28 เม.ย. เวลา 16:17 • ความคิดเห็น

นางอุตตรา นันทมารดา เอกทัคคะผู้เพ่งด้วยฌาณ

นางอุตตรา แผ่เมตตาจนศัตรูกลายเป็นมิตร
ถ้าดูละครช่วงนี้ กระแสมีทั้งแนวเมียหลวงฟ้องเมียน้อย หรือแนวผู้หญิงมีฐานะมีหน้ามีตาก็ยังอุตส่าห์ไปแย่งสามีคนอื่น แม้แต่กระแสสังคม เห็นทั้งข่าว ทั้งละครแล้วก็สะท้อนใจ ความรักห้ามไม่ได้ แต่ความคิดที่ไม่ดีและการกระทำเราเลือกได้
คิดถึงชีวิตคู่ หรือความรักวิถีพุทธ
(อันนี้ภาษาของผู้เขีบนเองนะคะ ไม่พาดพิงตำราหรือครูบาอาจารย์ท่านใด เป็นแต่เพียงมุมมอ ความคิดความเข้าใจในแบบที่ผู้เขียนเข้าใจ จากประสบการณ์จากการได้ยิน ได้ฟัง ได้รับการขยายความจากท่านผู้รู้อื่นๆ ตกตะกอนเป็ความคิดตน อาจมีถูกบ้าง ผิดบ้างตามกำลังสติปัญญา คลาดเคลื่อนบ้าง โปรดใช้วิจารณญาน​ในการอ่าน)
มีหลาหลายรูปแบบ ด้วยความที่เคยได้ยินได้ฟังพระสูตรต่างๆมาบ้าง ชอบฟังเพราะเรื่องเล่าเหมือนนิทาน และโชคดีที่คนที่เล่าให้ฟังคือพระผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ศึกษา ทำให้ท่านสามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆให้เราเข้าใจด้วยเหตุและผลของคนยุคนี้ โดยอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง เคารพพระธรรมและคงความงดงามของธรรมะไว้ พร้อมทั้งแจกแจง อรรถะถ้อยคำ พยัญชนะ ที่เราไม่อาจหยั่งถึงด้วยสติปัญญาของเราให้เราเข้าใจง่ายขึ้น
ถ้าจะมองความรักแบบวิถีผู้ตื่นรู้ ที่แทนตนว่าพุทธะ ในสายตาของตัวเอง มั้งทั้งแบบครองรักครองคู่ตั้งจิตอธิษฐานเป็นคู่บุณคู่บารมี มีคนหนึ่งเพื่องส่งสร้างบารมีของอีกคนหนึ่งให้เต็ม
อย่างเจ้าชายสิทธัตถะที่ต้องมีเจ้าหญิงพิมพาที่ครองรักกันมาทุกภพชาติตั้งแต่ตั้งจิตอธิษฐานร่วมกันว่าท่านหนึ่งจะขอไปเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ส่วนฝ่ายหญิงก็ขอติดตามเพื่อสร้างสมบารมีร่วมกันจนกว่าบารมีแห่งการตรัสรู้เต็ม ยอมเวียนว่ายตายเกิดตามชายบนเส้นทางที่ยากลำบากคิดดูว่ารักแค่ไหน
แล้วจบการเวียนว่ายตายเกิดไปด้วยกัน ถ้าไม่มีนางพิมพา ผุ้หญิงที่เสียสละยอมทุกข์ยากไปกับการบำเพ็ญบารมีชาติแล้วชาติเล่า บารมีแห่งการบำเพ็บสู่การเป็นพระพุทธเจ้าก็อาจเต็มได้ยาก ผู้หญิงที่ยอมให้สามียกให้ชายอื่นอย่างยินยอมพร้อมใจเพื่อช่วยสามีรักษาคำพูดในชาติที่เป็นพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี
ความรัก ซื่อสัตย์ ภักดี อดทนข้ามภพข้ามชาติที่มีเป้าหมายและสัญญาร่วมกัน เมื่อยังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องมีชีวิตคู่เป็นธรรมดาสัตว์โลก
ความรัก ที่เรียกว่าเมตตากันระหว่างพระอริยเจ้าในสภาพฆราวาส เรื่องนี้จำชื่อท่านทั้งสองไม่ได้ ถ้าใครนึกได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ได้ค่ะ ท่านทั้งสองบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีแล้วทั้งคู่ คือผู้หญิงจิตก็เข้าสู่วิถีจิตอนาคามี ชายก็เข้าสู่วิถีจิตอนาคามีแล้วเช่นกัน เป็นวิถีที่ราคะเจือจาง ความเป็นเพศชายหญิงไม่มี เป็นจิตกลางๆไร้เพศ เหลือเพียงกิเลสเบาบางก็เข้าสู่สภาวะอรหันตมรรค และอรหัตผล แต่ไม่ได้ออกบวช พ่อแม่ก็ไม่รู้ ต่างก็จับคู่ให้ ต่างเข้าพิธีแต่งงาน แต่ไม่แตะต้องกันและกันฉันสามีภรรยา
สุดท้าย คุยกันหลังแต่งงานไม่นาน ศีลเสมอมาเจอกันละเรือนทั้งคู่ออกบวชทิ้งทรัพย์มีค่าให้คนอื่นทั้งกมด เศรษฐีทิ้งทรัพย์ทุกชื้น คิดดูว่าทิ้งเงินทองขนาดไหน ออกจากบ้านไปแต่ตัวทั้งผัวเมีย หลังแต่งงานให้พ่อแม่ไม่นาน ต่างเดินแยกทางไปคนละทิศเพื่อป้องกันคำครหาเพื่อออกบวช สุดท้ายได้บวชทั้งคู่และบรรลุอรหันต์ทั้งคู่ค่ะ
บางท่านเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี ด้วยกรรมเนื่องกัน ด้วยเหตุปัจจัยต้องแต่งกับปุถุชน ตั้งแต่ปุถุชนทั่วไป ไปจนถึงอันธปุถุชนผู้หนักด้วยกาม บางท่านเป็นโสดาบันต้องมีสามีเป็นพรานล่าสัตว์ ระดับจิตต่างกันมาก คนหนึ่งลงนรกง่ายๆ ส่วนอีกคนประตูนรกปิดแล้ว ถ้าเกิดอีกก็ไม่เกินเจ็ดชาติและจะไม่มีภพชาติใดต่ำกว่าเป็นมนุษย์เลยเพื่อสะสมบุญบารมีต่อ เจริญจิตในวิถีแห่การชำระล้างกิเลสตนได้หมดก็ออกจากวงจรการเวียนว่ายตายเกิดไป
มาเรื่องนางอุตตราดีกว่าค่ะ คือเห็นทั้งละครผัวๆเมียๆเยอะ ทั้งข่าวคาวชีวิตจริง ผู้หญิงตบกัน แย่งผู้ชายคนเดียวกันไปมา ผู้หญิงคนเดียวหลอกผู้ชายทีละหลายๆคน ก็เลยอยากเล่าว่า จิตเมื่อถูกฝึกดีแล้ว กิเลสเบาบางแล้ว เขาจะไม่มานั่งตบตีแย่งชิงผู้ชาย ใจเขาจะอีกแบบ วิธีคิดวิธีการมองโลกจะอีกแบบ การกระทำจึงแสดงออกอีกแบบ และปุถุชนจะไม่มีทางเข้าใจอารมณ์ใจเหล่านี้เลย คนไม่เคยกินน้ำอ้อย ย่อมไม่อาจรู้ด้วยลิ้นตนว่าน้ำอ้อยหวานคืออย่างไร
ความรักไม่ใช่สิ่งผิด เกิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่กับใครก็ได้ที่มาพรร้อมด้วนเหตุปัจจัยร่วมกัน แต่ก็มีสิ่งที่เหนือความรักได้
นางอุตตราเป็นลูกสาวเศรษฐีค่ะ ยุคพุทธกาลใครจะได้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี พระราชาต้องอวยยศให้ค่ะ มีรายละเอียดบอกชัดเจนว่ามีเงินทองแค่ไหนจะได้เวลไหน อันนี้ตัวเองก็จำไม่ได้ เอาเป็นว่าพ่อนางรวยซึ่งแต่เดิมไม่ได้รวยมาก่อน เป็นลูกจ้างจนๆคนหนึ่งชื่อนายปุณณะ อยู่กันสามคน พ่อ แม่ และนางอุตตรา ครอบครัวนี้มีศีล มีศรัทธาต่อพระพุทธศานาแต่ยากจน แต่บุญช่วยพลิกฐานะ และด้วยความโชคดีได้ทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งทำนิโรธสมาบัติ 7 วัน
อันเป็นณาณที่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้นที่จะเข้าได้ เหนือรูปณาณ 4 อรูปณาณ 4 สมาบัติ 8 เอาง่ายๆ เป็นจุดที่ดับ สงบ จากกิเลส กายจิตแยกกัน 100% สติตื่นรู้สมบูรณ์ ผู้เข้านิโรจสมาบัติจึงไม่ต้องกินอาหารหรือดื่มน้ำเลย ไม่ขับถ่าย เป็นการพักผ่อนขั้นสุดของผู้ที่สิ้นกิเลสเข้าถึงฌาณและเมื่อพ้นการทำนิโรธสมาบัติ จิตท่านจะมีพลังและบริสุทธิ์มาก ใครได้ทำบุญด้วยถือว่าโชคดีที่สุด อนิสงส์แห่งบุญตอบแทนมากมายมหาศาลทั้งแรงและเร็ว
นายปุณณะคือผู้ที่พระสารีบุตรมาโปรดหลังท่านออกจากนิโรธสมาบัติ ท่านตรวจสอบด้วยณานมาแล้วละว่าท่านจะมาโปรดใคร แถวนั้นใครอยู่ในข่ายที่จะไปให้เขาได้ทำบุญได้ เพราะใครได้มำบุญกับท่านในยามนี้คือบุญใหญ่มาก เท่าที่สังเกตพระเหล่านี้ท่านมักเลี่ยงคนไม่ศัทธานะคะ เพราะพระอริยะเหมือนไฟค่ะ ให้แสงสว่าง มีคุณมาก ถ้าใครเคารพและศรัทธา ดูอลเป็น น้อมมาใส่ตัวได้ หากแต่ถ้าลบหลู่ความพินาศได้มหาศาลจากการทำร้าย เบียดเบียนผู้บริสุทธิ์ไม่เบียดเบียนโทษก็มหันต์ด้วยความเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน
คนสิ้นกิเลส ทำอะไรกับท่านใจท่านไม่เดือนร้อนหรอก เหมือนสาดโคลนขึ้นฟ้ามีแต่จะตกมารดตน... แยกให้เห็นคนละเรืรองกับกายที่เรามองเห็นนะคะ ใจกับกายแยกกัน กระทำๆต่อกาย ถ้าใใจไม่รับคือไม่รับจบค่ะ สุขสงบคือฟิลลลลล รู้ตื่น เบิกบาน รู้เท่าทันความจริงรักษาใจตนได้ตลอด
ท่านก็เลือกไปหานายปุณณะแต่เช้าที่ทำงานขุดดินแถวๆนั้น
บางทียุคนี้เราเห็นข่าวหลวงปู่หลวงตาบางท่านที่บำเพ็ญบารมีธรรม ในศีล ในวินัย จนท่านก็ผ่องใส ถูกคนกล่าวร้าย ถูกสื่อ ถูกสังคม ถูกนักข่าวจาบจ้วง ท่านก็ตอบรับอย่างสงบเย็น ตัวท่านมิเดือดร้อนแน่ๆ ต่อให้ใครมายืนด่า ยืนปรามาส แต่ผู้ลงมือทำไปแล้วด้วยความไม่รู้นี่สิ ....ฝ่ายหนึ่งสงบเย็นอีกฝ่ายเร้าร้อน
ในผ้าเหลืองมีปะปนกัน แยกยากถ้าเราไม่ปฏิบัติให้ตรงทาง ฟังน้อย ศึกษาน้อย รู้เรื่องตัวเองน้อย เราก็จะไม่รู้เรื่องอะไรได้กระจ่าง รู้จักตัวเองจะรู้จักสิ่งนอกตัวไปเองโดยธรรมชาติ
ในยุคสมัยที่ใครๆก็ยกตนเป็นเจ้าลัทธิได้ง่าย เพราะเป็นยุคที่คนหลงผิดคิดว่าตนฉลาดง่ายมากๆ ตนรู้ ตนเข้าใจ ตนเก่ง ใช้สมองคิดมากกว่าใช้จิตใช้สติปัญญา ยุคทุกคนยกตนเป็นใหญ่
คนศรัทธามาก แต่ไร้สติปัญญาควบคุมดูแล ย่อมงมงาย ก็เปิดช่องให้มีผู้มาหากินด้วยวิถีคนดียยยยยยย์ คนบุญ
นายปุณณะแม้ยากจน แต่เป็นคนฉลาดค่ะ เห็นพระสารีบุตรมา รู้ว่าเป็นใคร อัครสาวกฝั่งขวาของพระพุทธเจ้า มาแต่เช้า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลย แต่คนฉลาดรู้กาลเทศะ รู้ว่าเราจะพอดูแลท่านในยามนี้ คนจนๆแบบเราจะดูแลท่านได้อย่างไรให้สมฐานะตน เพื่อเคารพ บูชาและได้ดูแลท่าน.... ทำทานดีที่สุดที่เรามี กับผู้ที่เหมาะสมควรได้รับ ในเวลาอันควรทำ.... อานิสงส์แห่งทานย่อมมาก
คนฉลาดทางธรรมจะทำแบบนี้เป็น
ท่านมาเช้าก็ถวายไม้สีฟัน คนสมัยก่อนใช้กิ่งข่อยสีฟัน แล้วมันเป็นไม้พุ่มตามท้องทุ่งหาง่าย ตัดกิ่งเหมาะๆมาแล้วทุบๆส่วนปลายก็ใช้สีฟันได้ค่ะ แล้วก็กรองน้ำถวายท่านให้ได้ดื่มฉัน บ้วนปาก ล้างหน้าล้างตา ก่อนที่ท่านจะจากไป แถมคิดในใจว่า ถ้าภรรยาเราเจอท่านสารีบุตรขอให้เอาอาหารที่เตรียมมาใส่บาตรท่านด้วยเถอะ นี่คือจิตที่ศัทธาและคิดเป็นกุศลค่ะ
ซึ่งพอภรรยานางเดินมาระหว่างทางก็เจอพระสารีบุตรจริงๆ คนมีศัทธา มีปัญญา เขาบอกตัวเองว่า ปกติบางทีมีของแต่ไม่เจอพระเราก็ไม่ได้ทำบุญ หรือบางทีเจอพระแต่เราไม่มีของเราก็ไม่ได้ทำบุญ แล้วจังหวะนี้เจอทั้งพระมีทั้งของ ถือว่าเราโชคดี ว่าแล้วนางก็ใส่บาตรถวายข้าวไปทั้งหมด ก็ต้องกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารใหม่มาให้สามี ก็ทำให้เอาอาหารมาให้สายกว่าปกติ
นี่คืออาการของผู้มีศรัทธา ศรัทธาต่ออะไรจะทุ่มเทกับสิ่งนั้นจนบางครั้งดูมากเหมือนไร้เหตุผล แต่สำหรับผู้ศรัทธา มันสมเหตุสมผลเสมอ
สามีทำงานหนักก็ย่อมหิว อาจจะโมโหและคิดไม่ดี ด่าว่านาง บุญที่นางทำก็อาจทำให้สามีเป็นบาป นางฉลาด ก็ป้องกันคนที่นางรักด้วยการรีบบอกสามีว่า พี่ๆ อย่าเพิ่งด่าๆ ฟังแป๊บ เมื่อเช้าเตรียมอาหารมาแล้ว เจอพระสารีบุตรพอดี ฉันจึงเอาของที่เตรียมมาให้พี่ใส่บาตรไปหมดเลย
นายปุณณะก็เป็น fc พระพุทธเจ้า รู้เรื่องที่เมียได้ทำบุญกับพระสาวกใหญ่ก็มีจิตยินดี อนุโมทนาสาธุบุญร่วมกับภรรยาในการสร้างบุญครั้งนี้ แล้วก็ทานข้าว
ด้วยอานุสงส์ผลแห่งบุญ บอกแล้วจะว่าบุญสนองเร็วและแรง ก้อนดินที่ขุดกลายเป็นทองคำไปหมด ยังกะเหมืองทอง
นายปุณณะกับภรรยาตกใจ รีบไปแจ้งพระราชา คนไม่มีศีลครบจะไม่ทำแบบนี้นะคะ ย่อมตกเป็นเหยื่อคิดเข้าข้างตนว่าทองนี้เป็นของตนได้โดยง่าย...
มันเป็นกฎของเขานะคะ ของพวกนี้ผุดเกิดมาไม่มีเจ้าของเป็นสมบัติเจ้าของแผ่นดิน แต่พระราชาท่าน็๋ทรงธรรมและฉลาดเหมือนกันค่ะ รู้ว่าเรื่องอัศจรรย์แบบนี้แบบนี้ใช่ว่าจะเกิดกับใครง่ายๆ ก็ไม่ได้คิดฮุบทองชาวบ้านมาเป็นของตน ถ้าไม่ใช่จากบุญวาสนาตนจริงๆ
ตอนทหารขนมาบอกว่าทองนี้คือบุญของกษัติย์ พูดแค่นี้ทองบนรถก็กลายเป็นดินไปหมด ทหารเอาทองมาไม่ได้ ก็มาบอกพระราชา
พระราชาฉลาดและทรงธรรมพอก็บอกทหารไปว่า
พูดผิดแล้วละ ลองไปขนทองมาใหม่แล้วพูดว่าทองนี้เป็นบุญของปุณณะ ทหารกลับไปทำตามที่พระราชาบอก ปรากฎว่าทองก็ยังเป็นทอง ขนมาได้จำนวนมากมหาศาล พระราชาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ของบุญวาสนาตน เป็นทรัพย์นี้เป็นของนายปุณณะ ก็ตรวจสอบว่ามีมากขนาดไหน มากขนาดยกเวลให้เป็นเศรษฐีประจำเมืองได้เลยทีเดียว
พระราชาแต่งตั้งนานปุณณะให้เป็นเศรษฐีใหม่ของเมืองไป มีมากกว่าใครเพื่อน นายปุณณะจากลูกจ้างก็กลายเป็นเศษฐีไฮโซประจำเมืองไปเลย นางอุตตราเลยกลายเป็นลูกสาวเศรษฐีใหม่ในชั่วเวลาสั้นๆ
แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ค่ะ ….
คนขยันมีเยอะ คนขยันด้วยรวยด้วยมีกี่คน เหตุแห่งความรวยมีปัจจัยอะไรบ้าง... ชีวิตมันเป็นวัฏจักร​ของตัวเราเองละเอียดซับซ้อน ส่งผลให้ตัวเองตลอดเวลา
ยังไม่ทันได้เล่าเรื่องชีวิตรัก ชีวิตครอบครัวของนางก็ยาวขนาดนี้ เอาไว้เล่าต่อวันหลังนะคะ
โฆษณา