23 ต.ค. 2023 เวลา 02:30 • ธุรกิจ

ชีวิตสุดโหดของ Jo Malone เรียนไม่จบ เป็นมะเร็ง และต้องบอกลาแบรนด์ของตัวเอง

“ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง และจะอยู่ได้อีกแค่ 1 ปี”
ข่าวร้ายที่น่าสะเทือนใจนี้ได้เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ชื่อว่า คุณโจ มาโลน จนเป็นสาเหตุให้เธอต้องโบกมือลาธุรกิจน้ำหอมที่สร้างมากับมือ
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตวัยเรียนของคุณโจ มาโลน ก็ยังเคยโดนดูถูกว่า “ชีวิตเธอจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ”
แต่ในวันนี้ เธอได้กลายเป็นนักธุรกิจ และนักปรุงน้ำหอมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกคนหนึ่ง
เรื่องราวของคุณโจ มาโลน น่าสนใจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ตั้งแต่วัยเด็ก คุณโจ มาโลน เธอเกิดมาพร้อมกับโรคที่ชื่อว่า “Dyslexia” ทำให้เธอบกพร่องทางการอ่าน, การสะกดคำ และการเขียนหนังสือ
1
ซึ่งโรคนี้ได้สร้างความยากลำบากในการเรียนของเธอเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนัก แต่ก็ยังถูกตัดสินจากคนอื่น ๆ ว่าเธอ “โง่และขี้เกียจ”
1
และดูเหมือนชีวิตจะยังมอบบททดสอบให้เธอไม่พอ
เพราะเมื่อคุณโจ มาโลน อายุได้ 15 ปี เธอก็ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อไปดูแลแม่ที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง
1
หลังจากนั้น เธอก็ได้เริ่มทำงานแรกในร้านดอกไม้ บนถนนเอลิซาเบธ ในลอนดอน
และต่อมาเธอก็ยังทำงานเป็น Facialist หรือนักดูแลผิวหน้า ซึ่งเธอได้ซึมซับเรื่องเหล่านี้มาจากคุณแม่ของเธอ ที่เป็นช่างเสริมสวย
1
โดยในวัยเด็ก เธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ในห้องแล็บ สำหรับทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ในคลินิกที่แม่เธอทำงานอยู่ ทำให้เธอได้ใช้เวลาอยู่กับส่วนผสมนานาชนิด ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
2
เนื่องจากงานนักดูแลผิวหน้า จะมีความข้องเกี่ยวกับการทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไม่ว่าจะเป็น มาสก์ หรือครีมต่าง ๆ แต่ด้วยโรคที่ติดตัวมา ทำให้เธอไม่ถนัดในการอ่านสูตร
1
ดังนั้น วิธีที่เธอใช้จดจำสูตรต่าง ๆ ก็คือ “การจดจำผ่านกลิ่น”
และกลายเป็นพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์น้ำหอมในเวลาต่อมา
1
ซึ่งคุณโจ มาโลน แจ้งเกิดด้วยการทำ Bath Oil “กลิ่นจันทน์เทศและขิง” ที่ในตอนแรก เธอทำขึ้นมาแจกฟรีให้ลูกค้า เพื่อขอบคุณที่มาดูแลผิวหน้ากับเธอ
1
แต่หลังจากที่ลูกค้าได้ลองใช้ พวกเขาก็กลับมาซื้อ Bath Oil กันอย่างล้นหลาม
โดยกลิ่นนี้ ยังคงเป็นกลิ่นที่วางขายภายใต้แบรนด์ Jo Malone London มาจนถึงปัจจุบัน
1
เรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่า อาการป่วยด้วยโรค Dyslexia ของเธอ ที่ทำให้ต้องฝึกฝนการเรียนรู้ ด้วยวิธีการซึ่งต่างออกไป
1
และอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า คุณโจ มาโลน มักจะจดจำสิ่งต่าง ๆ ผ่านกลิ่น
ดังนั้น เธอจึงมีประสาท “การดมกลิ่น” ที่พิเศษกว่าคนทั่ว ๆ ไป
1
ทำให้เธอสามารถรับรู้กลิ่น และแยกกลิ่นต่าง ๆ ได้ดี
รวมไปถึง เธอยังใช้กลิ่น มาเป็นตัวแทนของภาษา ที่เธอไม่สามารถอ่านและเขียนได้ถนัด ได้อีกด้วย
1
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณโจ มาโลน ไม่เคยมองว่าโรค Dyslexia เป็นความทุพพลภาพเลย แต่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยเธอสร้างธุรกิจน้ำหอมขึ้นมา
2
โดยในปี 1994 คุณโจ มาโลน ได้เริ่มเปิดร้านน้ำหอมแห่งแรก ตามชื่อของตัวเองขึ้นในลอนดอน
และในไม่ช้า แบรนด์ของเธอก็เริ่มมีชื่อเสียง จนทำให้มีลูกค้า ทั้งสมาชิกราชวงศ์ และเซเลบริตีมากมาย
1
ที่น่าสนใจคือ หลังจากก่อตั้งธุรกิจมาได้เพียงแค่ 5 ปี
แบรนด์ Jo Malone London ก็ได้ถูกบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่อย่าง “Estée Lauder” ซื้อกิจการ
1
ซึ่งดูเหมือนว่า ตอนนี้ชีวิตของเธอ ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุด อย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
โดยแม้ว่าจะขายกิจการไปแล้ว แต่คุณโจ มาโลน ก็ยังคงรับผิดชอบในการบริหารงาน และเป็น Creative Director ให้กับแบรนด์เช่นเดิม
1
แต่แล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุข ก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะไม่กี่ปีต่อมา เธอพบว่า ตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม และจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ปี
1
หลังจากนั้น เธอก็เข้ารับการรักษา ทั้งการผ่าตัดเอาเต้านมออก และการรักษาด้วยเคมีบำบัดอยู่หลายสิบเดือน จนในที่สุดเธอก็เอาชนะโรคนี้ได้สำเร็จ
แต่ผลข้างเคียงจากการรักษาทำให้เธอ “สูญเสียการได้กลิ่น”
1
เรื่องนี้ทำให้เธอกลัวเกินกว่าจะบอกกับทุกคนในบริษัท
และสุดท้าย เธอก็เลือกที่จะลาออกจาก Jo Malone London ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือ
1
ยิ่งไปกว่านั้น คุณโจ มาโลน ยังถูกผูกมัดด้วยสัญญาที่ทำกับบริษัท Estée Lauder ว่า หลังจากออกจากแบรนด์ เธอห้ามผลิตอะไรก็ตามในอุตสาหกรรมความงาม หรือน้ำหอม เป็นเวลาทั้งหมด 5 ปี
2
ซึ่งคุณโจ มาโลน ได้บรรยายถึงความเจ็บปวด ณ ขณะนั้นว่า
“มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต และยังเป็นช่วงเวลาที่ยากยิ่งกว่า การต่อสู้กับมะเร็ง ในช่วงเวลานั้น เธอรู้สึกสูญเสียตัวตน หลงทาง และร้องไห้ทุกครั้งที่ไปเดินห้าง แล้วพบเห็นแบรนด์ที่เคยเป็นของเธอ”
1
แต่อยู่ ๆ ในเช้าวันหนึ่งเธอตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองกลับมาได้กลิ่นทุกอย่างอีกครั้ง ราวกับปาฏิหาริย์
1
ดังนั้น เมื่อช่วงเวลา 5 ปีผ่านไป คุณโจ มาโลน ก็กลับคืนสู่วงการน้ำหอมอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวแบรนด์น้ำหอมในชื่อ “Jo Loves”
1
ซึ่งคุณโจ มาโลน ยอมรับว่า การปั้นแบรนด์ใหม่ครั้งนี้ ยากยิ่งกว่าการสร้างแบรนด์ Jo Malone London เพราะด้วยสภาพสังคม และตลาดที่เปลี่ยนไปมาก
1
อีกทั้งในช่วง 2 ปีแรก แบรนด์ Jo Loves ยังล้มเหลวทั้งในด้านการตลาด และการจัดจำหน่าย จนทำให้เกือบที่จะล้มเลิกความฝันนี้
จนกระทั่งในปี 2013 ที่ทุก ๆ อย่างเริ่มดีขึ้น
เมื่อแบรนด์ Jo Loves ได้เปิดร้านแห่งแรก ซึ่งมาพร้อมกับ “Fragrance Tapas” บาร์น้ำหอมที่เน้นการขายประสบการณ์ ด้วยเทคนิคการนำเสนอน้ำหอม ราวกับอยู่ในร้านอาหารสุดหรู
โดยมีทั้งโคโลญ ที่ถูกอุ่นในทาจีน (Tagine) ภาชนะดินเผาที่มีฝาปิดเป็นทรงโดมสูง ซึ่งเมื่อเปิดฝา เราก็จะได้รับกลิ่นจากควันที่เคลื่อนออกมา
2
คลีนเซอร์ ที่เขย่ากับน้ำแข็ง คล้ายการทำค็อกเทล และเทลงในแก้ว
ไปจนถึง โฟมครีมทาผิว ที่เขย่าออกมาจากกระบอกทำวิปปิงครีมอัดแก๊ส ก่อนจะค่อย ๆ ใช้แปรงทาลงไปบนผิวอย่างนุ่มนวล
ที่น่าสนใจก็คือ ร้านแห่งนี้ยังเป็นเหมือนการกลับมา ที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของเธอ
เพราะเธอได้เลือกทำเลที่ตั้งร้าน ที่ยังอยู่บนถนนเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับที่คุณโจ มาโลน ได้งานแรกในร้านดอกไม้
1
และทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวของคุณโจ มาโลน
ที่ผ่านทั้งจุดสูงสุด ไปจนถึงจุดที่แย่ที่สุด ก่อนจะกลับมาได้อีกครั้ง
1
ซึ่งคงจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
แม้เราจะตัดสินใจผิดพลาด ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง
เพราะต้องวัดหลังจากนั้นต่างหาก ว่าเรารับมือกับมันอย่างไร..
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป พุ่งเป้าพัฒนาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) เพื่อเข้ามาเติมเต็มและต่อจิกซอว์เทรนด์ไลฟ์สไตล์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติที่มาใช้บริการร้าน Marimekko Pop-Up Café คาเฟแห่งแรกในโลก พร้อมเดินหน้าปูทางธุรกิจ F&B ภายใต้แบรนด์อื่นในเครือ หวังเจาะตลาดกลุ่มลูกค้า Gen Y - Gen Z มากขึ้น
#TANACHIRA #MarimekkoCafeThailand
1
โฆษณา