24 เม.ย. เวลา 05:38 • ประวัติศาสตร์

จุดจบของระบอบราชาธิปไตยในโปรตุเกส

1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) “พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Carlos I of Portugal)” ได้ถูกปลงพระชนม์ด้วยกระสุนปืน และนำมาสู่การล่มสลายของระบอบราชาธิปไตยในโปรตุเกส
2
“ราชวงศ์บรากังซา (House of Bragança)” ได้ปกครองโปรตุเกสมาตั้งแต่ปีค.ศ.1640 (พ.ศ.2183) และพระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 ก็เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่ถูกลอบปลงพระชนม์
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร? ลองมาดูกันครับ
พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Carlos I of Portugal)
อันที่จริงแล้ว พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 ทรงมีความเฉลียวฉลาด บุคลิกสง่างาม อีกทั้งยังรอบรู้ในศาสตร์แห่งท้องทะเล หากแต่พระองค์ก็ทรงมีชื่อเสียงอื้อฉาวจากภาพลักษณ์ที่มักมากในกาม และยังทรงโปรดที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
นอกจากนั้น พระองค์ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำได้ ทำให้ความนิยมของประชาชนที่มีตกต่ำ และเกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ
สำหรับพระราชประวัติของพระองค์นั้น พระองค์เสด็จพระราชสมภพในปีค.ศ.1863 (พ.ศ.2406) ที่โปรตุเกส โดยเป็นพระราชโอรสใน “พระเจ้าลูอิสที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Luis I of Portugal)” และ “พระราชินีมาเรีย เพียแห่งซาวอย (Maria Pia of Savoy)”
พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 ขึ้นครองราชสมบัติในปีค.ศ.1889 (พ.ศ.2432) หลังจากพระราชบิดาสวรรคต และหลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงต้องเผชิญกับทั้งปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ
โปรตุเกสได้ประกาศล้มละลายในปีค.ศ.1892 (พ.ศ.2435) และล้มละลายอีกครั้งในปีค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) ทำให้ประชาชนต่างทนไม่ไหว ลุกฮือขึ้นประท้วง เดินขบวน และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ไปทั่ว
พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 ก็ทรงตอบโต้ปัญหาต่างๆ ด้วยการแต่งตั้งนักการเมืองผู้อื้อฉาวอย่าง “ฌูเอา ฟรังโก (João Franco)” เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ดูเหมือนการแต่งตั้งฟรังโกจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น หากแต่ทำให้ประชาชนยิ่งต่อต้านหนักกว่าเดิม
พระเจ้าคาร์ลอสทรงมีรับสั่งว่าการแต่งตั้งฟรังโกเป็นนายกรัฐมนตรี และการปกครองแบบเผด็จการของฟรังโกนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น สามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในสภาได้ หากแต่กลับมีข่าวลือไปทั่วว่าตัวฟรังโกนี่แหละที่ใช้เงินในท้องพระคลังอย่างผิดกฎหมาย นำมาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายซัพพอร์ตชีวิตที่หรูหราของพระเจ้าคาร์ลอสที่ 1
ฌูเอา ฟรังโก (João Franco)
และในช่วงเวลานั้นเอง เป็นช่วงเวลาที่โปรตุเกสครอบครองดินแดนผืนใหญ่ระหว่างโมซัมบิกกับแองโกลา รวมทั้งดินแดนที่ปัจจุบันคือซิมบับเวและแซมเบีย
หากแต่ดินแดนนั้นฝ่ายอังกฤษเองก็เคลมว่าเป็นของชาติตน และยื่นคำขาดให้โปรตุเกสถอนกำลังทหารออกไป
โปรตุเกสก็จำยอม ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี ซึ่งการยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ยิ่งตอกย้ำสถานะที่อ่อนแอของผู้นำประเทศ และเหล่าผู้ที่ต่อต้านราชวงศ์ก็ยกมาเป็นประเด็นที่ว่าการยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นับเป็นความอับอายระดับนานาชาติ และกษัตริย์คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ
ในที่สุด ความอดทนของประชาชนก็ได้จบลง โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) ขณะที่พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 และพระราชโอรสเสด็จโดยรถม้าพระที่นั่งเข้าไปในเมืองลิสบอน ทั้งสองพระองค์ก็ถูกปลงพระชนม์โดยมือปืน
พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 มีพระชนมายุ 44 พรรษา
พระราชโอรสอีกองค์ที่ยังหลงเหลือ ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็น “พระเจ้ามานูเอลที่ 2 แห่งโปรตุเกส (Manuel II of Portugal)” โดยขณะนั้นพระเจ้ามานูเอลที่ 2 มีพระชนมายุ 18 พรรษา
แต่พระเจ้ามานูเอลที่ 2 ก็ครองราชย์ได้ไม่นาน และต้องเสด็จลี้ภัยไปอังกฤษในเดือนตุลาคม ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) เนื่องจากเกิดจลาจลในโปรตุเกส
พระเจ้ามานูเอลที่ 2 แห่งโปรตุเกส (Manuel II of Portugal)
จากนั้น โปรตุเกสก็กลายเป็นประเทศสาธารณรัฐ และทำให้ราชวงศ์ที่ครองอำนาจมานานกว่า 270 ปีต้องสิ้นสุดลงในที่สุด
โฆษณา