18 เม.ย. เวลา 13:48 • ข่าว

"บิ๊กต่าย" ไม่ลำบากใจ เซ็นให้ "บิ๊กโจ๊ก" ออกราชการไว้ก่อน ไม่ได้มีใบสั่ง

"บิ๊กต่าย" ยันไม่ลำบากใจ เซ็นให้ "บิ๊กโจ๊ก" พร้อมลูกน้อง 4 นาย ออกจากราชการไว้ก่อน มีผลวันนี้ พบพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาจริง ตั้งกรอบเวลาตรวจสอบ 270 วัน พร้อมชี้แจง คดี "บิ๊กต่อ" บอก ผมทราบรายละเอียดแค่เพียงว่ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.เตาปูน ดังนั้น กระบวนการก็ต้องไปเริ่มการสอบสวนที่ สน.เตาปูน
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ รพ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ให้ออกจากราชการ และได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยว่า เรื่องการตั้งกรรมการและการให้ออกจากราชการ ขอย้อนไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ที่ผมเคยได้แถลงต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภา ทุกอย่างขอให้เป็นตามกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาตามกฎหมาย และกฎ ก.ตร.
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 18 เม.ย. 67 มีการรายงานพฤติการณ์แห่งคดีประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีและทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รอง ผบ.ตร. ก็ได้รายงานการต้องคดีตามระเบียบดังกล่าวเช่นเดียวกันไปยังกองคดีอาญาของกองกฎหมายและคดีเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกองคดีอาญาได้รายงานผมเพื่อทราบ ผมได้รับทราบให้กองวินัยได้พิจารณาไปตามกระบวนการของกฎหมายและกฎ ก.ตร.
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการถึงพฤติการณ์แห่งคดีกับความร้ายแรงของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จากการพิจารณาพิจารณาในรายงานของคณะพนักงานสอบสวน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ตั้งขึ้นมา
และกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้รายงานมาด้วยว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และข้าราชการตำรวจอีก 4 คน รวมเป็น 5 คน ได้กระทำผิดอาญาจริง จึงได้มีการเสนอความเห็นให้ผมปฏิบัติตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในมาตรา 131 ซึ่งเป็นกรณีที่ข้าราชการตำรวจต้องหาคดีอาญา ประกอบกับมาตรา 112 ในรายละเอียดแห่งการพิจารณาว่าจะกระทำผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ประกอบกัน
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า การพิจารณาได้พิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมาย ว่าพฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรง ขนาดไหน ซึ่งการพิจารณาแล้ว พบว่ามีความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจากการกระทำผิด ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา จากการที่ศาลได้ออกหมายจับ ทั้ง 5 ราย จึงจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จากนั้นเห็นแล้วว่าพฤติกรรมต่างๆ และการสอบสวนของคณะกรรมการจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นไปตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า การลงนาม ผมในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผมมีอำนาจตามมาตรา 105 และ 108 ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งรักษาราชการแทนมีอำนาจเช่นเดียวกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อกองวินัยเสนอขึ้นมา ผมจึงเป็นผู้ลงนาม ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี โดยเป็นผู้ลงนามในคำสั่ง 2 คำสั่งนี้ ซึ่งขั้นตอนจะต้องรายงานนายกรัฐมนตรี
เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และทางปลัดสำนักนายกฯ ได้มอบหมายหน้าที่การงานให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบและสำนักงานปลัดสำนักงานนายกได้มีหนังสือส่งตัวกลับ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ส่งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามขั้นตอนแล้ว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ยืนยันว่าได้เซ็นคำสั่งตั้งกรรมการและคำสั่งให้ออกจากราชการกับตำรวจทั้ง 5 นาย เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.67 ซึ่งกระบวนการออกจากราชการ ยังถือว่ายังต้องดำเนินดำเนินการตามกระบวนการต่อไปของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ตอนนี้ได้มีการออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อันเนื่องมาจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรงและมีการออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ซึ่งเป็นไปตามการพิจารณาตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งมีกรอบระยะเวลาตั้งแต่เริ่มกระบวนการและขอขยายเวลาภายใน 270 วัน หากไม่แล้วเสร็จเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่ต้องเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ซึ่งได้ตั้งให้ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในการดำเนินการสอบวินัย ทั้งนี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีสิทธิ์ที่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งทาง พล.ต.อ.สราวุฒิ จะต้องให้โอกาส พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและกฎ ก.ตร. ขณะเดียวกันทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะใช้สิทธิ์ในการร้องทุกข์ หรืออุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อถามว่าบิ๊กโจ๊ก ทราบเรื่องแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กองวินัยและคณะกรรมการจะต้องแจ้งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทราบ
เมื่อถามว่าการตั้งคณะกรรมการดังกล่าว หลายฝ่ายอาจมองว่าไม่เป็นกลาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า คุณสมบัติของคณะกรรมการเป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ตร.ทุกประการ แต่ถ้าหากว่าผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าไม่เป็นกลาง หรือมีกรณีที่อาจจะเสียสภาพความร้ายแรงได้ ท่านอาจจะใช้การโต้แย้งได้
ถามต่อว่า หากมีการร้องไปยังศาลปกครอง เอาผิดคณะกรรมการและอาจมาถึง รรท.ผบ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เราพิจารณาไปตามกรอบของกฎหมาย และกฎ ก.ตร. ทุกประการ ความเคลื่อนไหวในการจะฟ้องร้องหรือดำเนินการอะไรกลับมาถือว่าเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะทำได้
หากถามว่าหวั่นไหวหรือไม่ ผมขอบอกว่าไม่มีความหวั่นวิตกหรือหวั่นไหวใดๆ เพราะถือว่าในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง กฎก.ตร.ที่เกี่ยวข้อง ทุกประการ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ผมไม่ได้ปุบปับที่จะพิจารณา แต่เราพิจารณามาเป็นเวลาพอสมควร ซึ่งข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดี และความร้ายแรงของคดีปรากฏเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่มีการผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว จึงจำเป็นต้องตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัย นายกรัฐมนตรีได้ให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย ระเบียบคำสั่ง อย่างเคร่งครัดและรอบคอบ”
บางช่วงบางตอนผู้สื่อข่าวถาม ในส่วนของคดีของ บิ๊กต่อ มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ในกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ขณะนี้ตนทราบรายละเอียด แค่เพียงว่ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.เตาปูน ดังนั้น กระบวนการก็ต้องไปเริ่มการสอบสวนที่ สน.เตาปูน เป็นตามลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกัน ตนทราบแค่นี้
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. มีหนังสือคำสั่งที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ใจความว่า ด้วยข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้
1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา
3.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
4.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร
5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการ ตำรวจจราจร
มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ BNK MASTER จนถูกดำเนินคดีอาญาและถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน" และมีเหตุผลให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) คือถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญา
โดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ซึ่งเป็นคดีสำคัญ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนและภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ ประกอบกับได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนพิจารณาที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 115 มาตรา 108 มาตรา 131 และมาตรา 179 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2549 ข้อ 8 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 118/2567 ลงวันที่ 20 มี.ค.2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน จึงให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก รวม 5 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ได้ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 141 ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
โฆษณา