23 เม.ย. เวลา 20:18 • ปรัชญา

อธิษฐานเพื่อขอคำตอบ

ทุกคำถามจะได้รับคำตอบเสมอ
ถ้าเราดูดีๆ ใจเย็นๆ และสังเกตมัน
การอธิษฐานเพื่อขอให้รู้คำตอบ
1.ให้ชัดเจนกับตัวเองว่าสิ่งที่ต้องการรู้คืออะไร
ถ้าการเขียนหรือพิมช่วยได้ ก็ให้เขียนหรือพิมพ์ลงไป
2.อธิษฐานไปเลยในสิ่งที่อยากรู้ หรือ
ขออธิษฐานโดยให้มีสัญลักษณ์ปรากฎ
เช่น ถ้างานใหม่ที่ฉันเลือกเป็นทางที่ถูกต้อง ขอให้มีผีเสื้อสีฟ้าปรากฎ แต่อันนี้เหมาะกับคนไม่เคร่งเครียดเกินไป
แต่ฉันแนะนำแบบไม่มีสัญลักษณ์ดีกว่า
อธิษฐานขอตอนไหนก็ได้ ที่ใดก็ได้ กี่ข้อก็ได้
แต่ขอให้ชัดเจนว่าตัวเองอยากรู้เรื่องอะไร
3.สังเกตอารมณ์และสถานการณ์รอบกายว่ามีอะไรไหม
รู้สึกดี อารมณ์ดีและทุกอย่างดูเป็นใจ มีความเป็นไปได้สูงมากว่ามาถูกทาง
รู้สึกแย่ ทำอะไรก็พลาดไปหมด มีความเป็นไปได้ว่าจะผิดทาง
แต่การดูอารมณ์แบบนี้เหมาะกับคำถามที่มี 2 ทางเลือกมากกว่า
4.ไม่ได้คือไม่ได้ อย่าไปคาดคั้นคำตอบ
หรือให้ได้คำตอบอย่างที่ตัวเองต้องการ
ฉันมีประสบการณ์อยากได้อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งมาก แต่ใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรเอาดีไหม
ฉันเลยไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าอาคารนั้น
ฉันอธิษฐานว่าขอให้มีสัญญาณอะไรก็ได้มาบอกฉันทีว่าฉันควรซื้อที่นี่ดีไหม
ฉันยืนไปสักพักก็ยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เป็นสัญญาณว่ามันคือคำตอบเลย คนก็เดินผ่านไปผ่านมาเยอะ ฉันรู้สึกอึดอัดแลพรำคาญมากที่ไม่ได้คำตอบสักที
ฉันมาทบทวนกับเองว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเข้าใจได้ว่า
1.ที่ฉันยังยืนรอคำตอบ ณ ที่นั่น เพราะฉันพยายามให้ได้รับว่านี่แหล่ะคือที่ของฉัน
2.ทั้งที่อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ สถานการณ์บางอย่างที่เกิด ณ ขณะนั้น ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี นี่แหล่ะคือคำตอบของฉันว่า ฉันไม่ควรซื้อที่นี่
3.ฉันพยายามคาดคั้นคำตอบให้มาเป็นในรูปแบบที่ฉันต้องการ เช่น เห็นเป็นตัวอักษรมาเลย
ให้มีคนมาบอกฉันเลยว่าไม่ควรซื้อที่นี่
สุดท้ายแล้ว ฉันไม่ได้ซื้อที่นั่น และดีใจมากด้วย
เพราะฉันกำลังจะย้ายมาอยู่อีกจังหวัดหนึ่งด้วยเหตุผลจำเป็น
5.คำถามเหล่านี้ต้องไม่จำกัดเรื่องเวลา
หรือต้องมีเวลาให้มันหน่อย
และต้องไม่จำกัดคำตอบเกินไป
เนื่องจากคำตอบมักจากทางอารมณ์เป็นหลัก
และถ้าคุณยังไม่เก่งในการรับสัญญาณ มักไม่ค่อยได้รับคำตอบตรงๆ เช่น ได้ยินเสียงภายในที่ตอบเป็นคำพูดตรงๆเลย
6.คำตอบจะมาหลากหลายรูปแบบมาก
บางครั้งมาตรงๆเลย แบบได้ยินเสียง เห็นได้เลย
ผ่านทางผู้คน สถานการณ์ และสิ่งต่างๆ
แต่ที่ฉันสังเกตมา มันมักมาจากอารมณ์เป็นหลัก
หรือได้รับแรงดลใจเข้ามา
เช่น รู้สึกดี สบายใจ หรืออยู่ๆก็เข้าใจคำตอบเอง เข้าใจแบบกระจ่างทันที มันอาจจะไม่ใช่คำพูดเป็นประโยคตรงๆ แต่เป็นความรู้สึกที่เข้าใจเอง
และฉันมักจะเขียนลงสมุดหรือพิมพ์ลงสมุดมาเป็นประโยคๆเอง เหมือนเวลาเราต่อจิ๊กซอ เราเห็นภาพโดยรวมแล้ว แต่เราต้องต่อออกมาให้เป็นภาพนั้น
7.อีกวิธีที่ฉันใช้ประจำ โดยเฉพาะตอนที่มีเรื่องหนักยากเกินจะรับมือ คือ ฉันจะอธิษฐาน "ขอพลังอำนาจสูงสุด ได้โปรดช่วยปลดปล่อยจากสถานการณ์นี้ด้วย" ฉันจะกล่าวคำนี้ไปเรื่อยๆ จนหลับ
ไม่ได้จำกัดว่าต้องพูดแบบนี้เป๊ะๆในแต่ละครั้งที่กล่าว เอาที่สบายใจและรู้สึกผ่อนคลายจนหลับไปเอง
เช่น "ขอพลังอำนาจสูงสุดช่วยด้วย"
"ขอพลังอำนาจสูงสุดคุ้มครองด้วย"
"ขอพลังอำนาจสูงสุดปลดปล่อยฉันด้วย"
และพอตื่นขึ้นมา ฉันจะรู้สึกดีขึ้นเองเฉยเลย ฉันไม่ได้รับคำตอบใดๆหลังตื่นมา แต่เป็นความรู้สึกที่สบายใจ ปัญหายังคงอยู่ แต่พอระยะเวลาผ่านไป มันก็คลี่คลายเอง เวลาฉันย้อนกลับไปดู "เออ ก็ผ่านมาได้นี่หว่า เครียดเกินไปจริงๆ ตอนนั้น"
คำว่า พลังอำนาจสูงสุด คุณสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือ หรือสิ่งใดก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าเขาช่วยเราได้ และทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย
ฉันใช้คำว่าพลังอำนาจสูงสุด เพราะฉันรู้สึกว่า สิ่งนี้นี่แหล่ะยิ่งใหญ่สุดในสรรพสิ่งแล้ว
ไม่ต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่รู้ว่าเขายิ่งใหญ่สุดก็พอ และมากพอที่จะช่วยฉันได้อย่างไร้ขีดจำกัด
หวังว่าจะช่วยทุกคนได้ในการอยากรู้คำตอบเรื่องใดๆก็ตามในชีวิต
โฆษณา