11 มิ.ย. 2022 เวลา 15:42 • การศึกษา
เมื่อการศึกษาเปลี่ยนชีวิต ….. “กระทิง” เรืองโรจน์ พูนผล จะใช้ชีวิตนี้เพื่อเปลี่ยนการศึกษาของประเทศ
“กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล” ชื่อนี้อยู่เบอร์ต้น ๆ ในใจของคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะนักเทคโนโลยีและนักธุรกิจ ทั้งสตาร์ตอัพและองค์กรขนาดใหญ่ เพราะชีวิตของกระทิง คือ ต้นแบบเส้นทางชีวิตของความสำเร็จที่แลกมาด้วย “ความฝันใหญ่ มีวินัย และใจสู้”
เขาเชื่อว่าประเทศจะสามารถอยู่ต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน และมีความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ที่ทุกธุรกิจอุตสาหกรรมถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ คนไทยจะต้องได้รับการ reskill ทั้งประเทศ เพราะตัวเขาเอง คือ หลักฐานที่พิสูจน์แล้ว ว่าการศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญของความสำเร็จ
จากเด็กชาวบ้านต่างจังหวัดธรรมดา ๆ คนหนึ่ง สู่การเป็นบุคคลสำคัญในวงการสตาร์ตอัพและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศไทย และคีย์แมนคนสำคัญคนหนึ่งของธนาคารกสิกรไทย ในตำแหน่งประธานกสิกร บิสซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG บริษัทเทคโนโลยีของไทยที่มีศักยภาพและภาพลักษณ์ระดับสากล เขาจึงมีความเชื่อในเรื่องการศึกษาอย่างมากว่าจะสามารถเปลี่ยนชีวิตคน เปลี่ยนประเทศ และเปลี่ยนโลกได้
1
ตลอดเส้นทางการทำงานของเขาไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหนจึงล้วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาแทบทั้งสิ้น การศึกษาในที่นี้ไม่ใช่การศึกษาในห้องเรียนแต่เป็นการศึกษาที่ต้องเรียนรู้ตลอดเส้นทางของชีวิต
หลังจากใช้ชีวิตเป็นพนักงานบริษัท P&G ในไทย Google ที่สหรัฐฯ และเป็นเจ้าของสตาร์ตอัพที่ซิลิกอน วัลเลย์เขากลับมาประเทศไทยพร้อมกับประสบการณ์การทำสตาร์ตอัพและคอนเนคชันในวงการเทคโนโลยี กลับมาพร้อมความฝันที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศ อุตสาหกรรมสตาร์ตอัพ
ด้วยความเชื่อสตาร์ตอัพจะเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่ เขากลับมาสร้างการศึกษาเกี่ยวกับการ “ทำสตาร์ตอัพ” ภายใต้ชื่อ Disrupt University เขาหาคนที่อยากทำสตาร์ตอัพ มาเข้าห้องเรียนโดยมีเขาเป็นผู้สอนหลัก
จากนั้นเมื่อเขาจุดไฟติดแล้ว เริ่มมีสตาร์ตอัพเกิดขึ้น และพบว่าต้องมีไม้ต่อเพื่อให้หน่อของสตาร์ตอัพเหล่านี้สามารถเติบโต เขาจึงคลอดโครงการ dtac accelerate ในปี 2012 เป็นโครงการบ่มเพาะสตาร์ตอัพระดับเริ่มต้น เพื่อบ่มเพาะสตาร์ตอัพให้เติบโต และร่วมใส่เม็ดเงินลงทุนตั้งต้นให้ (seed round)
กระทิงบริหารโครงการ dtac accelerate ได้ราว 1 ปี ก่อนส่งไม้ต่อให้ สมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ (โครงการนี้ปิดตัวลงในปี 2020 โดยตลอด 7 ปีได้สร้างผลงานในการบ่มเพาะสตาร์ตอัพมากกว่า 60 บริษัท มีมูลค่ารวม 227 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ระดมทุนไปได้แล้วกว่า 36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราความสำเร็จอยู่ที่ 70%)
เมื่อสตาร์ตอัพเหล่านี้เติบโตขึ้นและต้องการเงินลงทุนที่มากขึ้น เขาก็ตั้งกองทุน 500 TukTuks เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสามารถมีเงินทุนในการเติบโตต่อไปจนสามารถมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ 500 TukTuks I เงินลงทุนกองแรกที่เริ่มลงทุนในปี 2015 ลงทุนในสตาร์ตอัพจำนวน 50 บริษัท และเปิด 500 TukTuks II ในปี 2018 จนได้รับการขนานนามว่า เจ้าพ่อสตาร์ตอัพของเมืองไทย
บทบาทของเขาขยายขึ้นจากการสร้าง บ่มเพาะและสนับสนุนสตาร์ตอัพ มาสู่บทบาทบ่มเพาะ และขยายศักยภาพองค์กรขนาดใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสตาร์ตอัพและธุรกิจอื่น ๆ รวมถึงทรัพยากรบุคคลด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก เมื่อเขามารับไม้ต่อจาก สมคิด จิรานันตรัตน์ ในตำแหน่งประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)
โดยมีพันธกิจในการพาธนาคารกสิกรไทยไปปักธงธนาคารดิจิทัลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียและพา KBTG เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและน่าทำงานที่สุด
พันธกิจนี้ต้องอาศัย “คน” จึงไม่แปลกที่จะเห็นว่า KBTG ให้ความสำคัญกับ “คน” และทุ่มเททรัพยากรในการสร้าง “คน” แบบใหม่ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ในโลกอนาคต ทั้งทำเองภายในและทำผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานรัฐและสถาบันการศึกษา
แม้จะมีพันธกิจขององค์กรที่ต้องรับผิดชอบ แต่เขาก็มีละทิ้งพันธกิจส่วนตัวเรื่องการศึกษา เขายังคงเดินหน้าให้การศึกษาด้านสตาร์ตอัพผ่าน Disrupt Technology Venture (ชื่อเดิมคือ Disupt University) และล่าสุดคลอดหลักสูตร CXO หลักสูตรที่สร้างผู้นำแห่งอนาคตที่จะมาสร้างการเปลี่ยนแปลงและทรานส์ฟอร์มองค์กรและประเทศชาติ หรือ Chief Exponential Officer
ในขณะเดียวกันเขาตระหนักดีว่าลำพังจะสร้างและเสริมกำลังคนเฉพาะคนที่ทำงานแล้วไม่พอ เขาสร้าง StormBreaker Venture ขึ้นมาภายใต้ Disrupt Technology Venture เพื่อโฟกัสด้านการศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสตาร์ตอัพมาช่วยภาคการศึกษาเพื่อช่วยสร้างผลกระทบในระดับมหภาคกับการศึกษาของประเทศ เพื่อสร้างคนให้มีศักยภาพและทักษะยุคใหม่ตั้งแต่เด็ก
จุดเริ่มต้น …..
กระทิง กล่าวกับ The Story Thailand ว่า เขามีวันนี้ได้เพราะการศึกษาและการเรียนรู้
กระทิงเกิดและเติบโตมาในครอบครัวของข้าราชการที่คุณพ่อต้องเดินทางไปทำงานในจังหวัดต่าง ๆ ทำให้กระทิงต้องย้ายโรงเรียนบ่อย จึงไม่ค่อยมีเพื่อน และทำให้กลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่กระทิงได้รับจากครอบครัวอย่างเหลือเฟือ คือ ความรู้ คุณย่า คุณพ่อ และคุณแม่ของเขา บอกเสมอว่า “พ่อแม่อดได้ ย่าอดได้ แต่ห้ามลูกหลานอด และ 2 เรื่องที่ห้ามอด คือ ห้ามอดอาหาร และห้ามอดความรู้”
1
โดยเฉพาะคุณพ่อที่มักจะลงทุนเรื่องความรู้ให้กระทิงเสมอ คุณพ่อมักจะซื้อหนังสือมาให้กระทิงอ่าน โดยเฉพาะหนังสือสารานุกรมสำหรับเยาวชน สารานุกรมฉบับการ์ตูน ประวัติบุคคลสำคัญ​ฉบับการ์ตูน เป็นต้น ราคาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คือ ราคาชุดละ 3,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมากสำหรับครอบครัวชาวบ้านต่างจังหวัดธรรมดา ๆ ครอบครัวหนึ่ง
“คุณพ่ออดข้าวเก็บเงินเพื่อซื้อหนังสือให้ผม นั่นคือ สิ่งที่สำคัญ การเกิดมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษานั้นสำคัญมาก”
1
ในขณะที่ประสบการณ์ล้ำค่าในวัยเด็กที่ได้รับความเมตตาจากคุณครูจันทร สุวรรณรัตน์ ที่โรงเรียนประถมที่สร้างและปลูกฝังความมั่นใจและความรักในการเรียนรู้ในตัวเขา จากจุดเล็ก ๆ ที่คุณครูสังเกตและใส่ใจว่าเขามีความสามารถแม้เพียงเล็กน้อยในตอนนั้น คือ การออกเสียงภาษาไทยชัด โดยเฉพาะการกระดกลิ้นออกเสียงตัวอักษร ร เรือ
