4 เม.ย. เวลา 02:37 • ความคิดเห็น

3 บุคคลที่ต้องระวังและหลีกหนีให้ไกล

คุณโรเบิร์ต กรีน นักเขียนชื่อดังผู้มีชื่อเสียงระดับโลกจากซีรีส์หนังสือ 48 laws of power และมีหนังสือ human nature. Seduction ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ละเล่มก็หนาๆและเต็มไปด้วยเรื่องราวของจิตใจมนุษย์ทั้งนั้น คุณโรเบิร์ตเขียนด้านกลยุทธ์ต่างๆ ที่เข้าถึงจิตใจด้านลึก ในมิติต่างๆได้อย่างน่าคิดเสมอ ผมได้ฟังเขามาเล่าใน podcast ของรายการ the diary of CEO หลายเรื่อง แต่ที่ผมจับใจความได้จากที่ได้ฟัง คุณโรเบิร์ตเตือนถึงสามบุคคลที่เราควรจะอยู่ห่างไว้ หนีได้หนี เพราะจะนำมาซึ่งพลังลบและพาเราลงเหวได้
คุณโรเบิร์ตเล่าว่า การพยายามอ่านคนรอบตัวที่เรียกว่า non verbal communication นั้นจำเป็นมากๆ โดยเฉพาะการที่อยู่ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังเบ่งบาน เรามีอำนาจแค่ปลายนิ้วในการเรียกร้องความสนใจ แต่พอใช้ social media ไปนานๆเราจะเริ่มมีความเชื่อที่ง่ายเกินว่าถ้าเราพยายามอะไรเข้าไว้แล้วจะประสบความสำเร็จ คุณโรเบิร์ตคิดว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการใช้เทคโนโลยี อยู่หลังคีย์บอร์ด ติดหน้าจอตลอดเวลาจะทำให้เรามีจุดบอดในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
2
รวมถึงการอ่านใจคน การเอาชนะใจคน หรือการไม่ระวังจนโดนแทงข้างหลัง การที่เราเจอผู้คนน้อยลงเราจะทำอะไรผิดจังหวะ คุมอารมณ์ไม่ดี อ่านคนไม่ออก ทักษะนี้เป็นทักษะที่จำเป็นมากๆและกำลังลดน้อยถอยลงด้วยสังคมก้มหน้าในปัจจุบัน
1
การอ่านคนแบบ non verbal communication การสังเกตพลังงานที่เขาปล่อยสู่เรา แววตาท่าทาง ความรู้สึกที่เขามีต่อเรานั้นลึกซึ้งและเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ เราชอบคิดไปเองว่าเราอ่านคนออกโดยธรรมชาติ แต่ถ้าสังเกตดีๆ ในระดับ micro expression เราจะเรียนรู้เรื่องราว ความคิดที่ซ่อนอยู่ของคนรอบกายได้
บางคนมองแต่เหมือนไม่เห็น ฟังแต่เหมือนไม่ได้ยิน น้ำเสียงก็บอกอะไรได้หลายอย่าง บางทีก็บอกความมั่นใจ บางทีก็บอกความลังเล การยิ้มก็เช่นกัน จริงใจหรือไม่จริงใจ ภาษากายก็สำคัญ การหันตัวเข้าหาหรือหันออก การเข้าใจว่าใครหวังดีหรือหวังร้ายกับเรา จริงใจหรือแกล้งทำนั้นสำคัญมากๆในการทำงานและเติบโตในสังคม
2
ในการที่จะประสบความสำเร็จเราจึงต้องมีคนดีๆ คนที่ปรารถนาดีกับเราอยู่รอบตัว แต่คนประเภทแรกที่เราควรจะออกห่างก็คือคนที่เมื่อเจอใหม่ๆก็ดูน่าสนใจน่าคบหา แต่พอรู้จักไปแล้ว ทำอะไรด้วยกันแล้วก็เริ่มมีแต่ดราม่า มีแต่เรื่องเม้าคนอื่น และค่อยๆชัดขึ้นว่าเป็นคนแปลก วันๆคุยแต่ว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้ก็เอาเปรียบ มีแฟนก็บ่นก็ด่าแฟนให้ฟังตลอด โทษโน่นโทษนี่ยกเว้นตัวเอง พูดถึงแต่ตัวเอง ตอนแรกๆเราอาจจะรู้สึกว่าเป็นคนที่ซวยอย่างนั้นจริงๆ แต่พอรู้จักก็จะมีแต่ดราม่า เป็น drama queen drama king ปล่อยพลังงานลบตลอดเวลา
1
แน่นอนว่ามีคนที่โชคร้ายจริงๆที่น่าเห็นใจ แต่ก็มีคนแบบที่ว่าที่ทำตัวเอง สิ่งแย่ๆในชีวิตก็มาจากที่เขา play victim มีความ insecurity สูงและพอเราอยู่ด้วยมากๆ ก็จะพา insecurity มาใส่เราด้วย ต่างจากคนที่มั่นใจ ทำอะไรก็สำเร็จจริงๆ ไม่โทษคนอื่นหรือไม่ใช่แค่โม้ เราอยู่ใกล้คนแบบนั้นก็จะได้พลังบวกเข้าสู่เราเช่นกัน
1
คนประเภทที่สองที่เราควรจะต้องอ่านให้ออกแล้วทำตัวออกห่างให้ไกลก็คือเพื่อนที่ปรารถนาร้ายกับเราที่เรียกว่า frenemy ประมาณว่าศัตรูในคราบเพื่อน ซึ่งบางทีเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นศัตรูจริงๆ แต่ด้วยพลังแห่งความอิจฉาริษยา (envy) ที่เป็นพลังทำลายล้างที่สูงที่สุดของมนุษย์เป็นตัวผลักดัน คุณโรเบิร์ตบอกว่าการอิจฉาริษยานั้นเป็นเรื่องปกติของทุกคน แต่บางคนจะมีความ active envy คือพยายามทำอะไรที่ประสงค์ร้ายด้วย และมักจะเป็นเพื่อนที่รู้จักหรือใกล้ชิดกันมานาน
3
เหตุหลักๆก็คือเมื่อเราประสบความสำเร็จหรือดีขึ้น โดยที่เพื่อนเราอาจจะอยู่ที่เดิมหรือล้มเหลว ความรู้สึกลึกๆ ที่ว่าทำไมเราสำเร็จทั้งๆที่ไม่น่าจะควรมาถึงตรงนี้ ทำไมถึงโชคดี ทำไมไม่เป็นเขา พฤติกรรมที่น่าเกลียดก็จะเริ่ม ตั้งแต่ประชดประชัน พยายามดึงเราในลงต่ำ แต่เพราะเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน บางทีเราก็อาจจะโทษตัวเอง รู้สึกผิด ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่
1
ผมเองก็เคยเจอส่วนตัว มีรุ่นน้องที่เดิมก็สนิทกันดี พอเขาไม่ได้ไปไกลอย่างที่หวังและผมกลับไปได้ดี เจอหน้าทีไรก็มักจะพยายามมาตีสนิทและหาข่าวร้ายว่าคนโน้นเกลียดผม คนนั้นว่าผมโน่นนี่มาเล่า พอผมมีอะไรที่พลาดหน่อยก็รีบมาขยี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่รู้เลยว่าจงใจ เจอทีไรผมก็จะเจ็บปวดใจและจิตตกทุกที หลังๆ พอเจอหน้าก็พยายามรีบหนี ไม่คุยได้ก็ไม่คุย จนถึงขนาดพอรู้ว่าเขาจะไปงานไหนผมก็จะไม่ไปทุกครั้ง พอคุณโรเบิร์ตเล่าเรื่องนี้ก็ร้องอ๋อว่าคือ frienemy นั่นเอง
1
ในภาษาเยอรมันมีคำว่า Schadenfreude แปลประมาณว่ามีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นพังพินาศ ซึ่งน่าจะตรงข้ามกับคำว่ามุทิตาจิต คุณโรเบิร์ตเองก็เคยเจอเมื่อตอนที่เริ่มมีชื่อเสียงจากหนังสือเล่มแรก เพื่อนเก่าๆส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชม ไม่อ่านหนังสือด้วยซ้ำ แต่ไปเม้าว่าดูเป็นคนดีๆแต่ทำไมเขียนหนังสือเรื่องจิตใจด้านมืดของมนุษย์เอาซะอีกก็เลยพาลไม่อ่านเอา
ในขณะที่เพื่อนใหม่ๆต่างหากที่มาชม ให้กำลังใจและอ่านจริงๆ การที่ต้องคอยอ่านคนแม้กระทั่งเพื่อนตัวเองเมื่อเวลาและสถานะเปลี่ยนไปก็จำเป็นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อนแบบ Schadenfreude ที่จะพามาซึ่งความรู้สึกจิตตกหรือแม้แต่อาจจะมีการแทงข้างหลังได้ที่เกิดจากความอิจฉาริษยาล้วนๆก็เป็นได้
คนสุดท้ายที่คุณโรเบิร์ตเตือนให้ต้องระวัง และน่าจะเป็นคนแรกที่เราจะต้องเริ่มพิจารณาก็คือตัวเราและความรู้สึก nacissism หรือหลงตัวเอง เพราะคนเราไม่ชอบดูตัวเอง ชอบโทษคนอื่นว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ใช่ คิดแบบนั้นผิด ทำแบบนั้นไม่ถูก แต่เวลามองตัวเองก็มักจะคิดว่าตัวเองคิดถูกแล้ว ฉลาดสุดแล้ว ไม่เคยโทษว่าตัวเองแย่ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป
4
แต่คุณโรเบิร์ตบอกว่า เราทุกคนมาจากที่คล้ายๆกัน มีลักษณะทางเคมี เกิดมาเหมือนๆ กัน ก็ย่อมจะมี flaw มีจุดอ่อน มีข้อผิดพลาดไม่ต่างกัน เราเองนั้นก็จะไม่ได้ดีกว่าใครมากและก็ไม่ได้แย่กว่าใครมาก แต่มักจะหลงคิดไปเข้าข้างตัวเองโดยไม่เป็นกลาง
เราจึงจำเป็นต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา พิจารณาว่าเราเคยทำอะไรผิด ทำให้ใครเสียใจบ้าง ยอมรับก่อนว่าเราเองก็ผิดพลาดได้เหมือนคนอื่น และคอยสังเกต pattern ของความผิดเราเช่นชอบไปหลงรักผู้ชายเลวๆตลอด หรือโดยให้ออกจากงานด้วยเหตุผลเดิมๆ ทำความเข้าใจกับตัวเองแล้วเราถึงจะเอาตัวเองออกจากลูปแย่ๆนั้นได้ เพราะศัตรูที่สำคัญที่สุดที่เราควรจะหนีห่างคนหนึ่งก็คือตัวเราเองในเวอชั่นที่หลงตัวเองมากๆเช่นกัน
2
และนี่คือสามบุคคลที่เราควรต้องระวังและหนีไปให้ไกลจากที่ได้ฟัง podcast ของคุณโรเบิร์ต กรีน ครับ…
โฆษณา