23 เม.ย. เวลา 16:22 • สุขภาพ
Mayo Clinic

โรคกรดไหลย้อน คือ โรคที่ไม่ควรมองข้ามเพราะอาจเสี่ยงถึงชีวิตได้ เลย

GERD หรือ โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease) เป็นภาวะที่กรดจากกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับขึ้นมายังหลอดอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานผิดปกติของ หูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร ทำให้กรดที่ควรอยู่ในกระเพาะอาหารนั้นไหลย้อนกลับขึ้นมา
1
กรดไหลย้อน
กรดไหลย้อนอาการ คือ
  • แน่นหน้าอก ไหม้หรือรู้สึกปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกเนื่องจากกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร
  • มีรสเปรี้ยว หรือ รสขม ๆ ไหลขึ้นมาที่คอและปาก (กรดในกระเพราอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาเรียกว่าอาการเรอเปรี้ยว
  • เจ็บคอ เสียงแหบพร่า
  • อาจมีอาเจียน หรือ คลื่นไส้
  • ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังจากรับประทานอาหาร
  • อาหารแน่นท้อง ท้องอืด
  • หลังจากรับประทานอาหารจะมีอาการจุกแน่น ที่ลิ้นปี่หรือลำคอร่วมได้
อาการเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น การเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร เป็นต้น
กรดไหลย้อนอาการ คือ
สำหรับผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ควรเลือกรับประทานอาหารดังนี้
2
  • อาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ปีก เนื้อสัตว์สีขาว ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เนื่องจากย่อยง่าย
  • ผลไม้สุก เช่น กล้วย แอปเปิล ส้ม แต่หลีกเลี่ยงผลไม้รสเปรี้ยว
  • ผักสุก ผักใบเขียว รวมถึงแครอท มันฝรั่ง
  • ธัญพืชและผลิตภัณฑ์จากธัญพืชที่ไม่มีผงฟู เช่น ขนมปังธรรมดา ข้าวกล้อง แป้งข้าวโพด
  • น้ำมันพืช เนย หรือนมที่เป็นกลาง
  • อาหารประเภท โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
  • เครื่องเทศ เกลือ น้ำมันมะกอก น้ำมันงา
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมัน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสเปรี้ยวจัด พริกแรง ขนมปังหรืออาหารที่มีส่วนผสมของผงฟู
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน โดยหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน และเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้จะช่วยลดอาการของโรคได้
1
อาการกรดไหลย้อน
^^โรคกรดไหลย้อน วิธีรักษา^^
การรักษาโรคกรดไหลย้อนมีหลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยา และการผ่าตัด ซึ่งวิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของอาการ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นวิธีการแรกที่แนะนำให้ผู้ป่วย โรคกรดไหลย้อน ควปฏิบัติ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นสาเหตุหนุนให้เกิดกรดไหลย้อน เช่น
  • 1.
    รับประทานอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง
  • 2.
    หลีกเลี่ยงการนอนหลังจากรับประทานอาหารทันที ควรรอให้ผ่านไปอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
  • 3.
    นอนหนุนหมอนสูง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขณะนอน
  • 4.
    รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรค
  • 5.
    งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • 6.
    จัดการกับความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • 7.
    สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆ ไม่รัดแน่นบริเวณเอว
หากปฏิบัติตามข้างต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น จึงควรพิจารณาการรักษาด้วยยารักษา
การรักษาด้วยยา สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง การรักษาด้วยยาเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ โดยชนิดของยามีหลายแบบ เช่น
  • 1.
    ยากลุ่มยับยั้งการหลั่งกรด (Proton Pump Inhibitors) เพื่อลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร
  • 2.
    ยารักษาภาวะกระเพาะหลั่งกรดมากเกินไป (H2 Blockers)
  • 3.
    ยาป้องกันและบรรเทากรดไหลย้อน (Prokinetics)
  • 4.
    ยาป้องกันกรดด่าง (Antacids)
  • 5.
    ยาลดการบีบตัวของกระเพาะอาหาร
นอกจากนี้ ยังมียารักษาแผลกรดไหลย้อนที่มีผลต่อการรักษาโรคในระยะยาว แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงของการใช้ยาในระยะยาวการรักษาด้วยการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือต้องการลดการพึ่งพายาในระยะยาว อาจพิจารณาการผ่าตัดรักษาโรคกรดไหลย้อน วิธีการผ่าตัดมีหลายวิธี เช่น
รักษาแผลกรดไหลย้อน
  • Fundoplication เป็นการนำกระเพาะอาหารส่วนล่างมาพันรอบหลอดอาหารเพื่อเพิ่มความแน่นของรูรีนั้นหรือที่เรียกว่า การผ่าตัดพันกระเพาะอาหารโอบหลอดอาหาร เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร (LES) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อาหารและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่อวัยวะส่วนบน
  • LINX ย่อมาจาก Laparoscopic Implantable Nissen Fundoplication เป็นการผ่าตัดรักษาโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง (GERD) โดยวิธีผ่าตัดแบบส่องกล้อง แพทย์จะสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปผ่านรูเล็กๆ ที่หน้าท้อง ทำการเย็บติดแถบผ้าสังเคราะห์รอบๆ ส่วนล่างของหลอดอาหาร เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร (LES) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อาหารและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปสู่อวัยวะส่วนบน
  • Endoscopic procedures หรือ การส่องกล้องทางการแพทย์ เป็นการตรวจวินิจฉัย รักษา หรือผ่าตัด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า endoscope ซึ่งเป็นท่อบางๆ ยาวๆ ปลายมีกล้องและไฟส่องสว่าง แพทย์จะสอดกล้องเข้าไปในร่างกายผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น ปาก จมูก ทวารหนัก หรือผ่านรอยแผลผ่าตัดเล็กๆ
นอกจากผ่าตัดแบบเปิดแล้ว ปัจจุบันยังมีวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องส่องตรงและระบบหุ่นยนต์ ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากบาดแผลเล็กและฟื้นตัวเร็ว แต่วิธีการผ่าตัดก็ยังคงมีความเสี่ยงและผลข้างเคียง ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงความเหมาะสมและข้อดีข้อเสียแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจ
สรุปแล้ว การรักษาโรคกรดไหลย้อนสามารถทำได้หลายวิธี โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นอันดับแรก หากอาการไม่ดีขึ้นอาจพิจารณาใช้ยารักษาตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนการผ่าตัดจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
โรคกรดไหลย้อน อันตรายถึงชีวิตไหม ?
โรคกรดไหลย้อน อันตรายถึงชีวิตไหม ?
โดยทั่วไปแล้วไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้ ดังนี้
  • การเกิดแผลในหลอดอาหาร (Esophageal ulcers) เนื่องจากกรดไหลย้อนมากระทบบริเวณหลอดอาหารเรื้อรัง อาจทำให้เกิดแผลลึกจนทะลุหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • หลอดอาหารตีบแคบ (Esophageal strictures) เนื่องจากการเกิดแผลและการหายของแผลในหลอดอาหารเรื้อรัง อาจทำให้หลอดอาหารตีบแคบ ส่งผลให้กลืนอาหารลำบาก
  • พังผืดกลืนลำบาก (Barrett's esophagus) เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อบริเวณปลายหลอดอาหารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้ถึง 30-125 เท่า
  • มะเร็งหลอดอาหาร เป็นภาวะร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุมาจากการเกิดแผลและการเสียดสีจากกรดไหลย้อนเป็นเวลานาน
  • การติดเชื้อปอดจากการสำลักของกระแสอาหารที่ย้อนกลับ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีกลไกการกลืนบกพร่อง
  • การขาดเลือดจากหลอดอาหาร เนื่องจากการเกิดแผลจากกรดไหลย้อน
ดังนั้น แม้โรคกรดไหลย้อนจะไม่อันตรายในระยะแรก แต่หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นจึงควรได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มมีอาการ
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตนั้น มีแหล่งอ้างอิงมาจาก
โฆษณา