จึงให้เขามาฝึกการอ่านน้อยแก้วทุกกลางวันที่ห้องพักครู และส่งเข้าประกวดการอ่านร้อยแก้วระดับจังหวัด จนได้รับรางวัลที่ 2 ของจังหวัด จุดนั้นทำให้กระทิงมีความมั่นใจในตัวเองว่าสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งสำเร็จได้
จากบันไดขั้นแรก สู่บันไดถัดมาเมื่อคุณครูเช่นชนก ชิดชอบ โรงเรียนวัดคูยาง เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เขารักวิทยาศาสตร์ เพราะคุณครูส่งเขาเข้าประกวดคิดเลขเร็วและชนะในระดับจังหวัด ทำให้เขาเกิดความมั่นใจในตัวเอง และเริ่มมองหาสิ่งที่รัก
และคุณครูเช่นชนกสอนให้เขารักวิทยาศาสตร์ ซึ่งการรักวิชาวิทยาศาสตร์เป็นบันไดก้าวที่สำคัญที่สุดที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งให้เดินมาในเส้นทางที่จะกลายมาเป็นบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย
“สร้างความมุมานะ พอมีความมั่นใจว่าทำได้ ก็จะมีความรักในสิ่งนั้น พอมีความรักจะนำมาซึ่งแรงบันดาลใจ นี่คือหน้าที่ของครูและการศึกษา”
แต่ลำพังความมั่นใจ ความรัก ไม่เพียงเพียงพอ การจะประสบความสำเร็จต้องประกอบด้วยการลงมือทำ และการมีวินัย เขาตั้งเป้าว่าจะสอบโอลิมปิกให้ได้ หลังจากนั้นเขาตื่นตี 4 ทุกวันเพื่ออ่านหนังสือ ไม่เคยมีวันหยุด เป็นเวลา 6 ปี จนได้เหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิก และเหรียญทองแดงคณิตศาสตร์โอลิมปิก และได้ที่ 1 ของภาคเหนือและที่ 3 ของประเทศในการสอบแข่งขันคณิตศาสตร์
1
จากนั้นเขาก็เบนเข้ากรุงเทพฯ ​เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า และปริญญาโทด้านการตลาดภาคภาษาอังกฤษ (MIM) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าทำงานที่บริษัท P&G เป็นเวลา 6 ปี ก่อนบินไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จนจบปริญญาโท MBA จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) เรียนจบแล้วเขาเลือกทำงานกับ Google ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด
1
“เริ่มจากตรงนั้น ….. การศึกษา พลิกชีวิตทั้งหมด ทำให้ผมมาถึงตรงนี้ ผมมาด้วยการศึกษาล้วน ๆ การศึกษาเปลี่ยนชีวิตคนและจะเปลี่ยนอนาคตของประเทศ”
จึงไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นว่าทุกงานที่ผู้ชายคนนี้ลงมือทำล้วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งสิ้น เพราะเขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า การศึกษาจะเปลี่ยนอนาคตของคนได้ และการศึกษาจะเปลี่ยนอนาคตของประเทศไทยได้
ไม่ว่าเขาจะอยู่ในบทบาทไหน ตลอดเส้นทางการทำงานจากต้นจนถึงปัจจุบันที่เป็น Group Chairman ของ KBTG เขายังคงมุ่งมั่นกับงานด้านการศึกษาในหลากหลายรูปแบบทั้งในหน้าที่ที่ KBTG และหน้าที่ Disrupt Technology Venture
“ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน เป้าหมายการทำงานของผม คือ การสร้างผลกระทบ สิ่งที่โฟกัส คือ การสร้างผู้นำแห่งอนาคตให้กับประเทศผ่านการศึกษาและการเรียนรู้”​
เขาเชื่อว่าหากคนไทยมีการศึกษาและการเรียนรู้ที่ดี ที่ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ สร้างทักษะแห่งอนาคตได้ และหากคนไทยได้เข้าถึงโอกาส การศึกษาที่ดีและเท่าเทียมกัน ประเทศไทยจะไปได้ไกลมาก จะเห็นได้ว่าอารยธรรมโลก และมหาอำนาจโลกที่ล่มสลาย ล้วนเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด เพราะไม่ลงทุนด้านการศึกษา
“ประเทศไทยจะไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าเราไม่เปลี่ยนเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทย โลกใหม่ 10 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ต้องเพิ่มทักษะ (reskill) คนทั้งประเทศ ผมมีแรงบันดาลใจเรื่องนี้ เพราะตัวผมเองคือหลักฐานที่พิสูจน์แล้วว่าการศึกษาเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง ๆ”
วันนี้บุคลากรด้านเทคโนโลยีนั้นขาดแคลนทั่วโลก เขาจึงมุ่งมั่นที่จะสร้าง “คน” ผ่านการสร้าง “การศึกษา” ที่ตอบตรงโจทย์ความต้องการของประเทศ
ใช้สตาร์ตอัพขับเคลื่อนการศึกษา
“ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมุดหมายที่ 12 ที่เขียนนโยบายการศึกษาเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในระดับนโยบายในการสร้างระบบนิเวศ EdTech และทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ). กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อสร้าง PPP (Public-private-partnership) และความร่วมมือกับคุณครูทั่วประเทศ ในขณะเดียวกันก็ใช้ KBTG ขับเคลื่อนสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยี เข้าไปช่วย reskill อาจารย์ในมหาวิทยาลัยและช่วยปรับปรุงหลักสูตร สิ่งที่ทำแตะ value chain ทั้งหมดของการศึกษาของประเทศไทยตั้งแต่ระดับเด็กอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย จนถึงวัยทำงาน”​
เขาใช้ศักยภาพและจุดแข็งในเรื่องสตาร์ตอัพ มาขับเคลื่อนการศึกษาด้วยการจัดการประชุมด้านการศึกษาครั้งแรกในชื่อ Education Disruption Conference โดยเชิญ speaker ระดับโลกจากวงการศึกษาและบริษัทเทคโนโลยีมาให้ความรู้เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านการศึกษาและสตาร์ตอัพ EdTech
จากนั้นต่อยอดด้วยการจัดงาน Hackathon ด้านการศึกษา โดยจัดเป็นธีมเพื่อปฏิวัติการศึกษา 6 ธีม อาทิ การศึกษาของเด็ก การ reskill และ professional reskill เป็นต้น มีสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา หรือ EdTech มีนักลงทุนการศึกษา คุณครู คุณหมอ คนในแวดวงการศึกษามาทำ Hackathon ร่วมกัน
ต่อด้วยจัดโครงการบ่มเพาะและเร่งเครื่องผู้ประกอบการด้านการศึกษาที่ชื่อ StromBreaker Venture ที่ปัจจุบัน StromBreaker Venture ลงทุนในสตาร์ตอัพ EdTech และ education social venture ไปแล้วทั้งหมด 17 บริษัท จากทั้งหมด 4 Batch
สิ่งที่ทำคือ การสร้างสตาร์ตอัพ และนำสตาร์ตอัพมาช่วยการศึกษา เรียกว่าได้ทำในสิ่งที่รักและสิ่งที่อยากทำในเวลาเดียวกัน ซึ่งน่าภูมิใจที่มีบริษัทสตาร์ตอัพด้านการศึกษา อาทิ Vonder ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้าน micro-learning ที่เริ่มตั้งแต่เข้าร่วมงาน Hackathon
จากนั้นกระทิงสร้างรันเวย์ด้วยการบ่มเพาะด้วย StromBreaker Venture ร่วมลงทุนในสตาร์ตอัพ 500,000- 1,500,000 บาทและช่วยหาตลาดและลูกค้าให้ด้วยการเชื่อมต่อไปยังภาคการศึกษาและองค์กรที่ต้องการสตาร์ตอัพเข้าไปช่วยเพิ่มทักษะพนักงานปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Vonder นับล้านคน
สตาร์ตอัพที่เขาภูมิใจคือ Vulcan Coalition สตาร์ตอัพที่ reskill ผู้พิการทางสายตาเพื่อเอามาเป็น AI trainer ซึ่งเป็นงานที่ประเทศขาด Vulcan ตั้งเป้าสร้าง AI trainer 5,000 คน กระทิงบอกว่า นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนประเทศและมอบโอกาสให้กับคนจริง ๆ
