16 ก.ย. 2023 เวลา 00:09 • ธุรกิจ

Project Muscle สู่ Gorilla Glass จากโปรเจ็กต์ที่ถูกลืมสู่หน้าจอมือถือเปลี่ยนโลก

ยุคก่อนที่ iPhone จะถือกำเนิดขึ้นมนุษย์เราแทบจะใช้จอมือถือห่วย ๆ ตกนิดตกหน่อยจอก็แตก แถมเป็นพลาสติกที่มีรอยขีดข่วนง่ายมาก ๆ สร้างความปวดหัวให้กับผู้ใช้ทั่วโลก
ในเดือนกันยายนปี 2006 เพียงสี่เดือนก่อนที่ Steve Jobs วางแผนที่จะเปิดเผย iPhone ให้โลกได้เห็น
4
เขาได้ปรากฎตัวขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
1
“ดูนี่สิ” เขาพูดกับผู้บริหารระดับกลาง โดยถือ iPhone เครื่องต้นแบบที่มีรอยขีดข่วนอยู่ทั่วจอแสดงผลแบบพลาสติกเหมือนกับที่มือถือในยุคนั้นทำกัน ซึ่งเพียงแค่กระทบกับกุญแจในกระเป๋ากางเกงก็แทบมีรอยเต็มไปหมดแล้ว
3
“เรามีจอแก้วต้นแบบ แต่มันล้มเหลวในการทดสอบตกจากที่สูงหนึ่งเมตร ที่ทดสอบ 100 ครั้งก็พัง 100 ครั้ง” ผู้บริหารกล่าวกับ Jobs
6
“ฉันแค่อยากรู้ว่านายจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า” Jobs กล่าวอย่างโมโห
แผนเดิมคือการจัดส่ง iPhone ด้วยจอแสดงผลแบบเดียวกับที่ Apple ทำกับ iPod แต่จากการสั่งการของ Jobs ทำให้ทีม iPhone มีเวลาไม่ถึงหนึ่งปีในการหาจอทดแทนที่ต้องผ่านการทดสอบการตก
ปัญหาคือ ไม่มีจอแบบแก้วที่ทำได้อย่างที่ Jobs ต้องการจริง ๆ เพราะแก้วที่นำเสนอโดยบริษัทส่วนใหญ่จะเปราะบางและแตกง่าย หรือไม่ก็หนาจนเกินไป
2
Jobs ที่ต้องการให้ iPhone ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ perfect ที่สุด (CR:Linkedin)
แน่นอนว่าทาง Apple เองก็พยายามหาวิถีทางที่จะเสริมความแข็งแกร่งของกระจกด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ก็อย่างที่เราทราบ ๆ กัน Apple คือบริษัทเทคโนโลยีไม่ได้มีแผนกที่เกี่ยวข้องกับวัสดุศาสตร์ที่จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทำให้การทดลองของพวกเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า
2
แต่เหมือนฟ้าลิขิตมาให้ iPhone ต้องมีหน้าจอที่แตกต่าง เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งของ Jobs ได้แนะนำให้เขาติดต่อกับชายที่ชื่อ Wendell Weeks ซึ่งเป็นซีอีโอของบริษัทแก้วในนิวยอร์กชื่อ Corning
โปรเจ็กต์ที่ถูกลืม
ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 Bill Decker ประธานบริษัท Corning ที่ตอนนั้นผลิตจานแก้วสำหรับ Microwave ได้พูดคุยกับ William Armistead หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท ในเรื่องกระจกที่แตกง่าย ซึ่ง Decker ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่ยอมแก้ไขปัญหานี้เสียที
2
ด้วยเหตุนี้ Corning จึงเปิดตัว Project Muscle โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกระจกใสที่แข็งแรงขึ้น ทีมวิจัยได้สำรวจวิธีการเสริมความแข็งแกร่งของกระจกทุกรูปแบบ
ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสองวิธีคือ เทคนิคการชุบแข็งแบบเก่า หรือการเสริมความแข็งแกร่งให้กระจกด้วยความร้อน และกระจกแบบ Layering รุ่นใหม่ที่ขยายตัวต่างกัน เมื่อแก้วหลายชั้นเย็นตัวลง นักวิจัยหวังว่าพวกมันจะบีบอัดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้าย
4
การทดลองของ Project Muscle ในไม่ช้าก็นำไปสู่วัสดุใหม่ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษได้สำเร็จ
ซึ่งกระบวนการเสริมความแข็งแกร่งทางเคมีอันชาญฉลาดนี้อาศัยวิธีใหม่ที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนไอออน สิ่งแรกคือทรายซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแก้วส่วนใหญ่ ผสมกับสารเคมีเพื่อผลิตอะลูมิโนซิลิเกตที่มีโซเดียมสูง
จากนั้นนำแก้วไปแช่ในเกลือโพแทสเซียมและให้ความร้อนสูงถึง 400 องศาเซลเซียส เนื่องจากโพแทสเซียมจะหนักกว่าโซเดียมในส่วนผสมแบบดั้งเดิม
ไอออนขนาดใหญ่ถูกยัดลงในพื้นผิวแก้ว ทำให้เกิดสภาวะบีบอัด พวกเขาเรียกวัสดุแก้วใหม่นี้ว่า Chemcor ซึ่งมันแข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดามากถึง 50 เท่า สามารถทนแรงกดดันได้สูงถึง 100,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว และยังสามารถที่จะมองทะลุผ่านมันได้
2
ในปี 1962 Corning คิดว่ากระจกใหม่ของพวกเขาพร้อมแล้วสำหรับตลาด แต่ Corning ไม่รู้ว่าจะทำตลาดกับ Chemcor อย่างไร เพราะดูเหมือนว่าคุณสมบัติของมันจะเทพเกินกว่าที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ในตอนนั้น
