24 เม.ย. เวลา 03:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์ รับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ

ในวันที่ 22 เม.ย. 67 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทย ได้เปิดเผยถึงของขวัญสำหรับผู้ใช้แรงงาน เนื่องในวันแรงงานที่กำลังจะถึงนี้ ว่าจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน ซึ่งของขวัญชิ้นสำคัญและถูกจับตามองจากหลายฝ่าย คือ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท ซึ่งจะผ่านคณะกรรมการไตรภาคี และดำเนินการเร็วขึ้นจากแผนที่วางไว้
ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีมุมมองที่น่าสนใจจากนักวิเคราะห์ และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศมาฝาก
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเป็นกลาง ประเมินว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท อาจยังต้องใช้เวลาพิจารณา เนื่องจากต้องผ่านมติของคณะกรรมการไตรภาคี และผ่านประชุมที่ ครม. ก่อนที่จะประกาศบังคับใช้
ทั้งนี้ หากค่าแรงขั้นต่ำใหม่ขึ้นเป็น 400 บาท ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าหุ้นที่ได้ผลกระทบเชิงบวกมากสุดจะเป็นกลุ่ม Finance ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบมากสุดจะเป็นกลุ่ม Labor Intensive โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากมีสัดส่วนค่าแรงโดยตรงและค่าแรง subcontract รวมสูงถึง 50% ทั้งนี้หากมีการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท จะสูงขึ้นราว 14% จากกรอบปัจจุบันที่ 330-370 บาท
โดยประเมินเบื้องต้นค่าแรงที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10% จะกระทบกำไร STEC มากสุดราว 20% ขณะที่ CK, PYLON, และ SEAFCO จะกระทบใกล้เคียงกันที่ 8-12% อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลกระทบมีโอกาสน้อยกว่าคาด เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มรับเหมาดังกล่าวส่วนใหญ่จ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำทั่วไป
นอกจากนี้สำหรับ CK สัดส่วนงาน 60% เป็นงานก่อสร้างที่ลาว ขณะที่ PYLON และ SEAFCO งานส่วนใหญ่เป็นงานระยะสั้น ส่วนกลุ่มรับเหมา คงน้ำหนัก “เท่ากับตลาด” และ Top pick ได้แก่ CK (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 27 บาท)
2.กลุ่ม Agri & Food เนื่องจากมีสัดส่วนค่าแรง 5-10% ของต้นทุนรวม อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าผลกระทบจะถูกชดเชยบางส่วนจากการปรับราคาขายขึ้น รวมถึงบริษัทเหล่านี้มีการทยอยปรับปรุงประสิทธิภาพไลน์การผลิตและขยายระบบ automation
ด้านหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงบวก คือ กลุ่ม Finance โดยฝ่ายวิเคราะห์มองบวกเล็กน้อย จากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้มากขึ้น หนุนให้ NPL ลดลง โดยค่าแรงที่สูงขึ้นประมาณ 30-70 บาท คิดเป็น 3-7% ของค่างวดของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ (คาดค่างวดประมาณ 1,000 บาท อิงวงเงินสินเชื่อ 20,000 บาท อายุสัญญา 2 ปี)
ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าลูกหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มหาบเร่ และมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ที่เป็นฐานลูกหนี้ค่าแรงขั้นต่ำ คาด MTC ได้ผลบวกเนื่องจากมีลูกหนี้จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์มากคิดเป็น 31% ของสินเชื่อรวม คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่ม Fundamental research team “เท่ากับตลาด” และ Top pick เป็น MTC ราคาเป้าหมาย 52 บาท
โฆษณา