9 ต.ค. 2022 เวลา 04:00 • หนังสือ
สมมติว่าคุณคือนักพูดระดับพระกาฬ อย่างคุณโน้ส อุดม เปิดทอล์กโชว์ที่ไหน คนต้องรีบซื้อบัตรเพื่อไปฟังคุณที่นั่น แต่อยู่ๆ วันหนึ่งคุณก็ได้รับจดหมาย ดูเหมือนจะสอดมาใต้ประตู มีใจความว่า
"เนื่องจากมีการปรับนโยบาย ทางเราจึงต้องขอขึ้นค่าเช่าสถานที่ อีกสามเท่าตัว"
1
ป.ล. ปิดท้าย จากผู้จัดการโรงแรม
ปัญหาของเรื่องนี้คือคุณไม่อยากจ่าย ต่อให้ขายบัตรได้ เอามาจ่ายค่าเช่าก็ขาดทุนอยู่ดี ครั้นจะเลิกก็ไม่ได้ เพราะบัตรก็ขายไปมากโขแล้ว คำถามคือ คุณจะทำยังไง?
จะทำยังไงให้ยังจัดงานต่อไปได้ และไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแพงแสนแพงถึงสามเท่าตัว?
คำตอบซ่อนอยู่ที่การจับปลาครับ และนี่คือเรื่องที่เกิดจริงกับสุดยอดนักพูดที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก
1
เดล คาร์เนกี
เดล คาร์เนกี คือนักพูดชาวอเมริกัน เขาเป็นเจ้าของคอร์สพัฒนาตัวเอง ทักษะการขาย แถมยังเขียนหนังสือออกมามากมายจนติดเบสเซลเลอร์อีกนับสิบเล่ม หนึ่งในนั้นคือ "วิธีชนะมิตรและจูงใจคน"
เดล คาร์เนกี กับหนังสือวิธีชนะมิตรและจูงใจคน
ในหนังสือเล่มนี้ มีอยู่ประโยคหนึ่งที่สรุปวิธีการ ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการไว้ได้สั้นและกระชับที่สุด นั่นคือ "ถ้าอยากได้ในสิ่งที่คุณต้องการ จงพูดในสิ่งที่คนอื่นต้องการ"
2
เดล เปรียบเทียบกับตอนที่เขาไปตกปลา เขาเป็นคนชอบกินสตรอว์เบอร์รี่มาก แต่ไม่เคยเอาสตรอว์เบอร์รี่ไปตกปลาเลยสักครั้งเดียว เพราะเขารู้ดีว่าปลาไม่ได้ชอบอย่างเขา มันชอบไส้เดือน ฉะนั้นถ้าอยากได้ปลา เขาต้องใช้ไส้เดือน
2
เช่นเดียวกับคน เขารู้ดีว่าถ้าอยากให้คนอื่นทำอะไร เอาแต่พูดความต้องการของตนเองอย่างเดียวคงไม่พอ ถ้าไม่เลือกเหยื่อหรือเลือกคำพูดให้ถูกต้อง เขาอาจไม่ได้รับอะไรกลับมา
1
แต่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เขารู้จะใช้ได้จริงหรือเปล่า จะใช้กับคนได้จริงไหม จนกระทั่งจดหมายฉบับนั้นมาถึง พร้อมกับค่าเช่าที่ทวีคูณถึงสามเท่า
เขาเห็นปลาตัวนั้นแล้ว ได้โอกาสที่จะพิสูจน์มันจริงๆ เสียที
1
"ผมตะลึงไปครู่หนึ่งพอได้อ่านจดหมาย" เดลบอกผู้จัดการโรงแรม ทันทีที่เขาเจอหน้ากัน
1
"แต่ผมไม่โกรธหรอกนะครับ เพื่อผลประโยชน์ของโรงแรม เป็นผม ผมก็คงทำแบบเดียวกัน"
1
แน่นอนว่าเดลไม่โกรธ เขารู้ดีว่าโรงแรมก็สนใจแต่เม็ดเงินที่จะได้ และต่อให้เขาพูดในสิ่งที่เขาต้องการ(ว่าอย่าขึ้นค่าเช่า) มากขนาดไหน ทางโรงแรมก็คงไม่สนใจเขาอยู่ดี คิดได้แบบนั้น เขาจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งพร้อมปากกาที่วางอยู่ใกล้ๆ มาขีดเส้นแบ่งตรงกลาง
2
สิ่งที่คุณจะได้ และสิ่งที่คุณจะเสีย
"ฝั่งสิ่งที่คุณจะได้" เดลพูดพร้อมบรรจงเขียน "อย่างแรกเลยคือ ห้องประชุมของคุณจะว่าง"
และการที่ห้องประชุมว่าง ก็จะเปิดโอกาสให้ทางโรงแรมได้รับลูกค้าใหม่ๆ ที่มีกำลังจ่ายมากขึ้นถึงสามเท่า ได้ฟันกำไรตามที่ใจหวัง ส่วนตัวเขาเองคงต้องย้ายออก เพราะคงเช่าต่อไม่ไหวจริงๆ ด้วยราคาขนาดนี้
2
"แต่ฝั่งสิ่งที่คุณจะเสีย" เขาขยับมาอีกฟากหนึ่งของกระดาษ
"แทนที่คุณจะได้ค่าเช่าจากคนที่ยอมจ่ายแพงกว่าผม บางทีคุณอาจจะต้องลดค่าเช่าลงมา หรือไม่ได้เลยสักแดงเดียว เพราะความเป็นจริง คงไม่มีใครยอมจ่ายด้วยราคาแพงขนาดนี้หรอก"
3
"และอีกอย่างหนึ่ง" เขาเว้นจังหวะก่อนพูดต่อ "คืองานบรรยายของผม จะมีคนมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก มองอีกมุมหนึ่งก็เหมือนเป็นการโฆษณาโรงแรมไปในตัว ถามว่าถ้าคุณเอาเงินหลักหมื่นหรือแสนไปทำโฆษณา จะคุ้มค่าได้เท่ากับงานบรรยายของผมครั้งเดียว ครั้งนี้หรือ"
2
เดลวางปากกาลง พร้อมเลื่อนกระดาษไปข้างหน้าเล็กน้อย "ลองเก็บไปพิจารณาดูอีกทีนะครับ คุณผู้จัดการ"
เชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงรู้แล้วล่ะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้จัดการนำจดหมายมาเสียบ สรุปจากเดิมที่ขอขึ้นค่าเช่าสามเท่า เหลือขอขึ้นเพียง 50 เปอร์เซนต์เท่านั้น ซึ่งความพิเศษของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ เดล คาร์เนกีไม่ได้พูดสักคำเดียวว่าเขาต้องการอะไร
เขาไม่ได้พูดเลยว่าไม่ต้องการให้ขึ้นค่าเช่า สิ่งเดียวที่เขาทำคือ พูดแต่สิ่งที่ผู้จัดการโรงแรมต้องการ พูดถึงแต่สิ่งที่โรงแรมจะได้ และจะเสีย และยิ่งข้อเสียนี้ทำให้โรงแรมเสียโอกาสมากเท่าไหร่ โอกาสที่เขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการก็จะมากขึ้นเท่านั้น
1
กลับกัน ถ้าเขาอ่านจดหมายแล้วรีบไปตีโพยตีพาย เอาแต่พูดว่ามาทำแบบนี้ได้ยังไง ขายบัตรไปจะหมดแล้วนะ คิดไปคิดมาก็เหมือนตกปลาด้วยสตรอว์เบอร์รี่เหมือนกันนะครับ คือรู้แน่ล่ะว่าตัวฉันต้องการอะไร แต่ไม่รู้ใจปลา ชาตินี้ให้ตายยังไงก็คงตกไม่ได้สักที
2
ถ้าจะเอาเรื่องนี้ไปปรับใช้ ถ้าอยากให้ใครสักคนรักสุขภาพ ก็อย่าลืมพูดให้เห็นภาพนะครับว่าพอสุขภาพดี แล้วชีวิตแฮปปี้ขนาดไหน ตอนสุขภาพย่ำแย่ เราต้องจ่ายค่าอะไรเท่าไหร่
1
หรือถ้าอยากได้เพื่อนออกกำลังกาย ก็อย่ามัวคะยั้นคะยอให้เพื่อนไปออกกับเราซะล่ะ พูดให้เห็นภาพไปเลยครับว่าคุณมั่นใจแค่ไหน ตอนที่หุ่นเราโคตรดี
ถ้าอยากได้ในสิ่งที่เราต้องการ
จงพูดในสิ่งที่คนอื่นต้องการ
และเมื่อคนอื่นเกิดความต้องการ
เมื่อนั้นคุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ
เดล คาร์เนกี
3
คงไม่เกินไปนักที่จะบอกว่าทั้งบทความ สรุปอยู่แค่ในประโยคนี้เพียงประโยคเดียว
2
#WDYMean
#หวังว่าจะได้ไอเดียดีๆ กลับไปไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณที่อ่านบทความนี้จนจบครับ
#อ้างอิงจาก หนังสือ How to win friends and influence people (วิธีชนะมิตรและจูงใจคน)
โฆษณา