3
Corning ได้จัดงานแถลงข่าวใหญ่ใจกลางแมนฮัตตันของเมืองนิวยอร์ก เพื่ออวดโฉมกระจกพิเศษนี้ให้โลกได้เห็น พวกเขาได้ทดสอบการกระแทก งอและบิด ซึ่งแทบไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายมันได้เลย
3
แต่ดูเหมือนจะมีผู้สนใจกระจกเทพตัวนี้เพียงไม่กี่รายเพียงเท่านั้น ทั้งที่ Corning จินตนาการว่ามันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งหน้าต่างที่ทนทานสำหรับเรือนจำ หรือกระจกหน้ารถที่ป้องกันการแตกได้
2
ในปี 1969 ได้มีการลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมูลค่า 42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ Chemcor ก็พร้อมที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับโลก แต่ตลาดกับตอบรับไปในทางตรงกันข้าม ไม่มีใครต้องการกระจกแก้วที่แข็งแรงและมีราคาแพง มันแพงเกินไป ท้ายที่สุด Chemcor และ Project Muscle ถูกทิ้งร้างอย่างไม่ใยดีในปี 1971
4
1
ตัดภาพมาในปี 2005 เมื่อโทรศัพท์ฝาพับอย่าง Razr ได้ถือกำเนิดขึ้นมา Corning เองได้รื้อฟื้นความพยายามของโปรเจ็กต์ Chemcor ที่ถูกทิ้งร้างไว้ของบริษัทมาตั้งแต่ยุคปี 1960 อีกครั้ง
พวกเขาต้องการทดสอบว่ามันอาจจะมีวิธีในการสร้างกระจกที่ทนทาน ราคาไม่แพง และป้องกันรอยขีดข่วนให้กับโทรศัพท์มือถือได้ โดยพวกเขาได้ตั้งชื่อโค้ดเนมว่า “Gorilla Glass”
เมื่อทีมงานของ Apple เดินทางไปที่บริษัท Corning ที่สำนักงานใหญ่ทางตอนเหนือของนิวยอร์ก Weeks จึงมีความพยายามที่จะรื้อฟื้นงานวิจัยที่มีอายุครึ่งศตวรรษอย่างเต็มกำลัง
Jobs บอก Weeks ถึงสิ่งที่พวกเขามองหา และ Weeks ได้บอก Jobs เกี่ยวกับ Gorilla Glass
ทั้งคู่ต่างถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง ต่างคนต่างคุยโวถึงเทคโนโลยีที่สุดยอดในผลิตภัณฑ์ของตน เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ Jobs ถึงกับผงะในการประชุมร่วมกับ Weeks ที่ขัดจังหวะและสั่งสอน Jobs เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
6
Wendell Weeks ที่รื้อฟื้นโปรเจ็กต์ในอดีตของบริษัทขึ้นมาอีกครั้ง (CR:Cornell Chronicle)
บทสรุปคือจอแก้วของ Weeks นั้นเหนือกว่าสิ่งที่ทีมงานของ Jobs ได้ทำการวิจัยด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก
Jobs จึงสั่งเดินหน้าลุยและบอกให้ Weeks ผลิต Gorilla Glass ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่ iPhone จะเปิดตัว
“เราไม่มีความสามารถที่จะผลิตได้ขนาดนั้น มันผลิตไม่ทันอย่างแน่นอน” Weeks ตอบกลับ
“ไม่ต้องกลัว” Jobs ตอบ “จงตั้งสติให้ดี คุณสามารถทำมันได้”
Coring ได้สร้างต้นแบบของงานวิจัยเมื่อ 50 ปีก่อน แต่พวกเขาไม่เคยผลิตจำนวนมาก ๆ อย่างมีนัยสำคัญเหมือนที่ Jobs ต้องการ แต่ประวัติศาสตร์มันได้กำหนดไว้แล้ว ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีสมาร์ทโฟนเกือบทุกเครื่องบนโลกต่างใช้ Gorilla Glass
4
Gorilla Glass ของ Corning ถูกหล่อหลอมขึ้นในโรงงานที่ตั้งอยู่ระหว่างทุ่งยาสูบและฟาร์มปศุสัตว์ของ Harrodsburg รัฐเคนตักกี้ ซึ่งมีประชากรอยู่ราวๆ 8,000 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของ iPhone ที่ถูกผลิตขึ้นในสหรัฐอเมริกา
Gorilla Glass ได้กลายเป็นหนึ่งในวัสดุที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ครอบคลุมทั้งโทรศัพท์และแท็บเล็ต ซึ่งในไม่ช้าก็ครอบคลุมเกือบทุกอย่าง
3
การได้สัญญาการผลิตครั้งใหญ่จาก Apple ช่วยให้บริษัทเติบโตได้ และไม่เพียงเพราะ iPhone เองที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีของ Corning เทพขนาดไหน
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Samsung , Motorolla , LG และผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแทบทุกรายที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจสมาร์ทโฟนต้องหันมาพึ่ง Gorilla Glass
2
iPhone ช่วยปลุกเทคโนโลยีหลังจากที่รอมาหลายทศวรรษในห้องทดลองวิจัยที่เคยถูกปิดตัวลงไป เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนให้กับโลกสมัยใหม่ ที่มนุษย์กว่าค่อนโลกต้องสัมผัสกับหน้าจอนี้ในทุก ๆ วัน อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม
9
References :
เรียบเรียงจากหนังสือ The One Device: The Secret History of the iPhone โดย Brian Merchant
1
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา