17 พ.ค. 2022 เวลา 03:54 • ไลฟ์สไตล์
อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง ดีจริงหรือ
ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือครับ เพราะฉะนั้นคำถามนี้ ถ้าถามผม ตอบแบบไม่ได้คิดอะไรคือดีสิครับ อ่านหนังสือยิ่งอ่านยิ่งดี เพราะหนังสือเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ ที่ทำให้เราสามารถหาทางออกของปัญหาหลาย ๆ ปัญหาได้
ผมมีความเชื่อว่าไม่ว่าปัญหาไหนในโลก จะมีหนังสืออย่างน้อย 1 เล่มที่ช่วยบอกทางแก้ไขไว้ ทำไมผมถึงเชื่อแบบนั้น เพราะจากประสบการณ์ของผมเอง ผมพบว่าเกือบทุกครั้งที่ผมมีปัญหา ผมมักจะ Search หาหนังสือ และยังจำไม่ได้เลยครับว่ามีครั้งไหนที่ผม Search หาไม่เจอ คือบางปัญหามีหนังสือเยอะแยะไปหมด ให้เราเลือกอ่าน หรือบางทีปัญหามันเฉพาะเจาะจงพอสมควร ผมก็ยังเจอหนังสืออยู่ดีครับ
แน่นอนครับ หนังสือมันคงไม่ได้เฉพาะเจาะจงสำหรับปัญหาเฉพาะตัวมาก ๆ ของเราคนเดียวหรอกครับ เช่นเราเรียนวิชาคณิตศาสตร์ปี 1 แล้วไม่รู้เรื่อง จะไปหาหนังสือที่บอกถึงแนวทางแก้ไขเรื่องการเรียนคณิตศาสตร์ปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยของเราโดยเฉพาะ แบบนี้ก็คงไม่มี แต่หัวข้อประมาณว่าจะเรียนเรื่องนี้ให้รู้เรื่องได้อย่างไร แบบนี้รับรองว่ามีเยอะเลยครับ
การที่เราได้ลองอ่านหนังสือ เราจะได้ทดลองหยิบเอาแนวคิดของผู้เขียนมาใช้ในการพัฒนาตนเอง สำหรับผมมันเหมือนเป็นทางลัดของความสำเร็จเลยนะครับ แทนที่เราจะต้องมานั่งลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเจอทางออก ลองอ่านหนังสือที่คนเขียนเขาผ่านกระบวนการเหล่านี้มาแล้วสิครับ บางทีมันสามารถตัดการลองผิดลองถูกออกได้ตั้งเยอะ และทำให้เราสามารถหาทางออกของปัญหานั้นได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
1
ดูเหมือนกับการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองน่าจะเป็นสิ่งที่ดีเช่นไหมครับ แล้วทำไม ผมถึงยังตั้งคำถามที่ถามว่า “ดีจริงหรือ” อยู่อีก
มีอยู่ 2 อย่างครับ คือหนังสือดีจริงครับ “ถ้า” เรารู้จักนำมาปรับใช้ คือถึงแม้ว่าปัญหาที่เขาเจอจะเหมือนกับเรา และเขาหาทางออกได้ จนกระทั่งเขียนเป็นหนังสือ แต่มันไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถ Copy ทุกอย่าง คือแต่ละคนบริบทมันแตกต่างกัน ดังนั้นเราเอาเพื่อเลือกเอาสิ่งที่เหมาะกับเรามาทดลองใช้ดูแบบนี้น่าจะดีกว่าการคาดหวังว่าทุกอย่างที่เขาเขียนในหนังสือจะสามารถคัดลอกมาได้หมด
2
ยกตัวอย่างว่าถ้าเราอยากเล่นหุ้น เราอาจจะอ่านหนังสือที่เขาเขียนถึงแนวทางการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำได้เลยครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำแบบนั้นเหมือนเขาเป๊ะ ๆ แล้วเราจะรวยเท่าเขาเลย ถ้ามันง่ายแบบนั้นทุกคนก็รวยไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าหนังสือไม่มีประโยชน์นะครับ ในบริบทของเขาการทำแบบนั้น ทำให้เขาประสบความสำเร็จจริง ๆ แต่ไม่ได้แปลว่าจะใช้ได้ผลแบบนั้นหมด 100% สำหรับเรา
2
อีกประการหนึ่งคือหนังสือทำได้มากที่สุดคือจุดประกายความคิดเราครับ แต่สิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาตัวเองได้จริง ๆ ไม่ใช่การอ่านอย่างเดียว แต่เราต้องลงมือทำด้วย ไม่เช่นนั้นต่อให้อ่านหนังสือปีละเป็นร้อยเล่ม ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเรามากหรอกครับ ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง
2
การลงมือทำหลังจากได้อ่านหนังสือนั้นยังช่วยทำให้เราเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้ดีขึ้น และทำให้เราจำเนื้อหาได้มากขึ้นอีกด้วย คำว่าลงมือทำ ไม่ได้แปลว่าต้องทำตามที่หนังสือบอกแค่นั้นนะครับ ยังมีความหมายรวมไปถึงการนำไปเขียน นำไปเล่าให้คนอื่นฟังก็ได้
เพราะบางอย่างเราอาจจะยังไม่ได้อยู่ในจังหวะที่ทำเรื่องที่หนังสือแนะนำได้ทันที เช่น เราอ่านเรื่องการลงทุน แต่ตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ได้มีเงินพอที่จะลงทุน แต่เราก็สามารถสรุปหนังสือผ่านการเขียนหรือการเล่า ก็นับว่าเป็นการลงมือทำแล้ว
การอ่านหนังสือช่วยพัฒนาชีวิตเราได้จริง ๆ ครับ ขอเพียงเราเลือกมาปรับใช้ และลงมือทำอะไรสักอย่างหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ผมเชื่อว่าเราจะได้ประโยชน์จากหนังสืออย่างเต็มที่แล้วล่ะครับ
โฆษณา