1 เม.ย. เวลา 02:51 • ประวัติศาสตร์

“Project Blue Beam” ทฤษฎีสมคบคิดหลุดโลกว่าด้วยระเบียบโลกใหม่

ในโลกของเรานั้นมีทฤษฎีสมคบคิดมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างก็ล้วนแต่ดูหลุดโลก เชื่อว่าเป็นจริงได้ยาก
2
และหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่ดูหลุดโลกที่สุดเรื่องหนึ่ง ก็คือ “Project Blue Beam”
“Project Blue Beam” คือทฤษฎีสมคบคิดที่เสนอแนวคิดว่าองค์การนาซา (NASA) และ องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้พยายามจะสร้างระเบียบแบบแผนใหม่แก่โลก โดยวิธีการนั้น ก็คือการสร้างศาสนายุคใหม่ขึ้นมาซึ่งนำโดยกลุ่มต่อต้านศาสนาคริสต์ และใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการหลอกลวงให้คนเชื่อในศาสนาใหม่นี้
หากทำได้สำเร็จ ศาสนาที่ผ่านๆ มาจะถูกลบออกไปทั้งหมด และความเป็นตัวตน ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติก็จะเลือนหายไป โลกทั้งใบจะมีเพียงศาสนาเดียว และถูกปกครองโดยรัฐบาลเดียว
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร? ลองมาดูกันครับ
สำหรับเรื่องราวของ “Project Blue Beam” เกิดมาจากนักข่าวและนักเขียนชาวแคนาดาที่ชื่อ “เซิร์จ โมนาสต์ (Serge Monast)” โดยโมนาสต์นั้นทำงานเป็นนักข่าวในช่วงยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) และ 80 (พ.ศ.2523-2532) และเมื่อถึงต้นยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) โมนาสต์ก็ได้สนใจศึกษาเรื่องของทฤษฎีสมคบคิด
โมนาสต์เริ่มเขียนหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับระเบียบโลกใหม่ โดยกล่าวอ้างว่าองค์การระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ ได้พยายามที่จะสร้างรัฐบาลโลกขึ้นมา และล้างสมองประชาชนให้ยอมรับโลกที่มีรัฐบาลเดียว
เซิร์จ โมนาสต์ (Serge Monast)
ทฤษฎีเหล่านี้มักจะมีเนื้อหากล่าวอ้างถึงการเหยียดชาวยิว โดยพยายามจะให้ผู้อ่านเชื่อว่าชาวยิวนั้นควบคุมระบบการเงินโลกและสื่อ และพยายามจะยึดครองโลก
ทฤษฎีระเบียบโลกใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนจากนักทฤษฎีสมคบคิดชาวอเมริกันผู้ฉาวโฉ่ นามว่า “อเล็กซ์ โจนส์ (Alex Jones)”
โจนส์ผู้นี้เป็นคนที่ออกมากล่าวอ้างว่าเหตุการณ์ “เหตุยิงกันในโรงเรียนประถมแซนดีฮุก (Sandy Hook Elementary School shooting)” เป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น เหยื่อที่เสียชีวิตและบาดเจ็บก็เป็นเพียงนักแสดงที่ถูกจ้างมา โดยสาเหตุที่มีการจัดฉากก็เพื่อหวังจะให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายการพกพาอาวุธปืนเสรี
อเล็กซ์ โจนส์ (Alex Jones)
แน่นอนว่าคำกล่าวอ้างของโจนส์นี้ไม่เป็นความจริง และศาลก็ตัดสินให้โจนส์มีความผิด ต้องจ่ายเงินค่าเสียหายที่โจนส์ไปกล่าวหาเช่นนั้นแก่ญาติและครอบครัวของเหยื่อจากเหตุการณ์ยิงในโรงเรียนประถมแซนดีฮุกเป็นจำนวนเงินกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 54,700 ล้านบาท)
โมนาสต์นั้นเขียนเรื่องราวของโครงการ “Project Blue Beam” เป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) โดยเนื้อหาส่วนใหญ่นั้นเป็นการนำมาจากข้อเขียนเรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิดว่าชาวยิวจะครองโลก
บางคนก็คิดว่าโมนาสต์น่าจะได้แรงบันดาลใจในการเขียนมาจากภาพยนตร์ชุด “Star Trek” ตอนที่ไม่ได้สร้างจริง นั่นคือ “Star Trek: The God Thing” ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพลังลึกลับที่กล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า แต่อันที่จริง พลังนั้นคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
Star Trek: The God Thing
