5 พ.ค. เวลา 04:59 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ไทย

The Unearthed Grave (Exhuma ขุดมันขึ้นมาจากหลุม)

เอ็กซูม่า (Exhuma ขุดมันขึ้นมาจากหลุม) เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวลึกลับ ของเกาหลีใต้ในปี 2024
เรื่องนี้ เขียนบทและกำกับโดยจาง แจ-ฮย็อน และนำแสดงโดยชเว มิน-ซิกคิม โก-อึน, ยู แฮ-จินและอี โด-ฮย็อน
อย่างไรก็ตาม การขุดหลุมศพมันเป็นลางที่ไม่ดี ซึ่งมันจะเผยให้เห็นถึงผล(ลัพธ์)อันน่าสะพรึงกลัวที่ฝังอยู่ภายใต้หลุมศพ
ชาวอเมริกันตระหนักดีว่ารากฐานทางวัฒนธรรมของพวกเขามาจากอังกฤษ โรมโบราณ และกรีกโบราณ
1
ถ้าคนอเมริกันอ้างว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขา หรืออ้างว่าฮอว์คิง นิวตัน และเช็คสเปียร์เป็นคนอเมริกัน คนอังกฤษจะคิดอย่างไร
1
ซึ่งนั่น แตกต่างจากสถานการณ์ในเกาหลีโดยสิ้นเชิง
ตามสุภาษิตเกาหลีที่ว่า "หนึ่งโชคชะตา สองโชคลาภ สามฮวงจุ้ย สี่ความใจบุญสุนทาน ห้าการศึกษา..."
1
ฮวงจุ้ย หมายถึงการฝังศพ โดยเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต ที่ใช้พลังงานจากเส้นโลหิตของโลกเพื่อให้การปกป้องจิตวิญญาณของผู้ตายและผู้อยู่อย่างต่อเนื่อง
แต่ การทำลายสุสานจะทำลายระบบนี้และทำลายแผนผังฮวงจุ้ยดั้งเดิมและความเสถียรของการใช้พลังงานจากเส้นโลหิตของโลก
เช่นเดียวกันสิ่งเลวร้ายที่ผนึกไว้ก็อาจได้รับการปลดปล่อยออกมา
1
ดังนั้นเมื่อทำลายหรือเคลื่อนย้ายสุสาน จึงจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์ฮวงจุ้ยผู้มีประสบการณ์ เพื่อลดผลกระทบด้านลบผ่านพิธีกรรมที่เหมาะสม
และปกป้องผู้คน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ "Exhuma" จึงได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่
วันหนึ่ง ครอบครัวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีที่ร่ำรวยซึ่งมีปัญหาโรคทางพันธุกรรม
มาขอความช่วยเหลือจากหมอผีฮัวหลิน (รับบทโดยคิมโกอึน) และลูกศิษย์ บงจี (รับบทโดย ลีดาฮยอน) โดยหวังว่าทั้งสองจะสามารถแก้ไข ปัญหานี้ได้
ปัญหาของเหลียนซินเฉิง เป็นโรคร้ายที่แม้แต่เด็กๆ ก็หนีกรรมนี้ไม่พ้น
แต่หมอผีฮัวหลินสามารถบอกได้ทันทีว่าโรคประหลาดนี้เกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ยในสุสานบรรพบุรุษของครอบครัวเขา
1
เมื่อกลับมาที่เกาหลีใต้ ทั้งสองจึงร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ย คิม ซังด็อก (รับบทโดย ชอย มินซิก) และสัปเหร่อ โก ยองกึน (รับบทโดย โย เฮจิน)
เพื่อร่วมกันจัดการการย้ายที่ตั้งของ ครอบครัวที่ร่ำรวยแห่งนี้
แต่หลังจากที่ตรวจสอบสุสาน เขาพบว่าฮวงจุ้ยของสุสานบรรพบุรุษของครอบครัวนั้นแย่มาก อย่างแรกคือที่ตั้งของสุสานบนยอดเขามีสุภาษิตฮวงจุ้ยว่า "ฝังภูเขา ไม่ต้องฝังยอด "
1
นอกจากนี้ยังมี "10 อย่างที่ไม่น่าจะถูกฝังอยู่ในดิน"
ที่โบราณกล่าวว่าคุณไม่สามารถถูกฝังอยู่บนภูเขาที่โดดเดี่ยวได้ เนื่องจากไม่สามารถรวบรวมหยางบนยอดเขาได้
ตำแหน่งนี้จะทำให้โชคของครอบครัวค่อยๆ ลดลง คิม ซังด็อก กลัวว่าการทำลายหลุมศพอาจก่อให้เกิดหายนะสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงาน
1
อย่างไรก็ตามแต่ ฮัวหลินได้วางแผนไว้ เธอตัดสินใจทำพิธีกรรมเต้นรำให้เทพเจ้าอันยิ่งใหญ่พร้อมกับขุดหลุมศพเพื่อช่วยปัดเป่าโชคร้าย
1
ข้อเสนอนี้โน้มน้าวให้ทุกคนเริ่มงานย้ายที่ตั้ง แต่เมื่อโปรเจ็กต์ดำเนินไปพวกเขาไม่เพียงแต่เปิดเผยความลับที่ซ่อนเร้นมานานของครอบครัว
แต่ยังเปิดเผยการดำรงอยู่อันน่ากลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย...