นอกจากการลงมือขับเคลื่อนด้วยแรงของตัวเองผ่าน StromBreaker แล้ว เขายังอาศัยแรงจากพันธมิตร คือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัด Hackathon ในปี 2020 และจัด Mini Hackathon กับกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มาร่วมเป็นแม่งาน โดยที่ Distupt Technology Venture เป็นคนออกแบบงาน
โดยใช้หลักการของ PPP หรือ Public-private-partnership คือ ข้าราชการ คุณครู สตาร์ตอัพ EdTech มาทำ Hackathon มาช่วยทำโซลูชันแก้ปัญหาด้านการเรียนของเด็กในช่วงโควิด ซึ่งได้ออกแบบโครงการดี ๆ หลายโครงการที่นำคุณครูที่มีศักยภาพมาพบกับสตาร์ตอัพที่บ่มเพาะและลงทุนมาตั้งแต่ปี 2018 มาพัฒนาโซลูชันให้กับคุณครูและต่อยอดนำไปใช้ในโรงเรียนได้ ซึ่งการเข้ามาของสพฐ.จะช่วยขยายผลไปสู่โรงเรียนทั่วประเทศได้
นอกจากขับเคลื่อนการศึกษาในระบบแล้ว กระทิงยังสร้างหลักสูตร CXO (Chief Exponential Officer) ขึ้นมาเป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องการ transform ตนเองและองค์กรให้เป็น Exponential Organization เพื่อการอยู่รอดในยุคของ Continuous Disruption
ขับเคลื่อน KBTG สร้างคนร่วมกับสถาบันการศึกษา
สำหรับบทบาทที่ KBTG แม้ว่าพันธกิจหลัก คือ การเป็นลมใต้ปีกให้ธนาคารกสิกรไทยบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในการเป็นหนึ่งในผู้เล่นฟินเทคเบอร์ต้น ๆ ของภูมิภาคภายในระยะเวลาไม่เกินครึ่งทศวรรษ KBTG ยังมีเป้าหมายของตัวเองในการเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในเอเชีย และการจะไปให้ถึงเป้าหมายทั้งสองไดันั้น “คน” คือ หัวใจสำคัญ​
การจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนั้น “คน” คือ สิ่งสำคัญ
กระทิงผู้มีฉันทะในการศึกษาอย่างแรงกล้าจึงใส่สุดแรงในการสร้างกำลังคนขึ้นมาในองค์กร สะท้อนได้จากกิจกรรมของ KBTG ที่เกี่ยวกับการสร้างคน เริ่มตั้งแต่ KBTG Inspire โครงการค้นหาและผลักดัน Tech Talent เข้าสู่ KBTG
ซึ่งเป็นกิจกรรม mini bootcamp ที่นำคนมาเรียนออนไลน์กับพนักงาน KBTG การจัดงาน KBTG INSPIRE จะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ช่วงแรก คือ เดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงเวลาของคนสมัครงาน นักศึกษาเพิ่งเรียนจบ และช่วงปลายปี
และโครงการ KBTG Tech Kampus เป็นการร่วมมือของ KBTG กับ 2 องค์การภาครัฐ คือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยช่วยพัฒนาหลักสูตรและส่งบุคลากรไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และทำ Deep Collaboration ทั้งเรื่องงานวิจัย และการศึกษา
KBTG จับมือกับ Stanford University จัด Innovation Teaching Scholar คือ เข้าไปสอนอาจารย์มหาวิทยาลัยให้มีวิธีการสอนแบบใหม่ ๆ ด้วยการนำ design thinking และวิธีการสอนจาก Stanford Design School และ Stanford Education School มาสอนอาจารย์ในไทย รุ่นแรกจบไปแล้ว 30 คน ปีนี้จะขยายผลเป็น 100 คน
ล่าสุด KBTG ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกห้องปฏิบัติการวิจัยของ MIT (MIT Media Lab) หนึ่งในห้องปฏิบัติการวิจัยที่ทันสมัยที่สุดในโลก ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology : MIT) สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เพื่อดำเนินการวิจัยเทคโนโลยีล้ำยุคที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน
แลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการระหว่างกัน และยังทำให้นักวิจัยของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมทำงานวิจัยที่ก้าวหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาที่สำคัญต่าง ๆ ในระดับประเทศ ทั้งในด้านการเงิน ความเสมอภาค ความยั่งยืน และด้านการศึกษา โดย KBTG เป็นบริษัทไทยแห่งแรกที่จะส่งนักวิจัยไปที่ห้องปฏิบัติการวิจัยของ MIT
ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ KBTG ในการพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยี รวมทั้งการค้นคว้าวิจัยเพื่อต่อยอดในการสร้างนวัตกรรมให้เกิดประโยชนสูงสุด โดยได้ริเริ่มจากการพูดคุยกับ พัทน์ ภัทรนุธาพร นักศึกษาปริญญาเอกของไทยคนแรกในสาขา Fluid Interfaces ที่ MIT Media Lab และเจ้าของงานวิจัยด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI รวมไปถึงการศึกษาส่วนบุคคล
จะเห็นว่าสิ่งที่เขาทำทั้งหมด ตั้งแต่การสร้างระบบนิเวศสตาร์ตอัพด้านการศึกษา การบ่มเพาะ การลงทุน การสร้างความร่วมมือแบบ PPP และการขับเคลื่อนผ่านองค์กรที่ทำงาน ล้วนมีจุดมุ่งหมายร่วมหนึ่งเดียวคือการผลักดันเรื่องการศึกษา
แบบอย่างผู้นำแห่งการเรียนรู้
ฉันทะในการเรียนรู้ของกระทิง ไม่ได้สะท้อนออกมาแค่ในงานที่เขาทำ แต่สะท้อนในทุกอณูของเขา กระทิงแสดงให้ดูว่าเขาเป็นซีอีโอที่เรียนรู้และอ่านหนังสือตลอด ปี 2021 เขาอ่านหนังสือไปมากกว่า 100 เล่ม (เป็นหนังสือภาษาอังกฤษอย่างเดียว) และลงเรียนคอร์สออนไลน์ตลอดเวลา เขาไม่ได้อ่านแค่เรื่องงาน
เขาบอกว่าผู้นำยุคใหม่ต้องอ่านเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเนื้องานโดยตรงด้วย อาทิ อ่านสถาปัตยกรรมช่วยเพิ่มมุมมองความคิดซึ่งหลายอย่างนำมาใช้กับงานได้ เป็นการเชื่อมต่อจุด แต่ต้องมีจุดให้เชื่อมก่อน เมื่อมีหลายจุดก็สามารถต่อเชื่อมได้หลากหลายมากขึ้น
1
“อนาคตยิ่งใครมีความรู้กว้างและสามารถต่อเชื่อมความรู้ได้มากเท่าไรยิ่งจะได้เปรียบ อาทิ เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ใช่เรื่องการเงินอย่างเดียว มีเรื่องเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ รวมถึงจิตวิทยา
ดังนั้น ในอนาคตความรู้ศาสตร์เดียวจะลำบาก จำเป็นต้องรู้หลายศาสตร์ ต้องมีทักษะเป็นรูปตัว Y และ X คือ ต้องรู้ลึก 1 เรื่อง และรู้ลดหลั่นลงไปในหลาย ๆ เรื่อง และต้องมีความรู้ในการ X ระหว่างหลาย ๆ ศาสตร์ได้”
การเรียนรู้มีหลากรูปแบบ เขาบอกว่าคนแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน บางคนไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ชอบเรียนรู้จากการคุยกับคน แต่ทุกคนต้องรักการเรียนรู้เลือกออกแบบยุทธศาสตร์การเรียนรู้ของตัวเองที่เหมาะกับตัวเอง แล้วจะไม่ต้องจัดเวลาในการเรียนรู้ มันจะเป็นไปโดยธรรมชาติ สำหรับกระทิงเป็นคนที่พกหนังสือติดตัวตลอดเวลาตั้งแต่เด็ก การอ่านหนังสือคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด เขาจะจมเข้าไปในหนังสือ
บุคลิกของเขาในฐานะซีอีโอและบุคลิกขององค์กรที่เขาบริหารอยู่นั้นเหมือนกัน คือ บุคลิกของการเรียนรู้ KBTG เป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้ ที่นี่จะมีคอร์สในการพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ มากมายให้พนักงานได้เรียนรู้ เท่านั้นยังไม่พอบริษัทยังมีนโยบายส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้จากคอร์สภายนอกด้วยการสนับสนุนงบและเวลาให้เพื่อให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตัวเอง
1
ด้วยภาระหน้าที่การงานที่เต็มล้นบนปฏิทินตารางงาน แต่เขาก็ยังมีเวลาเสมอสำหรับการพัฒนาตัวเองด้วยการอ่านและการฟัง เขามักจะใช้เวลาตอนออกกำลังกายฟังหนังสือเสียง เขาเรียนรู้จากการสอน เขาบอกว่าเขาไม่สามารถบริหารจัดการเวลาได้ สิ่งที่เขาทำคือการบริหารพลังงาน
เป้าหมายส่วนตัวเป้าหมายของ KBTG และเป้าหมายของประเทศสำหรับเขามีส่วนเกี่ยวกันอยู่ ทุกครั้งที่เขาเลือกจะทำงานจะต้องเป็นงานที่เขาสามารถใส่เพิ่มความสามารถเฉพาะให้กับงานนั้นหรือองค์กรนั้นได้ และองค์กรนั้นต้องมีเป้าหมายที่จะทำอะไรที่ดีกับสังคม
ตอนนี้เขาทุ่มเทความสามารถให้กับ KBTG คือ การทำทรานส์ฟอร์มตัวองค์กรแห่งนี้ให้เป็นองค์กรระดับภูมิภาคเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถสร้างบริษัทเทคโนโลยีระดับต้นของภูมิภาคได้จากธุรกิจธนาคารที่ทุกคนสามารถถูมิใจได้ และสร้างบุคลากรและผู้นำยุคใหม่ให้กับประเทศ
“ผมคิดว่ามันไปด้วยกันระหว่างเป้าหมายของผมและของ KBTG และสิ่งที่ประเทศไทยและภูมิภาคนี้ขาด มันสอดคล้องกัน เป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำใน 3 ปีข้างหน้านี้ (2023-2025) หลังจาก 3 ปีค่อยมาว่ากันใหม่”
ฝันใหญ่ มีวินัย ใจสู้ แต่ต้องรู้จักจังหวะผ่อนของชีวิต
1
ภายนอกที่ทุกคนเห็นคือภาพความสำเร็จของผู้ชายชื่อกระทิง แต่ภายใต้ความสำเร็จคือซากปรักหักพังของความล้มเหลวที่นับไม่ถ้วนของเขา เขายอมรับว่าเขาล้มเหลวมามากจนจำไม่ได้ว่าล้มเหลวอะไรบ้าง เขาเดินผ่านความล้มเหลวมาได้เพราะเขาใช้ความล้มเหลวเป็นบทเรียน เรียนรู้และไปต่อ เขาเรียกมันว่า "ความสามารถในการรับมือกับความล้มเหลว"
1
หากฝึกไว้ดีจะรับความล้มเหลวได้ดีจะไม่รู้สึกอะไรมากกับความล้มเหลว ความล้มเหลวเป็นเส้นทางที่ต้องเดินผ่าน เป็นแค่จุดแวะระหว่างทางให้เรียนรู้ เป็นความลำบากที่เกิดขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไปตลอดเส้นทางของความสำเร็จ
1
ตอนอยู่ดีแทค เขาเปิดตัวแพลตฟอร์มอ่านหนังสือเพื่อแข่งกับเอไอเอสและทรู แต่ล้มเหลวจนวันนี้เขาเองก็จำชื่อแพลตฟอร์มนั้นไม่ได้ ตอนอยู่ Google มีผลิตภัณฑ์หลายตัวโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโซเชียลล้วนล้มเหลว ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ความล้มเหลวที่เขามองว่าเสียหน้ามากที่สุดครั้งหนึ่ง คือตอนที่ KPLUS ล่มในวันที่มีการแถลงเปิดวิสัยทัศน์ของเขากับนักข่าวราว 40 คน ล่มหลังจากที่เขาตอบคำถามนักข่าวว่า KPLUS จะไม่ล้มอีกอย่างแน่นอน เขาบอกว่าหากมองในแง่เสียหน้าครั้งนั้นหนักสุดแล้ว
นอกจากความสามารถในการจัดการกับความรู้สึกตอนล้มเหลวได้ดีแล้ว ความสามารถในการจัดการกับความรู้สึกตอนประสบความสำเร็จก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะความสำเร็จจะทำให้คนเหลิงและอหังกา สิ่งสำคัญ คือ สติตระหนักรู้
1
เขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเองทั้งหมด เขาไม่ใช่คนเก่ง ถ้าเขาเก่งเขาคงไม่ต้องพยายามมากขนาดนี้ ถ้าเขาพยายามมากขนาดนี้แปลว่าเขาคือค่าเฉลี่ย คนเป็นค่าเฉลี่ยต้องสู้กับคนค่าเฉลี่ยเสมอ เขาจึงมักสู้แบบมวยรอง หรือ underdog เสมอมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหน
1
หรือต่อให้เขาเป็นเบอร์หนึ่ง เขาจะสู้แบบเบอร์ 2 หรือ 3 เสมอ แต่ในเวลาเดียวกันเขาเตือนว่าอย่าไปทำร้ายหรือลงโทษตัวเอง บางครั้งการสู้แบบ underdog จะให้ความรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนแพ้”​ เสมอ ถ้าตั้งสติได้จะรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร และสู้แบบ underdog ไปเพื่ออะไร เมื่อรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แม้บางทีเหนื่อย แต่จะมีพลังไปต่อเสมอ
1
“เรารู้ว่าเราทำเพื่ออะไร มีความหมายและยิ่งใหญ่กับเรา เราจะสู้กับมันได้เรื่อย ๆ แม้กระทั่งความล้มเหลวจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ เหมือนสะดุดก้อนหินตอนวิ่ง สุดท้ายเส้นชัยอยู่ตรงหน้าเราวิ่งต่อสิ”
สิ่งที่เขาพลาดที่สุดในชีวิต คือ เขาไม่รู้จักจังหวะผ่อนของชีวิต และนั่นคือสิ่งที่เขาเสียใจมากที่สุด จังหวะผ่อนของชีวิตคือสิ่งที่เขาไม่มี และทำให้เขาพลาดบางเรื่องไป การโฟกัสเรื่องงานเป็นเรื่องใหญ่ ตอนที่คุณพ่อเสียชีวิต ทำให้เขาไม่สามารถไปหาท่านได้ทันที
เขาตัดสินใจว่าจะโฟกัสที่ต้องทำงานตรงนั้นให้จบ ตอนนั้นงานนั้นเป็นงานที่สำคัญและเพราะคำสอนของพ่อที่อยากให้ทำงานให้เสร็จ พ่อภูมิใจมากที่เขาได้ทำงานกับ KBANK และ KBTG
“พ่อจะพูดเสมอว่า อย่าทำให้คุณปั้นผิดหวัง”
แต่สิ่งนั้นทำให้เขาแทนที่จะตัดสินใจและเชื่อใจให้ลูกน้องดูแลงานตรงนั้นไป แล้วเขาไปงานศพคุณพ่อและอยู่กับครอบครัวทันที เขากลับรอจนถึงวันรุ่งขึ้น แล้วสุดท้ายสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาเสียใจและใช้เวลานานมากกว่าที่จะเยียวยาความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตขนาดนี้
“จงทำสิ่งที่คุณจะไม่เสียใจ โดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือเรื่องการดูแลครอบครัว”
1
บางครั้งต้องรู้จักผ่อนจังหวะชีวิต สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ และเขาไม่อยากให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างที่เขา
“จะโฟกัสที่ความฝันส่วนตัวอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมองคนรอบข้าง มองครอบครัว”
เขาบอกกับทีมงานที่ KBTG เสมอว่าชัยชนะไม่มีความหมายเลยถ้าคุณไปฉลองชัยชนะนั้นคนเดียว โดยปราศจากคนรอบตัวและรอบข้างที่คุณรัก ในขณะเดียวกันการพ่ายแพ้ก็จะเป็นเรื่องชั่วคราวและคุณจะไม่พ่ายแพ้ลำพัง ถ้าคุณมีทีม เพื่อน และครอบครัวที่คอยฉุดดึงคุณขึ้นมา
1
ถึงวันนี้เป้าหมายหลายอย่างเขาทำได้แล้ว แต่เขาไม่หยุดตั้งเป้าหมาย เขาขยับเป้าหมายออกไป เขาบอกว่า พอใกล้สำเร็จก็จะขยับเป้าหมาย ชีวิตถึงจะมีควาหมายและสนุก ไม่เฉพาะสำหรับเขาเท่านั้นบุคลากรในองค์กรก็เช่นกัน คนเก่ง ๆ จะต้องถูกท้าทายอย่างต่อเนื่อง
ตัวเขาเองมีความฝันใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นความฝันที่ไม่มีวันจบ ฝันจบเมื่อตาย เพราะเมื่อไรที่เลิกฝันอะไรที่ใหญ่ขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับ zoombie คือมีชีวิตแต่ข้างในตายไปแล้วเพราะไม่มีความฝัน เขาจึง “ฝันให้ใหญ่ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มีวิจัย ไม่ยอมแพ้ ใจสู้ และมีภรรยาที่ดี”
เขา บอกว่า ภรรยา (จันทนารักษ์ ถือแก้ว) เป็นลมใต้ปีกที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ในทุก ๆ เรื่องของเขา เป็นคนที่สนับสนุนเขาในทุกอย่างรวมถึงเป็นคนที่ฉุดเขาขึ้นมาจากจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต ตอนที่เขามีปัญหา สิ่งที่เขาขาดคือขาดคนเขกกบาล
“เขาเป็นลมใต้ปีก เป็นดาวเหนือนำทาง เป็นความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ เป็นคนเขกกบาลเตือนสติเรา เป็นทุกอย่างให้เราในการสร้างชีวิตที่ดีขึ้นไปร่วมกัน”​ เขากล่างทิ้งท้าย
1
ด้วยพลังสมอง พลังกาย และพลังใจที่เขามี เขาจะทุ่มเทเพื่อเปลี่ยนประเทศด้วยการศึกษาผ่านการทำงานทุกงานที่เขามีส่วนไม่ว่าจะในบทบาทไหน นี่คือ ความเชื่อและการลงมือทำแบบกัดไม่ปล่อยตามแบบฉบับของ “กระทิง”
โฆษณา