แต่ทฤษฎีของโมนาสต์นั้นพุ่งเป้าไปที่องค์การนาซาและสหประชาชาติเป็นหลัก โดยกล่าวอ้างว่าทั้งนาซาและสหประชาชาติมีแผนการเป็นลำดับขั้นตอนสี่ขั้น
ขั้นแรก โมนาสต์กล่าวว่าจะมีความพยายามที่จะลบและเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ โดยจะมีการสร้างแผ่นดินไหวปลอมขึ้นมาทั่วโลก โดยแผ่นดินไหวฝีมือมนุษย์นี้จะทำให้เกิดการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีปลอมๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งจะเป็นการดิสเครดิตศาสนาต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะศาสนาคริสต์และอิสลาม
พูดง่ายๆ ก็คือ โมนาสต์เชื่อว่านาซาและองค์การสหประชาชาติจะทำลายศาสนาต่างๆ ทั่วโลกด้วยการทำให้เกิดข้อสงสัยทางประวัติศาสตร์ และเป็นการปูทางสู่ศาสนาใหม่
ขั้นตอนที่สองนั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วย จะมีการใช้เครื่องยิงเลเซอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถยิงแสงเลเซอร์ข้ามดวงดาวได้ ทำให้เกิดภาพบนอวกาศ ซึ่งภาพเหล่านั้นก็คือภาพของผู้นำทางศาสนาต่างๆ เช่น พระเยซู (Jesus) และ พระพุทธเจ้า (Buddha)
พระเยซู (Jesus)
การแสดงสุดท้ายของภาพบนอวกาศนี้ที่ทั่วโลกได้เห็น คือการสื่อความถึงการต่อต้านศาสนาคริสต์
แต่ก็มีคำถามตามมาว่าการแสดงภาพบนอวกาศนี้จะทำให้คนทุกคนทั่วโลกคล้อยตามไปกับนาซาและองค์การสหประชาชาติได้อย่างไร? ซึ่งโมนาสต์ก็อธิบายว่าลำแสงจากดาวเทียมนั้นจะมาจากข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึ่งมีข้อมูลของมนุษย์ทุกคนบนโลก ลำแสงนี้จะทำให้เกิดความคิดเทียม ซึ่งก็จะไปหลอมรวมกับความคิดของคนแต่ละคน
ขั้นตอนที่สามนั้น โมนาสต์อ้างว่านาซาจะใช้คลื่นวิทยุความถี่ต่ำในการสื่อสารกับมนุษย์แต่ละคนผ่านทาง “โทรจิต” ทำให้มนุษย์แต่ละคนเชื่อว่าพระเจ้าที่ตนนับถือนั้นกำลังสื่อสารกับตนอยู่
และการสื่อสารผ่านทางโทรจิตนี้เอง โมนาสต์ก็เชื่อว่าคือวิธีการที่นาซาจะควบคุมความคิดมนุษย์ นำไปสู่ขั้นตอนที่สี่
ขั้นตอนที่สี่ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายนั้น ก็มีขั้นตอนย่อยอีกหลายขั้นตอน โดนเริ่มแรกก็คือการโน้มน้าวให้คนทั่วโลกเชื่อว่ามนุษยชาติกำลังจะถูกรุกรานจากมนุษย์ต่างดาว หลังจากนั้นก็โน้มน้าวให้ชาวคริสต์เชื่อว่ากำลังจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า
จากนั้นนาซาก็จะใช้เทคโนโลยีล้ำยุคในการสร้างพลังเหนือธรรมชาติในการเชื่อมต่อกับสายสัญญาณโทรทัศน์ สายโทรศัพท์ และสายเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทั่วโลก
และเมื่อเกิดความโกลาหล โมนาสต์ก็เชื่อว่านาซาและองค์การสหประชาชาติจะค่อยๆ เปิดเผยแผนการระเบียบโลกใหม่ ในขณะเดียวกันก็จะทำการยกเลิกสกุลเงินต่างๆ และแทนที่ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี และกำจัดแนวคิดเรื่องความเป็นเอกราช และมนุษยชาติก็ต้องยอมรับระเบียบของโลกใหม่เพื่อที่จะมีชีวิตรอด
คนที่ยอมรับระเบียบโลกใหม่จะรอดชีวิต ส่วนคนที่ต่อต้านก็จะได้รับบทลงโทษที่โหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็นการถูกบังคับใช้แรงงานอย่างหนักไปจนถึงประหารชีวิต
โมนาสต์เสียชีวิตในปีค.ศ.1996 (พ.ศ.2539) ด้วยวัย 51 ปี หากแต่ทฤษฎีของโมนาสต์ไม่ได้ตายตามเขาไปด้วย
การบูมของอินเตอร์เน็ตในยุค 2000 (พ.ศ.2543-2552) ทำให้เรื่องราวของ “Project Blue Beam” ถูกเผยแพร่เป็นวงกว้างและกล่าวถึง ซึ่งก็มีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ
แต่อย่างที่หลายคนน่าจะพอทราบดี ทฤษฎีหลุดโลกเรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง และก็เป็นเพียงทฤษฎีหลุดโลกที่มีคนเชื่อเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
โฆษณา