17 ก.ค. 2023 เวลา 02:09 • ความคิดเห็น
ศูนย์การศึกษาเขาแก้วเสด็จ
เวลามองดูผู้ที่มาครองผ้ากาสาวพัสตร์..ครองผ้าเหลือง เรานึกไปถึงองค์พระสิทธัตถะ ท่านหนีออกจากปราสาทสามหลัง หนีลูกหนีเมีย ..ในอดีตชาติ เป็นพระเวสสันดร ..ท่านหนี สละทรัพย์สมบัติ สละลูก ..แต่กลับมาอยู่เวียงวัง หนีไม่พ้น พอมาชาติพระสิทธัตถะ ท่านก็หนีอีก เพราะบุญบารมีที่สะสมมา ท่านหนีไปอยู่ป่า ไปทนทุกข์ทรมาน จากเจ้าชาย..สุขสบาย..ไปอยู่คนเดียวปราศจากข้าทาสบริวาร ไปสะสางจิต ..พิจารณาใคร่ครวญ เรื่องราวอะไรต่างๆมากมายก่ายกอง
แล้วท่านบอกหนทางให้ผู้ที่เป็นสาวกท่าน..ไปกระทำในเรื่องราวรอยทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอน ให้จิตไม่พัวพันด้วยอารมณ์นึกคิด มีแค่คำภาวนา พุทโธ ..อย่างเดียว .มีกิริยาที่นอบน้อม สำรวมกายจิต ..มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นบรมครู ..สาวกทุกพระองค์ ท่านก็นั่งในกิริยานอบน้อม นั่งพับเพียบ น้อมนอบต่อธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อมาครองผ้ากาสาวพัสตร์ ที่เป็นเครื่องหมายของผู้ที่มีธรรม ท่านก็ระมัดระวังสอดส่อง ชำระสะสางจิตของท่าน โดยอาศัยกิริยาทั้งสี่ที่พระพุทธเจ้าชี้ทางให้ ท่านก็ทำให้กายนิ่งจิตนิ่ง ..เดินยืนนั่งนอน จิตก็ไม่อารมณ์นึกคิด ไปคล้องเวรกรรมกับใคร ไม่เอารูปนั้นรูปนี้มายึดให้เป็นภาระตัดขาดนิสัยที่ส่งให้เวียนว่ายตายเกิด ด้วยความขันติบารมี
พิจารณาไปถึงน้ำเลือดน้ำหนอง ที่หล่อเลี้ยงสังขาร หล่อเลี้ยงธาตุนะโม คุณของธาตุนะโม ผสมกับธาตุทั้งสี่ ธาตุที่มีกรรม ..ทำให้เป็นธาตของกรรม เป็นธาตุธรรม ขัดกายขัดธาตุทั้งสี่.ขัดกายวาจาใจ ขันธ์ทั้งห้า วิญญาณทั้งหกให้สะอาดสะอ้าน เป็นแก้วเจียระไน ..หยุดยั้งการเกิดได้ นั่น คือจิตที่เป็นพระ
คราวนี้..เรามาดูกัน เมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยมานาน มันก็มีเรื่องราวจิตหนึ่ง คิดจะครองศาสนา เมื่อมาครองผ้ากาสาวพัสตร์ ..ขอบวชในโบสถ์ ..รับขอนิสัย..อะไรในโบสถ์ พอพ้นโบสถ์ .ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้นเองเค้ามาขอ ..ไปเอาเรื่องราวไสยศาสตร์ เรื่องอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่คำสอนของท่านนำเข้ามา มาบวชเพื่อลอยอารมณ์ สะสางอารมณ์โลภโกรธหลง ออกไป .องค์พระสิทธัตถะท่านหนีเวียงวัง แต่นักบวชนำพาสร้างอะไรใหญ่โตให้เป็นเหมือนเวียงวัง
พระสิทธัตถะไปอยู่ในป่าอดอยากตากแดดตากฝนกว่าจะได้ถึงธรรม แต่สมัยเค้าบวชหาที่สุขสบาย แล้วจะรู้จักทุกข์พ้นทุกข์ไปได้อย่างไร เห็นชาวบ้านเค้าถวาย นอบน้อมถวาย..ปัจจัยที่เหน็ดเหนื่อย ..ระลึกถึงพระคุณพ่อแม่ น้อมนำถวายองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อเห็นผู้ครองผ้าเหลืองครองกาสาวพัสตร์ เค้าน้อมนอบกราบผ้าเหลืองเครื่องหมายของธรรม น้อมไปจิตไปหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบด้วยจิต..มิใช่กราบด้วยอารมณ์ กราบเพื่อให้ถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ (กราบแบบไม่ไปยึดที่ตัวบุคคล..ผู้ที่ครองผ้าเหลือง .กราบพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ผ่านเครื่องหมายของธรรม กราบผ่านพระแม่ทั้งสี่ ที่ประกอบเรือนกาย กราบให้ถึงคำว่าดินฟ้าอากาศ เป็นสักขีพยานในการกราบ ..ผู้ที่ที่ให้เค้ากราบแบบนี้ จะทำจิตอย่างไร)
..สิ่งเหล่านี้ ..ล้วนเป็นเรื่องบุญกุศลที่ผู้กระทำต้องการแปรสภาพวัตถุนั้นให้เป็นบุญ สิ่งที่ไปบำรุงกายนักบวช ก็น้ำเลือดน้ำหนองความเหน็ดเหนื่อยกาย เอาธาตุของผู้มีกรรม มาบำรุงธาตุนะโม..ที่ตนอาศัย มีความทุกข์ยากซ่อนเร้นอยู่มีกรรมซ่อนเร้นอยู่
..สิ่งเหล่านี้ จะเกิดเป็นบุญก็เมื่อผู้ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ นั้นปฏิบัติธรรม มีรอยทั้งขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้น สิ่งที่ชาวบ้าน เค้าปรนเปรอให้ก็จะเกิดเป็นกรรม เบียดเบียนกายของตนเอง เรื่องทำนองนี้ เราก็ได้ยินได้ฟัง ..เรื่องนักบวช..ไปตกนรกเมื่อจิตออกจากเรือนกาย ราวเหล็กใหญ่ๆ ยังแอ่นรับน้ำหนักผ้าพที่วางพาด ก่อนลงนรกแถบไม่ไหว
ปล..เรื่องผู้ครองกาสาวพัสตร์ ไม่อยากเขียนมาก กลัวผิดพลาด ..ตกนรกลูกเดียว ..เอาเป็นว่าดูรอยพระเวสสันดร ดูรอยพระสิทธัตถะ..ท่านไปอยู่ในป่า ..ไปทำอะไร ..จนจิตท่านเป็นพระได้ ..แล้วมีสาวกท่านก็สละ บ้านช่อง ทรัพย์สินเงินทองออกบวช..จนบรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..
โฆษณา