19 มี.ค. เวลา 00:09 • ธุรกิจ

The Jesus Phone กับการชำระบาปธุรกิจโทรศัพท์มือถือตามแบบฉบับ Silicon Valley

Steve Jobs เดินขึ้นไปบนเวทีของศูนย์การประชุมในซานฟรานซิสโกเพื่อประกาศการปฏิวัติที่คู่แข่งทั้งหลายของพวกเขาจะต้องเสียใจเมื่อประเมินผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ต่ำเกินไป
ในเช้าวันที่ 9 มกราคม 2007 Steve Jobs สวมเสื้อคอเต่าอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมด้วยกางเกงยีนส์สีซีด โดยประกาศกร้าวอย่างยิ่งใหญ่ว่า
“ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง”
เขามีสามสิ่งที่จะประกาศ : iPod แบบจอสัมผัส โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารทางอินเทอร์เน็ต และได้หันไปหากลุ่มนักข่าวเทคโนโลยี บล็อกเกอร์ และกลุ่มผู้ชมกว่าสี่พันคนในห้องประชุมนั้น แล้วถามว่า
“เข้าใจไหม? นี่ไม่ใช่อุปกรณ์สามชิ้นที่แยกจากกัน นี่คืออุปกรณ์เครื่องเดียวและเราเรียกมันว่า iPhone และวันนี้ Apple กำลังจะคิดค้นโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด”
ในอีกแปดสิบนาทีต่อมา Jobs ก็เริ่มอวย iPhone อย่างหนัก โดยเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนที่ดูเหมือนจะไม่ฉลาดนัก ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือ BlackBerry ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอยูในขณะนั้น
Jobs กล่าวว่า iPhone ของ Apple จะไม่มาพร้อมกับแป้นพิมพ์ ที่ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตมันดูยุ่งยากเอามาก ๆ
“เราจะ…กำจัดปุ่มเหล่านี้ทั้งหมดและใช้หน้าจอขนาดยักษ์แบบสัมผัสนี้แทน” Jobs กล่าว
เขาได้กล่าวพร้อมกับแสดง iPhone ที่ทำงานแบบนั้นได้จริง ๆ ให้กับเหล่าสาวกของเขา การใช้นิ้วแตะสัมผัส และรูดไปบนพื้นผิวกระจก เพื่อเลื่อนไฟล์เพลงเพื่อค้นหาวง The Beatles และฉายคลิปซีรีส์ทีวียอดฮิตอย่าง The Office มันเป็นประสบการณ์ที่ใครหลายคนไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนตั้งแต่โลกนี้รู้จักกับสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ามือถือ
“นี่ไม่ใช่อินเทอร์เน็ตสำหรับเด็ก ๆ ไว้เล่นกัน” Jobs กล่าว โดยทำลายความคิดแบบเดิมว่า ๆ มือถือจะสามารถเล่นเบราว์เซอร์แบบห่วย ๆ เหมือนที่ Blackberry ทำได้เท่านั้น
แต่ก็ต้องบอกว่าสิ่งเดียวที่โดดเด่นกว่าการออกแบบของ iPhone ก็คือ ป้ายราคา : 499$ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสองเท่าของ Blackberry รุ่นล่าสุดในตอนนั้น
เมื่อจบการนำเสนอ เขาก็เชิญแขกรับเชิญคนสำคัญขึ้นบนเวที ทั้งห้องเงียบลงเมื่อ Stanley Sigman ซึ่งเป็น CEO ของ Cingular Wireless โผล่ออกมา เพราะเป็นบุคคลที่น้อยคนจะจินตนาการถึง ที่จะมาขึ้นเวทีพร้อมกับ Steve Jobs เพราะเคยถูก Jobs วิจารณ์อย่างหนักมาหลายปีในเรื่องอำนาจล้นฟ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเหล่านี้
Stanley Sigman CEO ของ Cingular Wireless ออกมาเซอร์ไพรส์แฟน ๆ Apple (CR:Chron)
Jobs ต่อต้านการเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์เป็นเวลาหลายปีเนื่องจากการควบคุมที่เข้มงวดของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายรายใหญ่ที่มีแนวคิดแบบโบราณในเรื่องอินเทอร์เน็ตบนมือถือ
Sigman ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด เพราะก่อนหน้านั้นไม่นาน Cingular เพิ่งถูกเข้าซื้อกิจการโดย AT&T ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้บริการด้านโทรคมนาคมชั้นนำของโลก
1
สองปีก่อนหน้าการเปิดตัวของ iPhone Sigman กล่าวว่า Cingular ได้ลงนามในสัญญาเพื่อขายโทรศัพท์ Apple แบบโครต Exclusive ที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนบนโลก
มันเป็นดีลที่ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือไม่เคยทำกับบริษัทมือถือรายใดมาก่อนในโลกนี้แม้กระทั่งผู้นำตลาดในขณะนั้นอย่าง Nokia ก็ตามที
Apple ได้รับสัญญาที่สุดแสนพิเศษ เพราะสามารถใช้งานแบนด์วิธได้ไม่จำกัดสำหรับการใช้บริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตผ่านเบราว์เซอร์ที่เรียกได้ว่าสูบกินแบนด์วิธอย่างหนัก
แม้กระทั่ง Blackberry เองที่มียอดขายอย่างถล่มทลายในตลาดสมาร์ทโฟนก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ เพราะถูกปฏิเสธโดยผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การดาวน์โหลดวีดีโอ การค้นหาจากแผนที่ และการท่องอินเทอร์เน็ตแบบเต็มรูปแบบ
มันคือรูปแบบการ disrupted สไตล์ Silicon Valley ซึ่ง Apple ตั้งเป้าที่จะชนะโดยไม่สนใจกฎที่กำหนดไว้
Jobs ประกาศว่าจากนี้ไป Apple Computer Inc. จะถูกเปลี่ยนเป็น Apple Inc. เขาแสดงผ่าน presentation ให้เห็นว่า ในปี 2006 มีการขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกือบ 200 ล้านเครื่องทั่วโลก แต่โทรศัพท์มือถือนั้นมียอดขายกว่าหนึ่งพันล้านเครื่องทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน
Silicon Valley ไม่สามารถเพิกเฉยต่อตลาดสมาร์ทโฟนที่ Blackberrry สร้างขึ้นได้แบบห่วย ๆ อีกต่อไป
1
Jobs คาดว่าจะสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์โดยการขาย iPhone 10 ล้านเครื่องในปีถัดไป Apple กำลังเปลี่ยนรากเหง้าของคอมพิวเตอร์เพื่อคว้าส่วนแบ่งในตลาดเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
2
ฟากฝั่งของ Blackberry เอง Mike Lazaridis ผู้ร่วมก่อตั้ง RIM กำลังอยู่บนลู่วิ่งเมื่อเขาเห็นรายงานข่าวทางทีวีเกี่ยวกับข่าวของ iPhone
เขาแทบจะถีบตัวเองออกจากลู่วิ่งทันทีเมื่อเห็นข่าวดังกล่าว ยิ่งเห็นภาพ Steve Jobs โชว์ผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone ดาวน์โหลดเพลง วีดีโอ และแผนที่จากอินเทอร์เน็ตไปยังโทรศัพท์มือถือ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อนบนโลกนี้
“พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร” Lazaridis สงสัย
Mike Lazaridis ผู้ร่วมก่อตั้ง RIM รู้สึกช็อคทันทีกับการเปิดตัว iPhone (CR:CNBC)
ความอยากรู้อยากเห็นของเขากลายเป็นความคลั่ง เมื่อ Sigman ขึ้นไปบนเวทีเพื่อประกาศข้อตกลงของ Cingular ในการขายโทรศัพท์ของ Apple
ผู้บริหารของ AT&T กำลังเล่นอะไรกันอยู่ “มันจะทำให้เครือข่ายล่มแน่ ๆ” เขาคิด
ผู้บริหารจาก RIM ไม่ได้ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple เป็นเวลาหลายเดือน เพียงแค่พูดผ่านสื่อออกมาว่า “มันไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจหลักของ RIM”
ภายในปี 2007 RIM มีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นหนึ่งล้านรายต่อไตรมาส หุ้นของบริษัทก็กำลังพุ่งขึ้นแบบกระฉูด ใครก็ตามที่ซื้อหุ้นของบริษัทเมื่อต้นปี 1999 ในราคา 13 ดอลลาร์และถือไว้จะได้รับผลตอบแทนสูงถึงสี่สิบเท่าภายในแปดปี
โทรศัพท์รุ่นใหม่ของพวกเขาอย่าง Blackberry Pearl สร้างความฮือฮาด้วยยอดขายที่พุ่งขึ้นถึง 59 เปอร์เซ็นต์ เป็น 6.4 ล้านเครื่องในช่วงปี 2007 แถมโรงงานผลิตและพนักงานก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของพวกเขา
เรียกได้ว่าเป็นช่วงขาขึ้นชัดเจนของ RIM และผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง Blackberry ที่กลายเป็นลัทธิที่เผยแพร่ไปทั่วทุกมุมโลก ทุกคนต่างหลงรัก physical keyboard ของ Blackberry
RIM ได้สร้างสำนักงานใหม่จำนวนมากจนในไม่ช้ากลายเป็นผู้เช่าสำนักงานรายใหญ่ที่สุดในวอเตอร์ลูประเทศแคนาดาบ้านเกิดของพวกเขา
ในช่วงหนึ่งปีดังกล่าวเต็มไปด้วยข่าวใหญ่ระดับโลกมากมายทั้งเรื่องข่าวด่วนเกี่ยวกับกองทัพสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในอิรักและการตัดสินจำคุกปารีส ฮิลตัน
1
สื่อต่าง ๆ ไม่สามารถเขียนเรื่องราวได้มากพอเกี่ยวกับการถือกำเนิดขึ้นของ iPhone
มีบล็อกที่เกี่ยวข้องกับ Gadgets ชื่อดังอย่าง Gizmodo ได้พาดหัวข่าวว่า “โทรศัพท์ของพระเยซูอย่างแท้จริง”
Apple เล่นกระแสต่อด้วยการเปิดตัวแคมเปญ PR ที่หวือหวาอย่าง “การสัมผัสคือความเชื่อ” ซึ่งเป็นสโลแกนของโฆษณาที่ลงในสื่อสิ่งพิมพ์และทีวีที่มีนิ้วยื่นออกมาจากความมืดเพื่อสัมผัสกับโทรศัพท์
นักข่าวต่างเล่นข่าวกันอย่างเมามันโดยเปรียบเทียบภาพดังกล่าวกับผลงานอย่าง “The Creation of Adam” ซึ่งเป็นภาพวาดพระเจ้าที่ยื่นแตะนิ้วของอดัมที่โบสถ์น้อยซิสทีนในนครรัฐวาติกัน ที่ถูกวาดโดยมีเกลันเจโล
1
ภาพ The Creation of Adam ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบ (CR:Wikipedia)
วันเปิดขายอย่างเป็นทางการหรือ “iDay” คือวันที่ 29 มิถุนายน 2007 ยังเป็นวันหยุดยาวของชาวโรมันเพื่อเฉลิมฉลองงานเลี้ยงของอัครสาวกผู้พลีชีพปีเตอร์และเซนต์พอล
ภายในวันนั้น บทความดังกล่าวได้ถูกกระจายไปยังสื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์เพื่อขยายความต่อไปกว่า 11,000 บทความ และดึงดูดยอดคลิกผ่าน Google ถึง 69 ล้านครั้ง
ไม่มีใครเข้าใจความต้องการทางดิจิทัลของผู้บริโภคได้ดีไปกว่า Steve Jobs หกปีก่อนการเปิดตัว iPhone นั้น Apple ได้พลิกโฉมธุรกิจเพลงท่ามกลางความกังขาของวงการด้วยการทำให้เพลงแบบพกพากลายเป็นเรื่องง่าย
ผู้คนสามารถสนุกไปกับเจ้าเครื่อง iPod และบริการเพลงออนไลน์อย่าง iTunes ผู้บริหารอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุตสาหกรรมเพลงมองว่า iTunes เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน
ในตอนแรกค่ายเพลงไม่ยอมให้สิทธิ์แก่ Apple ในการควบคุมการจัดจำหน่ายเพลงผ่านออนไลน์ แต่ในที่สุดก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
และสุดท้ายมันก็พิสูจน์ว่าพวกเขาคิดผิด Apple ได้เสนอทางรอดใหม่ให้กับวงการเพลงที่ใกล้จะล่มสลายเต็มที Jobs ได้กอบกู้ชีวิตศิลปินที่ได้รับผลกระทบจากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงทางอินเทอร์เน็ต
ซึ่งเมื่อเข้าสู่ปี 2007 Apple ก็ได้คิดค้นอุตสาหกรรมมือถือใหม่ขึ้นมาทั้งหมด บริษัทได้โน้มน้าวให้หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกยอมรับแนวคิดที่ถูกต่อต้านมานานหลายปี นั่นคือโทรศัพท์ที่อนุญาติให้ผู้ใช้ท่องอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเดสก์ท็อป PC
แปดปีหลังจากที่ RIM ล้มบัลลังก์ Motorola ด้วยบริการอีเมลบนมือถือที่สุดแสนวิเศษ iPhone ก็ลุกขึ้นมาท้าทาย Blackberry ในฐานะมาตรฐานใหม่ของการสื่อสารไร้สาย
Brian Lam หัวหน้ากองบรรณาธิการของ Gizmodo ผู้คิดค้นวลี “โทรศัพท์พระเยซู” กล่าวว่า ความสำเร็จของ iPhone ได้ถูกพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว Blackberry และสมาร์ทโฟนอื่น ๆ นั้นเป็นสินค้าที่น่าเบื่อ
สำหรับคู่แข่งอย่าง RIM , Nokia และ Motorola นั้น ความนิยมของ iPhone เป็นเรื่องที่ดูเหมือนหาคำตอบได้ยาก เพราะแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้น้อยกว่าแปดชั่วโมง ทำงานบนเครือข่าย 2G ที่เก่ากว่าและช้ากว่า
และตามที่ Lazaridis คาดการณ์ไว้ เพลง วีดีโอ และการดาวน์โหลดอื่น ๆ ทำให้เครือข่ายของ AT&T พบกับปัญหา ซึ่งตามหลักการแล้วผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone มันควรจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลว แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ RIM และบริษัทผู้ผลิตมือถืออื่น ๆ ไม่เข้าใจ เพราะพวกเขากำลังเจอของจริงที่เป็นคู่แข่งจาก Silicon Valley ที่มีความคิดแบบแหกกฎในทุกสิ่ง
Apple ได้เปลี่ยนแนวทางในการแข่งขันโดยเปลี่ยนรูปแบบการใช้สมาร์ทโฟนจากสิ่งที่ใช้งานได้มาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ชำระบาปให้กับวงการมือถือโลกที่ติดหล่มกับความคิดเดิม ๆ มานานแสนนานนั่นเองครับผม
References :
หนังสือ Losing the Signal: The Untold Story Behind the Extraordinary Rise and Spectacular Fall of BlackBerry โดย Jacquie McNish
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา