15 ธ.ค. 2022 เวลา 11:00

โสตาปัตติยังคะ ๔ หรือ โสดาบัน เบื้องต้น

ในข้อธรรมที่ว่า เราจะทราบว่า เราเข้าถึงฐานะโสตาปัตติยังคะ 4 หรือ พระโสดาบันเบื้องต้นแล้วหรือยัง ในเรื่องนี้จะอาศัยเอาพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมหาปรินิพพานสูตร ข้อ89 เป็นเบื้องต้น หรือมิตตามัจจสูตร ข้อ1493 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่19 บ้าง หรือพระสูตรอื่นๆในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่9 บ้าง เป็นที่ตั้ง
ในเรื่องที่ต้องตั้งเนื้อความแห่งธรรมว่าเรานั้นเป็นผู้เข้าถึงฐานะ แห่งความเป็นโสตาปัตติยังคะ 4 หรือพระโสดาบันเบื้องต้นแล้วหรือยังดังนี้นั้น ก็คงจะเนื่องจากเมื่อพวกเราได้ฟังธรรม ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ท่านได้แสดงเอาไว้ในมหาปรินิพพานสูตรข้อ89
ที่พระองค์ท่านได้แสดงให้กับท่านพระอานนท์ และหมู่พระภิกษุสงฆ์ได้รับฟังดังนี้ว่า ดูกรอานนท์ ข้อที่ผู้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วจะพึงทำกาละนั้นไม่อัศจรรย์ แต่เมื่อผู้นั้นๆกระทำกาละแล้ว พวกเธอจักเข้าไปเฝ้าพระตถาคต แล้วทูลถามเนื้อความนั้น อันนี้เป็นความลำบากแก่พระตถาคต เพราะฉะนั้น เราจักแสดงธรรมปริยาย ชื่อธรรมาทาส สำหรับที่จะให้อริยสาวกผู้ประกอบแล้ว
เมื่อจำนงจะอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรกสิ้นแล้ว เรามีกำเนิดแห่งสัตว์ดิรัจฉานสิ้นแล้ว เรามีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในภายหน้าดังนี้
นี่คือเนื้อความแห่งธรรมในมหาปรินิพพานสูตรที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงให้กับท่านพระอานนท์ และหมู่พระภิกษุสงฆ์ได้ฟัง เมื่อเราได้ฟังแล้ว เราก็รู้สึกยินดีในโสตาปัตติยังคะนั้น แล้วทำให้เราได้เกิดความสงสัยว่าตนนั้นเป็นผู้เข้าถึงโสตาปัตติยังคะหรือยัง
และโดยเฉพาะเมื่อเราได้ฟัง มิตตามัจจสูตร ข้อ1493 ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงโสตาปัตติยังคะ 4 ให้กับบรรดาพระภิกษุสงฆ์ได้ฟังอีกชั้นหนึ่งดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงอนุเคราะห์เหล่าชนผู้เป็นมิตรอำมาตย์ ญาติหรือสาโลหิต ผู้ที่สำคัญโอวาทว่า เป็นสิ่งที่ตนควรฟัง พึงยังชนเหล่านั้นให้สมาทาน ให้ตั้งมั่น ให้ดำรงอยู่ ในองค์แห่งธรรมอันเป็นเครื่องบรรลุโสดา 4 ประการ
องค์แห่งธรรมอัน/เป็นเครื่องบรรลุโสดา 4 ประการเป็นไฉน คือ พึงให้สมาทาน ให้ตั้งมั่น ให้ดำรงอยู่ ในความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า1
ในพระธรรม1
ในพระสงฆ์1
ในศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงอนุเคราะห์เหล่าชนผู้เป็นมิตรอำมาตย์ ญาติหรือสาโลหิต ผู้ที่สำคัญโอวาทว่า เป็นสิ่งที่ตนควรฟัง พึงยังชนเหล่านั้นให้สมาทานให้ตั้งมั่น ให้ดำรงอยู่ ในองค์แห่งธรรมอันเป็นเครื่องบรรลุโสดา 4 ประการนี้
นี่คือองค์แห่งธรรมที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศชัด นอกจากตนได้รู้ว่าโสตาปัตติยังคะนั้นคือตนจะต้องเป็นผู้ที่เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า1
เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม1
เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระภิกษุสงฆ์1
และผู้ประกอบด้วยอริยกันตศีล 4 ประการนี้ด้วยตน
แล้วยังบ่งบอก ยังบ่งชี้ ยังแนะนำ ยังตรัสสั่งว่า ให้เธอยังชนที่เป็นมิตร อำมาตย์ ญาติหรือสาโลหิต ใหสมาทานให้ตั้งมั่นให้ดำรงอยู่ในโสตาปัตติยังคะ 4 นี้ เมื่อตนเองรู้แล้วก็ให้คนอื่นรู้ตามด้วย นี่คือสิ่งที่สำคัญในโสตาปัตติยังคะ 4
ดังนั้นเมื่อเราได้เห็นธรรมดังนี้แล้ว ทำให้เกิดความสงสัยว่าเบื้องต้น ตนเข้าถึงความเป็นโสตาปัตติยังคะ 4 นี้ หรือความเป็นพระโสดาบันเบื้องต้นแล้วหรือยัง ในเรื่องนี้เราต้องมาดูตามลำดับว่า ในประการที่1ที่ว่า เรามีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นในพระพุทธเจ้าคืออย่างไร?
