รัฐบาลไทยอ่อนหัดในเรื่องสงครามพันทางมาก:
ผมเคยอ่านประวัติของสีจิ้นผิง (เล่มใหญ่เกือบพันหน้า แต่อ่านไม่จบเพราะเป็นหนังสือเล่มใหญ่) ประวัติของวลาดิเมียร์ ปูตินซึ่งมีหลายคนเขียนและประวัติของคิมจองอัน ทำให้รู้ว่าหนึ่งในสงครามที่สามประเทศนี้จะต้องจัดการอย่างจริงจังเหมือนกันคือสงครามพันทาง
โดยเฉพาะภัยจากการใช้ soft power ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามพันทางเข้าไปทำลายวัฒนธรรมเดิมชุมชนผ่าน FB Twitter Instagram Youtube ทำให้ผู้คนหันไปชื่นชมเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) จากอเมริกาซึ่งเดี๋ยวนี้ ลัทธินี้กำลังกลายร่างไปเป็น Fascism ไปเรียบร้อยแล้ว
จีนเขาตอบโต้แบบเงียบๆ โดยการใช้ Soft Power เช่นกัน สังเกตได้จากหนังครับ เพียงแต่หนังของจีนยังไม่ได้มีอิทธิพลมากเท่าหนังฮอลลีวู้ดของอเมริกา
เช่นการผลิตหนังเปาบุ้นจิ้นขึ้นมาบ่อยๆ ก็เพื่อให้คนเดินตามแนวทางของเปาบุ้นจิ้นและขณะเดียวกัน ก็ทำให้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการกวาดล้างคนทุจริตหรือคนโกงชาติ รวมทั้งคนขายชาติอย่างเด็ดขาดคือประหารชีวิต โดยไม่มีคนทัดทาน
การสร้างหนังวีรบุรุษหวงเฟยหงภาคต่างๆ ก็เพื่อให้คนจีนมีความรู้สึกรักชาติรักบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง หนังซีรีย์จีนต่างๆ ที่ต้องต่อสู้กับต่างชาติเช่นญี่ปุ่น ก็เพื่อให้คนจีนตระหนักว่าคนจีนต้องสามัคคีกันในการต่อต้านภัยจากต่างชาติ เป็นต้น
แต่เมืองไทยเรา อุดมการณ์แบบนี้ของรัฐมนตรีในรัฐบาลไม่ค่อยมี ปล่อยให้สังคมเป็นเสรีนิยมใหม่แบบอเมริกาไปเรื่อยๆ รมว.กระทรวงวัฒนธรรมก็อ่อนหัด มาเป็นรัฐมนตรีเพราะโควต้าทางการเมือง ไม่ได้รู้ลึกซึ้งเรื่องวัฒนธรรมอะไร แรงจูงใจไม่มี การจัดกิจกรรมจรรโลกวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงฉาบฉวย ไม่ค่อยเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นไทยมาสร้างเป็น Soft power ที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนไทยรุ่นใหม่ได้
วัฒนธรรมคนกรุงเทพฯ หลายๆ อย่างไม่ต่างอะไรจากคนอเมริกัน อาหารการกิน ผับ เธค บ่อนพนัน ฟรีเซ็กส์ ฯลฯ วิถีชีวิตไปกันหมดแล้ว หนุ่มสาววัยรุ่นที่รักนวลสงวนตัวบ้านเราคงทยอยหายไปเรื่อยๆ ตามอิทธิพลสิ่งแวดล้อมรอบข้าง รัสเซียและจีนหันมาเน้นค่านิยมท้องถิ่นกันมากแล้ว
เรื่องวัฒนธรรมเป็นเรื่องใหญ่ น่าเป็นห่วงอนาคตประเทศไทยครับ