคุณชายโลหิตและเจียงชางชิง ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ดราม่ามากๆ ทั้งหมดนี้กลับหลอมรวมกันจนกลายเป็นเรื่องราวที่ทั้งขมขื่นและเร้าอารมณ์ และนี่แหละ คือเสน่ห์สำคัญของหนังเรื่องนี้ ความเรียบง่ายที่ไม่อ้อมค้อมแต่สะเทือนอารมณ์
ผู้กำกับหวงเฟิงนั้นหลังจากโลดแล่นในวงการหนังฮ่องกงในฐานะคนเขียนบทตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 เขาก็เปิดตัวผลงานกำกับเรื่องแรกภายใต้สังกัดชอว์บราเดอร์สด้วยหนังเรื่องนี้ เสียดายที่ชอว์ บราเดอร์สอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากนัก เพราะกว่าจะเอาหนังเรื่องนี้ออกฉายได้ เขาก็ย้ายออกจากชอว์บราเดอร์สไปอยูกับเรย์มอนด์ เชาที่โกลเด้น ฮาร์เวสต์แล้ว มิหนำซ้ำหนังเรื่องที่ 2 ที่กำกับก็ลงโรงฉายก่อนหนังเรื่องแรกถึงเกือนสองเดือน
หวงเฟิงสร้างชื่อร่วมกับนางเอกสาวนักบู๊ แองเจลา เหมา (Angela Mao Ying) ในงานดังหลายเรื่อง เช่น The Angry River (1971), Lady Whirlwind, Hapkido (1972), When Taekwondo Strikes (1973) และ The Tournament (1974) จนได้รับเครดิตว่าเป็นผู้ค้นพบตัวจริงของราชีนีนักเตะคนนี้ โดยหวง เฟิง วางมือจากวงการในปี 1980
สำหรับผมแล้ว นี่คือหนังกำลังภายในแบบยุคเก่าที่ดูสนุกมากๆ แม้พล็อตจะบาง แต่หนังของหวงเฟิงกลับดูสนุกและเดินเรื่องกระชับกว่าที่คิด มีทั้งฉากกลางแจ้งและฉากในโรงถ่ายผสมกันได้ดี
และเห็นว่าเขามีทักษะเล่าเรื่องต่อสู้ที่สนุก โดยการเน้นระยะ medium ถึง close-up เพื่อกดดันอารมณ์และสร้างความตึงเครียดให้ตัวละคร ซึ่งช่วยเพิ่มมิติของฉากดราม่าได้ดีทีเดียวโดยเฉพาะคุณชายโลหิต และที่ทำให้หนังดูสนุกขึ้นไปอีกคืออาวุธแปลกๆ ตัวละครประหลาด ซึ่งมันเป้นเสน่ห์จริงของหนังกำลังภายในอยู่แล้ว เช่น หัวกะโหลกมนุษย์คล้องโซ่กะโหลกเล็กที่เป้นอาวุธยาว กระบี่ที่สามารถยืดหดความยาวได้ ได้ แผ่นยันต์ที่ยิงลูกดอกพิษและปล่อยแก๊สออกมา
หนังยังเต็มไปด้วยตัวละครสีสันจัดจ้าน มีฉายาแบบนักบู๊แท้ๆ ที่คิดว่าได้ยินฉายาของจอมยุทธพวกนี้ก็สนุกแล้ว ทั้ง คุณชายโลหิต เทพกระบี่ ยมฑ๔ตหน้าขาว ซึ่งทำให้โลกของหนังมีความเป็นกำลังภายในยุค ชอว์อย่างชัดเจน จุดที่น่าเสียดายคือ ฉากต่อสู้ของผู้กำกับคิวบู๊หานกัวยังถือว่ากลาง ๆ เมื่อเทียบกับมาตรฐานชอว์ยุคทอง แม้จะมีจำนวนศพก่ายกองและการถ่ายภาพสวย แต่จังหวะต่อสู้ไม่โดดเด่นนัก
สำหรับนักแสดงแล้วหลิงปอคือแรงดึงดูดหลักของภาพยนตร์ ขณะที่จางอี้ทำได้ดีในบทนักดาบและมีฉากฝึกวิชาที่น่าสนใจ ส่วนซือซือสดใส น่ารักก่อนที่จะกลายเป็นดาวรุ่งเต็มตัวจากเรื่อง The Lady Hermit ขณะที่กุ๊ฟง ผู้รับบทหัวหน้าวายร้ายในชุดหนังเสือตัวลายก็มาทรงพลังตามสไตล์ตัวร้ายอาชีพของเขา รวมถึงการปรากฏตัวแวบเดียวของหงจินเป่าในวัยหนุ่มในบทลูกสมุนพรรคยันต์โลหิต
โฆษณา