ประการที่2 เราเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมคืออย่างไร?
ประการที่3 เรามีความเลื่อมใส่อันไม่หวั่นไหวในพระภิกษุสงฆ์คืออย่างไร?
และประการที่4 เราเป็นผู้ประกอบด้วยอริยศีล หรืออริยกันตศีลที่พระอริยใคร่แล้วคืออย่างไร? เรามาดูกันไปตามลำดับ ดังนี้
ในสามัญญผลสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่9 พระสูตรที่2 ในบรรดาพระสูตร 13 พระสูตรนี้ ยกเว้นพรหมชาลสูตรพระสูตร พระสูตรเดียวที่ไม่แสดงเรื่องนี้ นอกนั้นแสดงความเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ดังนี้
ท่านตรัสกับท่านพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ดูกรมหาบพิตร พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
นี่คือฐานะแห่งความเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราจะต้องรู้ เพื่อเราจะได้เห็นว่าเรานั้นมีความเลื่อมใสในพระองค์ท่านอย่างไม่หวั่นไหวอย่างไร เบื้องต้นเราทราบแล้วว่าองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมัยพระองค์ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานที่จะประพฤติตนให้เข้าถึงความเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เริ่มจากจุดเบื้องต้นตั้งแต่ 4 อสงไขยกับแสนกัปมาแล้ว
โดยพระองค์ท่านพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาเรื่อยๆมาเรื่อยๆ ฟังธรรมนั้นเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิมาก่อน แต่ไม่บรรลุธรรม อาการนี้เกิดอยู่ 4 อสงไขยกับแสนกัป จนมาถึงพระชาติที่เป็นสมณโคดมนี้ อุบัติขึ้นแล้วในโลก เกิดขึ้นมาแล้ว 35 ปี อยู่มีพระชนชีพอยู่มาจนถึง 35 ปี ออกบวชแล้วจึงบรรลุธรรม
โดยสภาวะที่บรรลุธรรมก็คือ ทุกชาติๆ ธรรมที่ฟังเนื่องๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี
"โส มุฏฐัสสติ กาลัง" เธอมีสติหลงลืมๆๆไปทุกชาติๆ ทุกชาติเลย แต่เธอก็เข้าสู่ฐานะที่ "กุรุมาโน อัญญตรัง เทวนิกายัง" เธอเข้าสู่เทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง มีความสุขอยู่ในภพนั้น "อุปปัชชติ ตัสส ตัตถ สุขิโน" บทแห่งธรรมได้ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้น
ลืมไปทุกชาติแต่พอมาเป็นพระชาติสมณโคดมนี้อายุ 35 ปี 35 พรรษา องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ คือบทแห่งธรรมนั้นปรากฏแก่พระองค์ท่านเอง คือพระชาตินี้พระองค์ท่านไม่ได้ฟังธรรมจากใคร แต่ฟังมาก่อนนั้นฟัง แต่ลืม มาชาตินี้อุบัติขึ้นเอง ให้เราเห็นฐานะแห่งอานิสงส์แห่งการฟังธรรมประการที่1 ดังนี้
โดยเราเห็นว่าตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ก็คือถึงตรงนี้ ถึงสภาวะที่บทแห่งธรรมนั้นปรากฏแก่พระองค์ท่านเอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เราเห็นหรือยังว่าวิชชาของท่านคืออะไร?
ประกอบไปด้วย 8 ประการ คือ
วิปัสสนาญาณ
มโนมยิทธิ
อิทธิวิธญาณ
ทิพยโสต
เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
จุตูปปาตญาณ
อาสวักขยญาณ
นี่คือวิชชา8 ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พวกเราทุกคน *ทุกคนไม่มียกเว้น ต้องรู้วิชชา 8 นี้ เรื่องนี้ได้พูดไว้แล้ว
ต้องรู้ในวิชชา8 และ จรณะ15
เป็นจรณะ15 ซึ่งทุกคนก็จะต้องรู้ต้องปฏิบัติในธรรมนี้ เพราะนี่คือธรรมที่ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นการปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมหรือมหาสติปัฏฐาน4 นั่นเอง คือตรงนี้
จรณะ15 ประกอบไปด้วย
ศีลสังวร อินทรีย์สังวร โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค นี่ 4 ข้อแล้ว
ลำดับต่อไปเป็นสัปปุริสธรรม7
คือ 1ศรัทธา 2หิริ 3โอตตัปปะ 4พหุสัจจะ 5วิริยะ 6สติ 7ปัญญา สิ่งเหล่านี้จะต้องมีในตัวเราทุกคน
สี่บวกเจ็ดแล้วเป็นสิบเอ็ด เหลืออีก 4 องค์ ก็คือฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 ใครทำฌานไม่เป็น บุคคลผู้นั้น ยังไม่ถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใสในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "วิชชาและจรณะ" หรืออย่างน้อยจะต้องเป็นผู้รู้ในเรื่องนี้ก่อน นี่คือความสำคัญที่เราจะต้องรู้ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในส่วนที่ว่า เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นบุรุษที่สามารถฝึกบุรุษอื่นที่ไม่มีใครยิ่งกว่านั้น เราเห็นชัด เราเห็นชัดอยู่ในเรื่องนี้ ว่าไม่มีใครสามารถเทียมเท่าท่าน
พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
เป็นเวสารัชชธรรม ตรัสรู้ก็คือ ตรัสรู้จนสิ้น สิ้นอาสวะก็สิ้นจนสิ้น แสดงธรรมเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสำเร็จ แสดงธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดธรรมนั้นก็สำเร็จ นี่คือฐานะขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะต้องรู้ นี่คือฐานะของท่าน เมื่อเห็นท่านดังนี้ เราเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระองค์ท่าน เป็นสำคัญประการที่1
ประการที่2 คือ เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ธรรมที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คืออริยสัจ4 อันประกอบไปด้วย 1ทุกข์ 2สมุทัย 3นิโรธ 4มรรค เราเป็นผู้เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว เราต้องรู้ข้อธรรมนี้
ทุกข์คืออะไร? อริยสัจ4 ข้อที่1 ทุกข์ คือ ความที่ต้องเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตายในวัฏสงสารไม่สิ้นสุด ไปในนรกบ้าง เดรัจฉานบ้าง เปรตบ้าง มนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง ไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุแห่งทุกข์นี้คือ อวิชชาและตัณหา
อวิชชาในเรื่องอะไร? เราไม่รู้ในทุกข์ ไม่รู้ในสมุทัย ไม่รู้ในนิโรธ ไม่รู้ในมรรค8
นี่คือสิ่งที่ไม่รู้ คือไม่รู้ในข้อธรรมสำหรับปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ เราไม่รู้ในชาติอดีต เราไม่รู้ในชาติอนาคต เราไม่รู้ในชาติปัจจุบันนี้ และที่แน่ๆคือเราไม่รู้อิทัปปัจจยตา นี่คือสาเหตุของความทุกข์ เป็นอวิชชาอยู่ตรงนี้เราต้องรู้
เมื่อเรารู้ทุกข์แล้ว นี่ข้อต่อมาคือสมุทัย ตรงนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ ดังที่ได้แสดงเมื่อซักครู่นี้ เหตุแห่งทุกข์คืออวิชชาคือ ไม่รู้ในทุกข์ ไม่รู้ในสมุทัย ไม่รู้ในนิโรธ ไม่รู้ในมรรค ไม่รู้ในอดีต เราไม่รู้ในอนาคต ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต
ไม่รู้ในอิทัปปัจยตา คือเรื่องของจิตวิญญาณ เราไม่รู้
เราไม่รู้ว่าเราต้องทุกข์อยู่เพราะตัณหา ตัณหาที่กระทำให้เกิดภพใหม่ ที่สหรคตด้วยความกำหนัดยินดีในกามทั้งหลาย ประกอบไปด้วยอารมณ์ความกำหนัด ประกอบพร้อมในความยินดีในอารมณ์นั้นๆพร้อม นั่นคือตัณหา เรายังอยู่ตรงนั้น
เมื่อเราเห็นทุกข์แล้ว เรารู้ข้อต่อมาคือข้อดับทุกข์ คือนิโรธ เราต้องรู้ว่าสภาวะนิโรธนั้นคือความดับทุกข์อยู่ 2 ประการ นิโรธที่1 คือ สมถะ เห็นทุกข์เกิดขึ้นครั้งแรกดับด้วยสมถะ
สมถะนี้คือองค์ธรรมที่ชื่อว่าโพธิปักขิยธรรม
หรือที่แสดงเอาไว้ในมหาสิตปัฏฐานสูตร เราต้องรู้
ประการที่2 เรารู้ว่าทุกข์ที่จะมีดังนี้มีอยู่ทั่วไปเลย ที่จะเกิดในชีวิตเราต่อไป ทุกข์ตัวนี้เราดับด้วยนิโรธที่มีสถานะเป็นวิปัสสนา หรือปัญญาวิมุตติ เราต้องรู้ ซึ่งวิปัสสนาก็ดับด้วยธรรมอันเดียวกัน คือ โพธิปักขิยธรรม อันเดียวกันที่แสดงในมหาสิตปัฏฐานสูตร เราต้องรู้นี่ธรรมของท่าน
ลำดับต่อมาเราต้องรู้ว่า มรรค8 หรือ อริยมรรคมีองค์8 คือ ข้อปฏิบัติสำหรับดับทุกข์นั้น เรารู้ชัดเลยว่าเฉพาะมรรคมีองค์8 นี้ ปฏิบัติเพียงลำพังไม่ได้ ต้องมีองค์ประชุมห้อมล้อม คือ โพธิปักขิยธรรม อันประกอบไปด้วย สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 และมรรคมีองค์8 นี้ เราต้องรู้ในอริยสัจ4 ทั้ง 4 ข้อ ด้วยบทพยัญชนะและความหมาย
ส่วนที่จะบรรลุธรรมที่สุดจนกระทำได้นั้นก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของใคร แต่ต้องรู้ นี่คือรู้ธรรมของท่าน เราต้องรู้สิ่งนี้ก่อน นี่คือเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ธรรมของพระองค์ท่านประกาศเรื่องนี้เรื่องเดียว เพื่อความสิ้นทุกข์จากวัฏสงสารเท่านั้น สู่ปรินิพพานเท่านั้น เรื่องนี้เรื่องเดียว นี่คือความศรัทธาอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม เรามีหรือยัง
ประการที่3 คือเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระภิกษุสงฆ์ เราทราบชัดว่าเอตทัคคะต่างๆหรือพระอรหันต์ต่างๆ ปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ท่านแล้ว มีสถานะเป็นปรินิพพาน เหมือนองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการทั้งนั้น ถ้าเมื่อเราปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะจากพระองค์ท่านโดยตรง หรือจากสมณที่เป็นเอตทัคคะหรือภิกษุผู้รู้ใดๆแล้ว
ถ้าปฏิบัติถูกตรง เรามีฐานะที่จะพ้นทุกข์ได้ทั้งนั้น
เราจึงเลื่อมใสในพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้
*เป็นภิกษุสงฆ์ที่ไม่มิจฉาทิฏฐิ
*ไม่กล่าวตู่พระธรรมคำสอน
*ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ
*ไม่ถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้แล้ว
และเป็นบุคคลผู้ที่สมาทานประพฤติศึกษาในสิกขาบท ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้แล้วทั้งนั้น
นั่นเป็นพระภิกษุสงฆ์ของพระองค์ท่าน แต่ถ้าต่างจากนี้ เราเองต้องพิจารณาเอง นี่คือฐานะที่เราจะต้องเลื่อมใสศรัทธาในพระภิกษุสงฆ์ เราต้องเห็นต้องรู้ฐานะที่3
สำหรับอริยกันตศีล
ศีลนั้น องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติชัดเจน มี 3 ศีล
คือม จุลศีล 26ข้อ อยู่ใน12พระสูตร ในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่9
เริ่มจากสามัญญผลสูตรไปจนถึงเตวิชชสูตร
1จุลศีลมี 26 ข้อ
2 มัชฌิมศีล 10 ข้อ
3 มหาศีล มี 7 ข้อ
รวม เป็น 43ข้อ ทั้งหมดนี้คือศีลหลักจะต้องรู้
ถ้าย่อลงมาก็จะเหลือศีล5 ศีล8 ศีล10 ตามลำดับ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าเราจะกระทำเพื่อให้เราเป็นผู้ที่ไปสู่ความสิ้นทุกข์จริงๆ เราจะต้องดูศีลทั้งหมดนั้นให้ถ้วนรอบ แต่ถ้าโดยย่อนี้ก็สุดยอดแล้ว ขอให้ทำให้ได้ นั่นเราเป็นผู้ประกอบด้วย ฐานะแห่ง โสตาปัตติยังคะ 4 นี้แล้ว แต่ถ้ายังไม่ถึงเราก็จะต้องทำความเข้าถึงให้ได้ เพื่อให้ตนเองพยากรณ์ตนเองได้
ไม่ใช่สักแต่ว่า ความที่เป็นโสตาปัตติยังคะคือเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า เพียงแต่ปากเพียงแต่พูดไม่รู้ไม่เห็นคุณสมบัติที่แท้จริงไม่ได้ ลำดับต่อไปพระธรรมคืออะไรบ้างดังที่ได้กล่าวมาชั่งมากมายเหลือเกิน แต่หลักๆแล้วอยู่ที่อริยสัจ4 นี้
พระภิกษุสงฆ์คือใคร ศีลของพระองค์ท่านคืออะไร ถ้าเมื่อเราได้เห็นชัดในเรื่องนี้ นั่นเราเป็นผู้ที่เข้าสู่ความเป็นฐานะแห่งโสตาปัตติยังคะ 4 หรือพระโสดาบันเบื้องต้น
จึงมั่นใจเถอะว่า ถ้าเราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ส่งตนเข้าไปอย่างนี้ เราจะเป็นผู้ที่เป็นไปตามธรรมของพระพุทธเจ้า คือ เป็นพระโสดาบัน โสตาปันโน อวินิปาตธัมโม เราเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา นิยโต เป็นผู้เที่ยง สัมโพธิปรายโน มีอันจะตรัสรู้หรือกระทำความเป็นที่สุดแห่งทุกข์ได้ในเบื้องหน้าแน่นอน
โสดาบันหนึ่งชาติบ้าง สองถึงสามชาติบ้าง เจ็ดชาติบาง รับรู้ว่าท่านไม่หลุดจากความเป็นมนุษย์ที่มาสู่พุทธศาสนานี้แน่นอน แม้เจ็ดชาติก็ตาม
สกทาคามีหนึ่งชาติ ไปชาติเดียวแล้วกลับมาเลย เข้าสู่อนาคามี อนาคามีอายุสั้นมาก ไม่เต็มวันซักคน ถ้าจะปรินิพพานตรงนี้ไม่เต็มวันซักคน ยาวที่สุด ยืนที่สุด คือ ท่านปุกกุสาติ หรือท่านพระพาหิยทารุจีริยะ นอกนั้นสั้นลงๆแม้กระทั่งเสียชีวิตแล้วจึงปรินิพพานก็มี เราต้องเห็น
ลำดับต่อไปที่เป็นพระอรหันต์นั้น
ก็หลังจากที่ทะลุจากความเป็นพระอนาคามีขึ้นไป ไม่ใช่มาถึงพระอนาคามีแล้วปรินิพพานทุกคน ปรินิพพานนั้นเป็นฐานะของ โอปปาติกะ เรื่องนี้เราจะพูดกันทีหลัง แต่ตอนนี้ให้เรารับทราบโสตาปันนี้ให้ได้ก่อน
เชื่อมั่นว่าทุกคนจะค่อยๆ หรือตั้งมั่น ส่งตนเข้าไปในธรรมดีแล้ว กระทำบรมสัจจนี้ให้แจ้งด้วยกาย และ แทงตลอดในบรมสัจจนี้ด้วยปัญญา ตามลำดับให้จงได้
อ้างอิง
มหาปรินิพพานสูตร ข้อ89 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่10
มิตตามัจจสูตร ข้อ1493 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่19
สามัญญผลสูตร ข้อ102 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่9
พอดคาสต์เกี่ยวข้องกัน 👇
พระโสดาบัน กับ วิชชา8
พระโสดาบัน กับ จรณะ 15
รายละเอียดเพิ่มเติมในธรรมส่วนอื่นๆ สามารถรับฟังได้ที่นี้
PODCAST 👇
แนวทางสู่โสดาบัน✔

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา