24 มี.ค. เวลา 01:37 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Dune: Part Two (2024) - ความเชื่อ อำนาจ และพลังแห่ง "ลีซาน อัลไกอีบ"

กำกับโดย Denis Villeneuve
นี่คงเป็นหนังที่รอคอยที่สุดแห่งปีเรื่องหนึ่งที่อยากจะดูมากที่สุด ครั้นพอถึงเวลาจริง กลับมีเหตุให้ไม่ได้ดู จนต้องดูเลทกว่าที่เข้าโรงไปถึง 2 อาทิตย์ !
(สาเหตุเพราะอยากดูในระบบ IMAX แต่หาที่นั่งดี ๆ ไม่ได้ 😭)
ดังนั้นหลังจากที่เราได้ดูแล้ว ก็ต้องมาเขียนรีวิวแปะไว้หน่อย 😂
[ ความรู้สึกหลังชม ]
- ส่วนแรกที่ประทับใจ ต้องยกให้แก่นของเรื่องที่เล่าพัฒนาการของ "พอล อะทรีดีส" ได้เยี่ยมจริง ๆ
Dune: Part Two เล่าถึงการเดินทางของ "พอล" หลังจากที่เข้าร่วมกับชาวฟรีเมนแล้ว เขาได้เรียนรู้วิถีแห่งอาราคีส พร้อมกับพัฒนาตัวเองขึ้นเป็น "ลีซาน อัลไกอีบ" หรือพระผู้ไถ่ของชาวฟรีเมน เพื่อพาให้พวกเขารอดพ้นจากการกดขี่
โทนหลักในเรื่องโฟกัสที่การเปลี่ยนผ่านสถานะจาก "คนธรรมดา" อย่างพอล ขึ้นเป็น "ศาสดา" ตามคำพยากรณ์ของชาวฟรีเมน
ในการเปลี่ยนสถานะครั้งนี้ พอลได้ผ่านอะไรมากมาย เขาได้รู้จักหลายสิ่งขึ้นมากอย่าง "อำนาจ" "ความเชื่อ" และ "พลังแห่งลีซาน อัลไกอีบ" ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอาจไม่เคยได้สัมผัส
ขณะเดียวกัน ก็มีหลายอย่างที่พอลต้องเสียไป ทั้งความไร้เดียงสา มิตรภาพ ความรัก และจิตใจอันงดงามของตัวเอง
การเป็น "ลีซาน อัลไกอีบ" ของพอล จึงเป็นอะไรที่น่าเจ็บปวด และสะท้อนสัจธรรมที่ว่า
อำนาจเปลี่ยนคนได้มากขนาดไหน
- ส่วนถัดมา คือ กระบวนการพัฒนา "ความเชื่อ" ให้เป็นอำนาจทางการเมือง
Dune ในภาคนี้ เล่าถึงกระบวนการแทรกซึมปรับเปลี่ยนแนวคิดโดยอาศัย "ความเชื่อทางศาสนา" มาเป็นเครื่องมือชักจูงทางการเมืองอันทรงพลัง และสามารถไปได้สูงสุดถึงขั้นปลุกระดมและสถาปนาระบอบการปกครอง
ไม่น่าเชื่อว่า ในปัจจุบันโมเดลการชักจูงแบบนี้ ยังคงใช้งานได้ผลอยู่เสมอ แม้ว่าโลกของเราจะพัฒนาไปยุคใดก็ตาม
- ชอบพาร์ทความรักที่ใส่เข้ามา ช่วยให้หนังละมุนขึ้นมาก แถม Love theme โดย Hans Zimmer ยังสะเทือนอารมณ์ชนิดที่น่าเข้าชิงออสการ์ดนตรีประกอบอีกรอบ
(ระหว่างฟัง รู้สึกว่าธีมนี้สร้างความสะเทือนใจได้ไม่ต่างกับ Time จาก Inception เลย)
- ชอบทั้งงานภาพ (ผลงานของ Greig Fraser) เสียงประกอบ ดนตรีประกอบ คอสตูม โปรดักชัน ที่ยังเนี้ยบเหมือนเดิม
สำหรับเสียงประกอบที่ชอบสุด คงหนีไม่พ้น "เสียงตึ๊บ ๆ บนทราย" ให้อารมณ์ Thriller มาก
ส่วนการดีไซน์โลกของอาราคีสในธีมทะเลทรายและชนเผ่าอาหรับ หนังทำได้เยี่ยมห้าดาว
- พาร์ทนักแสดงชอบทุกคน ที่ชอบสุด ขอยกนิ้วให้กับ Timothée Chalamet ที่เปลี่ยนภาพจากเด็กหนุ่มให้กลายเป็น "ลีซาน อัลไกอีบ" ได้น่าสะพรึง
- เห็นบางคนเปรียบเทียบว่า จริง ๆ Dune ก็มีความคล้ายกับ Lawrence of Arabia (1962) หนังคลาสสิคห้าดาวของ David Lean
Lawrence of Arabia เป็นหนังที่อิงจากเรื่องจริง โดยเล่าถึงการมาของคนนอกอย่าง T. E. Lawrence "ทหารอังกฤษ" ที่แทรกซึมเข้ามาต่อรองเจรจากับชาวอาหรับเผ่าต่าง ๆ ให้มาร่วมกันต่อต้านเจ้าอาณานิคมจักรวรรดิออตโตมัน ผ่านการอาศัยพลังความเชื่อเป็นอีกเครื่องมือในการรวมใจชาวอาหรับ
จะเห็นว่าพล็อตค่อนข้างคล้ายกัน แถมทั้งสองเรื่องยังมีสตอรี่เกิดขึ้นบนผืนทะเลทรายเหมือนกันด้วย !
- มาพูดถึงส่วนที่เสียดายกันบ้าง
-- อย่างแรกที่ค่อนข้างเสียดาย คือ "ความลุ้นระทึก" ในเรื่อง
ส่วนตัวรู้สึกว่า ความตื่นเต้นในการลุ้นหายไปพอสมควร หลังจากที่ภาคนี้ มีสัญญาณชัดเจนว่า พระเอกไม่ได้เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา แต่เป็น The Special One ที่มีเพียงคนเดียวบนโลก
แม้หลายสิ่งจะยาก แต่เราก็รู้แหละว่า ยังไงหนุ่มพอล ก็ต้องทำมันสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะจากความสามารถของตัวเอง หรือจากพลังแห่งผู้ถูกเลือก
ส่วนนี้ทำให้หนังลดความตื่นเต้นไปพอสมควร ยังรวมไปถึงหนอนด้วยที่รู้สึกว่า หนอนในภาคนี้ ตื่นเต้นน้อยกว่าภาคที่แล้วเยอะ
-- ส่วนถัดมา "เนื้อเรื่องที่รวดรัดมากเกินไป"
ภาคที่แล้ว หนังจัดเต็มถ่ายพรรณนาเนื้อเรื่องอย่างงดงาม แถมยังทำได้ผู้ชมลุ้นตัวโก่ง
อย่างไรก็ตาม ในภาคนี้ จากการที่มีการรวบรัดตัดตอน พร้อมกับเปิดให้ตัวละครมีบทสนทนามากขึ้น ก็ทำให้หนังเปลี่ยนโทนจากการเป็น "หนังผจญภัย" มาเป็น "หนังการเมือง"
ถ้ามีการแยกภาคนี้ออกเป็น 2 ภาค คิดว่าจะทำให้ภาพรวมเรื่องสมบูรณ์กว่านี้ หลาย ๆ ฉากจะสมเหตุสมผลขึ้น เห็นที่มาที่ไปถึงการตัดสินใจต่าง ๆ อย่างชัดเจน
(แต่ภาคนี้น่าจะถูกใจคอหนังสายเอนเตอร์เทน เนื่องจากหนังแมสขึ้น รวดเร็วฉับไว เคี้ยวง่ายย่อยง่ายกว่าภาคก่อนเยอะ 😂)
-- ส่วนสุดท้าย ต้องยอมรับว่า "เดอนี วีลเนิฟว์" อาจไม่ได้เป็นคนทำฉากสงครามขนาดใหญ่ที่เซียน
เดอนีมีเอกลักษณ์อยู่ที่การใส่ความ Thriller ได้คมคาย ผ่านงานภาพ เสียง ดนตรี แต่ฉากสงครามขนาดใหญ่ กลับรู้สึกว่า ซีนที่ถ่ายทอดออกมาอาจจะดูแห้ง ขาดความต่อเนื่อง หรือรวบรัดเกินไปอย่างน่าเสียดาย
หรือแม้แต่ฉากดวลมีดในซีนสุดท้าย ที่มาด้วยการต่อสู้แบบเรียล ๆ สมจริง ส่วนตัวมองว่า ด้วยฉาก Climax แบบนี้ อาจจะตัดให้เป็นซีนซามูไรดวลดาบเดียวไปเลย หรือถ้าจะสู้ยาว เอามุมกล้อง Slow motion มาช่วยเพิ่มอารมณ์หน่อย ก็จะทำให้ฉากต่อสู้มีชีวิตชีวามากกว่านี้
[ สรุป ]
Dune: Part Two ถือเป็นหนังสงครามไซไฟที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือ ดูจากคุณภาพแล้ว คิดว่าน่าจะชิงออสการ์ได้ไม่ยาก และอาจจะได้เข้าชิงเกือบทุกสาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ตัวหนังมีส่วนที่ทั้งชอบและเสียดาย ทว่านี่ก็เป็นหนังที่ดี และสะท้อนการเมืองได้อย่างลึกซึ้ง
ใครสนใจรับชมได้ในโรง และถ้าต้องการความจุใจ ขอแนะนำให้รับชมบนระบบ IMAX !
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ
IG: benjireview

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา