26 เม.ย. เวลา 02:30 • ธุรกิจ

Tangle Teezer ธุรกิจหวีที่เคยถูกปฏิเสธเงินลงทุน แต่รายได้เกือบ 2,000 ล้าน

“การถูกปฏิเสธ” ไม่ว่าจะด้วยเรื่องไหนก็ตาม ย่อมสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ฟัง และเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ หลายคนก็มักจะท้อใจจนไม่มีแรงไปต่อ
แต่ไม่ใช่กับคุณ Shaun Pulfrey ซึ่งเขาคนนี้ได้คิดค้น “หวี” ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถหวีผมได้สะดวกขึ้น แต่กลับถูกปฏิเสธจากนักลงทุน
ซึ่งแทนที่คุณ Shaun Pulfrey จะท้อใจ เขากลับมองว่ามันคือพลังที่ทำให้เขาเดินหน้าต่อ
จนตอนนี้ Tangle Teezer เป็นหวีที่ใครหลายคนมีติดกระเป๋า
เรื่องราวของ Tangle Teezer น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Tangle Teezer ก่อตั้งโดยคุณ Shaun Pulfrey หนุ่มอังกฤษที่มีประสบการณ์ด้านการทำผมกว่า 30 ปี
โดยเริ่มฝึกงานเป็นช่างทำผมตั้งแต่อายุ 16 ปี
ก่อนจะตัดสินใจมาเอาดีด้านการทำสีผม และได้ไปศึกษาเรื่องนี้ต่อที่ร้านทำผม Vidal Sassoon
อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ด้านการเป็นช่างทำสีผมที่ Vidal Sassoon ก็เปิดโอกาสให้เขาได้เดินทางมายังสหรัฐฯ และยังทำให้เขาได้สั่งสมฝีมือที่นั่น เป็นเวลากว่า 10 ปี
แน่นอนว่าสำหรับหลาย ๆ คน การห่างบ้านเกิดมาเป็นเวลานาน ย่อมมีอาการ Homesick กันเป็นเรื่องปกติ
และเรื่องนี้ก็ทำให้คุณ Shaun Pulfrey ตัดสินใจย้ายกลับมาที่อังกฤษอีกครั้ง และทำงานเป็นช่างทำผมให้กับร้านชื่อดังต่าง ๆ เช่น Toni&Guy, Nicky Clarke และ Richard Ward
จนในปี 2002 เมื่อเขาอายุได้ 40 ปี เขาก็ได้เขียนหนังสือเรื่อง I Wanna Be Blonde วางจำหน่าย
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เป็นการรวบรวมเทคนิคในการทำผมตลอด 30 ปีของเขา และทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนาน จึงทำให้คุณ Shaun Pulfrey มีเทคนิคแพรวพราวมากมายในการทำผม
หนึ่งในนั้นก็คือ วิธีพิเศษที่จะช่วยให้ผมไม่พันกัน
โดยการใช้หวีแบบแปรง และหวีแบบซี่ถี่ในการค่อย ๆ แตะหรือหวีสั้น ๆ
แต่มันก็ดูเหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและยุ่งยาก เพราะต้องใช้หวีถึง 2 ประเภท
พอเรื่องเป็นแบบนี้ คุณ Shaun Pulfrey จึงเกิดไอเดียที่จะทำเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยเขาเริ่มต้นวิจัยและค้นคว้า จนพัฒนาออกมาเป็น หวี แบรนด์ Tangle Teezer นั่นเอง
และในปี 2007 คุณ Shaun Pulfrey ก็ได้ตัดสินใจนำเอาสินค้าตัวนี้ไปเสนอในรายการ Dragons’ Den
ซึ่งเป็นรายการคล้าย ๆ กับรายการ Shark Tank ที่หากเราทำให้คณะกรรมการสนใจได้ พวกเขาก็จะให้เงินลงทุนมา
น่าเสียดายที่การนำเสนอครั้งนั้นของคุณ Shaun Pulfrey กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เสียเปล่า เพราะในด้านผู้ชมทางบ้านกลับชื่นชอบ และเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแบรนด์อย่างไม่ขาดสาย
ทำให้ในปีเดียวกันนี้ คุณ Shaun Pulfrey ก็ได้วางขายหวี Tangle Teezer อย่างเป็นทางการ โดยใช้เงินเก็บที่ได้จากการทำงาน และการนำเอาที่พักอาศัยไปจำนอง เพื่อมาเป็นทุนในการทำแบรนด์
แล้วหวีของ Tangle Teezer แตกต่างจากหวีแบบอื่น ๆ อย่างไร ? ทำไมคนถึงให้ความสนใจขนาดนี้ ?
อย่างแรก คือ รูปร่างแบบหัวแปรงที่ไม่มีด้ามจับยาว ๆ แต่จะเป็นหัวแปรง ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้ฝ่ามือจับได้เลย
โดยสาเหตุที่เขาออกหวี แบบไม่มีด้ามจับ เพราะเขามองว่า ถ้าทำออกมาแล้วรูปแบบเหมือนหวีทั่วไป ผู้ใช้ก็จะไม่เห็นถึงความพิเศษ
ดังนั้นการทำให้มีรูปร่างที่แตกต่าง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนไม่สับสนกับหวีแบบปกตินั่นเอง
ซึ่งความพิเศษของ Tangle Teezer ก็อยู่ที่ ซี่หวีที่นุ่มกว่า และมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับหวีทั่ว ๆ ไป และนี่เองที่ทำให้เมื่อใช้หวีของ Tangle Teezer แล้ว เราจะไม่เจ็บศีรษะ รวมถึงผมไม่พันกัน
แล้วหวี Tangle Teezer ประสบความสำเร็จแค่ไหน ?
ในปีแรกที่เริ่มวางขายหวี Tangle Teezer ก็สามารถขายได้กว่า 35,000 เล่ม
และไม่เพียงแค่คนทั่วไปเท่านั้นที่สนใจและเป็นลูกค้า เพราะดาราดังอย่างคุณ Emma Watson และคุณ Victoria Beckham ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ใช้หวี Tangle Teezer เช่นกัน
จากการประสบความสำเร็จในหวีรุ่นแรกที่วางขายก็ทำให้คุณ Shaun Pulfrey พัฒนาหวีรุ่นอื่น ๆ ตามมา เพื่อแก้ไข Pain Point อื่น ๆ ของลูกค้า
เช่น หวีแบบมีฝาปิดสำหรับคนที่พกใส่กระเป๋า, หวีเล่มเล็ก ลายน่ารักสำหรับเด็ก หรือหวีแบบมีด้ามจับที่ใครหลายคนรอคอย
ความสำเร็จในครั้งนี้ของคุณ Shaun Pulfrey ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณรายการ Dragons’ Den ด้วยเช่นกัน เพราะแม้ว่าจะถูกปฏิเสธจากคณะกรรมการ แต่การไปออกรายการครั้งนั้น ก็ช่วยให้ผู้ชมได้รู้จักสินค้าของเขามากขึ้น
โดยเฉพาะการตัดต่อของรายการ ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์อันน่าประทับใจของสินค้า ก็ยิ่งทำให้สามารถซื้อใจผู้ชมหลายคนที่กำลังประสบปัญหานี้ได้
ซึ่งมีรายงานว่าในปี 2021 Tangle Teezer สามารถทำยอดขายไปได้กว่า 1,993 ล้านบาท เลยทีเดียว
โดยคุณ Shaun Pulfrey ได้ฝากข้อคิดในการทำธุรกิจไว้ว่า
เขาไม่ได้มองว่า การถูกปฏิเสธในตอนนั้น มันหมายความว่า “เราจะไม่ประสบความสำเร็จ”
แต่การที่ถูกปฏิเสธนี่แหละ ที่จะทำให้เราต้องผลักดันตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การ “ถูกปฏิเสธ” คือหนทางที่จะทำให้เรา “เก่งขึ้น และ ดีขึ้น” นั่นเอง..
โฆษณา