โดยเนื้อหาแล้ว "Exhuma " เป็นภาพยนตร์ทั่วๆ ไปที่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญเหนือธรรมชาติที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบแฟนตาซี
แต่โดยแก่นของเรื่องแล้ว จริงๆ แล้ว มันเป็นภาพยนตร์ลึกลับที่ลึกลับซับซ้อน หรือไม่ ผมก้ออาจจะคิดมากไปเอง ฮาาาา
1
โดยนำผู้ชมดิ่งลึกเข้าไปในเขาวงกตของโครงเรื่องผ่านตรรกะที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันและเทคนิคการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์
วิธีการที่คล้ายคลึงกับการต่อ "จิ๊กซอว์" ชิ้นต่างๆเข้าด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวถึงหลักการของ "พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาพสี่ภาพ" และเป็นภาพที่ผมจะกล่าวถึงใน "สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งการเปลี่ยนแปลง" โดยใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ในฮวงจุ้ย
ได้แก่มังกรเขียว เสือขาว นกแดง และเต่าดำ หากสังเกตมันจะเป็นสัญลักษณ์ของทิศทั้งสี่ในโปสเตอร์
ซ้อนไปกับตัวเอกทั้งสี่กำลังหันหน้าไปทางที่แตกต่างกันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของทิศทางที่ได้รับการปกป้องโดยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
สีสันของสัตว์ในตำนานทั้งสี่นี้ยังสะท้อนให้เห็นในชุดของตัวละครเอกด้วยแจ็กเก็ตหนังสีต่างๆของนักแสดงอีกด้วย
ฮัวหลิน เป็นตัวแทนของนกสีแดงซึ่งอยู่ในธาตุไฟ
ชุดสูทสีดำของ คิม ซังด็อก เป็นสัญลักษณ์ของเต่าดำ
แจ็กเก็ตสีน้ำเงินของ โก ยองกึน เป็นตัวแทนของมังกรเขียว
ส่วน บงจี เป็นตัวแทนของเสือขาว ซึ่งทั้งหมดเป็นตัวแทนของธาตุทั้งสี่
เรื่องราวของ "Exhuma" นั้นดูน่าทึ่ง แต่ก็ไม่น่าตื่นเต้นถ้าคนดูไม่ทราบความหมายแฝงทางประวัติศาสตร์และการแสดงออกของธีมในภาพยนตร์
เนื่องจากขาดความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลี ภูมิหลังทางสังคม ฮวงจุ้ย และองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอื่นๆ
นั่นคือ ผู้ชมจากต่างประเทศอาจไม่สามารถชื่นชมความลึกทางอารมณ์ที่ผู้กำกับหวังจะถ่ายทอดได้อย่างเต็มที่เมื่อรับชม "Exhuma"
และด้วยเหตุนี้ พบแปลในบางเรื่องที่ผู้ดูอาจจะเข้าใจ ยากตัวอย่างเช่น ใบหน้าคนครึ่งงูที่ปรากฎในสุสานหมายถึงอะไร?
“สุนัขจิ้งจอกงับเอวเสือ” แปลว่าอะไร?
ตัวตนที่แท้จริงของนายพลชาวญี่ปุ่นคืออะไร?
มุกเก่าๆวันนี้ เราจะหาคำอธิบายเนื้อหา ในบทวิจารณ์ประวัติศาสตร์ "Exhuma" โดยสามารถมองแแยกออกได้เป็นสองส่วน
ผู้กำกับใช้สององค์ประกอบอย่างชาญฉลาดของน้ำและไฟ เป็นจุดแบ่งของการเล่าเรื่อง ครึ่งแรกของหนังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งน้ำ เช่น
ฉากอาบน้ำของพัคจียง ฉากฝนตก(บ่อยครั้ง)และพิธีบูชายัญเลือด(หมู)
สัตว์ประหลาดที่แปลกหน้าออกมาให้ คนงานได้ค้นพบโดยบังเอิญ
และ นั่นคือนีน่า ปีศาจน้ำในตำนานญี่ปุ่น
ซึ่งมีภาพใบหน้าผู้หญิงและร่างงูผสมกันการปรากฏตัวและการสังหารอสุรกายแห่งน้ำนี้เป็นลางบอกเหตุ ถึงจุดเปลี่ยนของเรื่องราว
ว่ากันว่าการพบผู้หญิงร่างงูจะทำให้ผู้ที่พบเห็นเธอจะป่วย และคนงานจะหลั่งน้ำตาเป็นเลือดหลังจากทำลายร่างกายของนีน่า
แน่นอนว่าสิ่งนี้สะท้อนหลักการของตัวเลขด้วย เพราะคนที่เกิดในปีหมูเข้ากันไม่ได้กับงู
และคนงานคนนี้ก็บังเอิญฝ่าฝืนข้อห้ามนี้
ในโครงเรื่องครึ่งหลัง โลงศพของบรรพบุรุษตระกูลผู่ที่ถูกเผาถือเป็นการเข้าสู่เรื่องไฟ
ในช่วงครึ่งหลังของเรื่องหลังจากนั้นพลังแห่งไฟก็เผารุนุ และเปิดรูปแบบความตั้งใจที่เป็นสัญลักษณ์ของนายพลชาวญี่ปุ่น
ส่วนการกล่าวถึงซ้ำๆ ในภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่อง "สุนัขจิ้งจอกกัดเอวเสือ"
อุปมานี้จริงๆ แล้วหมายถึงการถูกยึดครองเกาหลีใต้ในยุคอาณานิคมทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น
บนแผนที่ คาบสมุทรเกาหลีดูเหมือนเสือนอนอยู่ (เสือถือเป็นสัตว์ในตำนานของเกาหลีใต้และเสือไทเก็กกลายเป็นตัวนำโชคของเกาหลีใต้)
การกล่าวถึงซ้ำๆ ก็ตามมาด้วยโปสเตอร์ของภาพยนตร์ ส่วนที่ว่างเปล่าของท้องฟ้ายังสอดคล้องกับแผนที่ของคาบสมุทรอีกด้วย
มาที่"สุนัขจิ้งจอก" เป็นสัญลักษณ์ขององเมียวจิของญี่ปุ่น (อาจกล่าวได้ว่าเป็นคำอธิบายของเกาหลีใต้เกี่ยวกับไหวพริบและความฉลาดแกมโกงของญี่ปุ่น)
และต้นแบบคือ Murayama Chishun (ตรงกับ Hu Li ในภาพยนตร์) ซึ่งเป็นผู้โอ้อวด(ระดับชาติ)ในอาณานิคมของญี่ปุ่นโดยทั่วไป
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น สุนัขจิ้งจอกไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าอินาริเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับตำนานของ องเมียวจิอีกด้วย
ในตำนานของญี่ปุ่น อินาริเป็นผู้ปกป้องธัญพืชและอาหาร
และผู้ส่งสารหลักของมัน ก็คือ สุนัขจิ้งจอก เนื่องจากสุนัขจิ้งจอกช่วยงานด้านเกษตรกรรมโดยการล่าศัตรูพืช เช่น หนู
ว่ากันว่านั่นคือ ต้นกำเนิดของ อาเบะ เซเมอิ องเมียวจิผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นในยุคเฮอัน
ที่รวมถึงเลือดผสมของมนุษย์และปีศาจจิ้งจอก
และนี่ยังแสดงให้เห็นตำแหน่งที่สำคัญของสุนัขจิ้งจอกในตำนานและคาถาของญี่ปุ่นอีกด้วย
มีการกล่าวถึงในภาพยนตร์ว่า มีพระภิกษุชื่อ "คิทสึเนะ" (Kitsune Ai) ค้นพบดินแดนสมบัติ(ฮวงจุ้ย)สำหรับปาร์คจี -ปู่ของยง
และชื่อ "คิทสึเนะ" ชื่อนี้มีความหมายว่า "สุนัขจิ้งจอก" ในภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย
ซึ่งบ่งบอกว่าเขาอาจมีความเชื่อมโยงลึกลับหรือความหมายเชิงสัญลักษณ์กับสุนัขจิ้งจอก
จะเห็นได้จากสิ่งนี้ "สุนัขจิ้งจอกกัดเอวเสือ" ได้บ่งบอกเป็นนัยว่า
องเมียวจิของญี่ปุ่นตั้งใจที่จะทำลายชะตากรรมของชาติเกาหลีใต้ให้อ่อนแอลงด้วยวิธีการบางอย่าง
ในความเป็นจริง(ด้านมืด) ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พยายามควบคุมอาณานิคมเกาหลีโดยการตอกตะปูเหล็ก
1
จะพบว่า อาคารสไตล์ญี่ปุ่นรอบๆ พระราชวังเคียงบกกุงและพระราชวังของผู้ว่าการในควางฮวามุน (ที่ถูกรื้อถอนในปี 2538)
ล้วนได้รับการออกแบบโดยเจตนาโดยญี่ปุ่น
แต่ในความเป็นจริง ในช่วงที่ญี่ปุ่นตกเป็นอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นในคาบสมุทรเกาหลีหรือในมณฑลไต้หวันของจีน
ก็มีตำนานเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่ใช้ฮวงจุ้ยเพื่อควบคุมทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
1
ดังนั้นเมื่อเทียบกับ "ตำนานตะปูเหล็ก" ของเกาหลีใต้ จึงดูเข้ากันได้ดีกับ อาถรรพ์บาตรแตก
กล่าวคือ หากถ้าบาตรนั้นเกิดแตกขึ้นมา ก็จะทําให้เกิดความอดอยาก
1
กลายเป็นของอัปมงคล ถ้าบาตรเกิดแตกขึ้นมาพระสงฆ์ก็จะนําบาตรแตกเก็บไว้ในที่ที่มิดชิด เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่มีศีลธรรม
หรือคนที่มีจิตใจไม่ดีจ้อง(ฝังในที่ดินเพื่อ)ทําร้ายคนอื่น
เช่นกัน การตอกตะปูเหล็กในเกาหลีใต้ ก็เพื่อควบคุม "เส้นเลือดมังกร" ของไต้หวัน
1
ญี่ปุ่นเลือกสร้างศาลเจ้าหลายแห่งที่นั่น เพื่อครอบตะปูเหล็ก ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ผู้พิทักษ์ทั่วไปของไต้หวัน" หรือปัจจุบัน คือ "ศาลเจ้าไต้หวัน"
ซึ่งคัดเลือกมาว่า เป็นการคัดเลือกเป็นแบบพิเศษในตำแหน่งที่มีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม(หัวมังกร)
1
ศาลเจ้าไต้หวันที่ถูกคัดเลือก เดิมๆตั้งอยู่ที่เชิงเขา Jiantan ในเมืองไทเป
"ผู้พิทักษ์ทั่วไปของไต้หวัน" สร้างขึ้นในปี 2444 และเปลี่ยนชื่อเป็นศาลเจ้าไต้หวันในปี 2487
ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ศาลเจ้าแห่งนี้อุทิศให้กับเจ้าชายคิตะชิราคาวะ โนกุ ซึ่งสิ้นพระชนม์ในไต้หวันเป็นพิเศษ
หลังจากได้รับการอัปเกรดเป็นศาลเจ้าอามาเทราสึ ก็ยังคงได้รับการสักการะเช่นเดียวกัน
และเป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดในสมัยอาณานิคมญี่ปุ่นในไต้หวัน เป็นที่รู้จักในนาม "ผู้พิทักษ์ทั่วไปของไต้หวัน"
ต่อมา ตะปูเหล็กของเกาหลีใต้ เริ่มต้นถอดถอนออกในปี 2528
1
เกาหลีใต้เริ่มการรณรงค์กำจัดตะปูขนาดใหญ่โดยมีเป้าหมายที่จะกำจัดตะปูเหล็กประมาณ 300 ตัวทั่วคาบสมุทรเกาหลี
จนถึงทุกวันนี้ กองเหล็กจำนวนมากยังคงซ่อนตัวอยู่ลึกลงไปในดินเกาหลีใน 62 แห่ง
2
รวมถึงบุกฮันซาน, ซอรัคซาน, แบกดูซาน และจิรีซาน
และสอดคล้องกับรายงานในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2538 ที่ KBS News รายงานว่า
มีการพบตะปูเหล็กยาว 180 ซม. ในสถานที่ 62 แห่งในสาธารณรัฐเกาหลี
รายละเอียดอย่างหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับหลุมศพบรรพบุรุษของตระกูล
ซึ่งพิกัดตำแหน่งนั้นตกลงบนพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกคาบสมุทรเกาหลีระหว่างทางเหนือและใต้ของเกาหลีใต้
ครั้งนั้น เกี่ยวกับตะปู เมื่อบงกิลถูกครอบงำ ตัวเลขที่เขาตะโกนซ้ำๆ คือ "383417 1283189"
ที่ Google Maps เคยทำเครื่องหมายไว้ ได้แก่
1. ตำแหน่งใกล้กับสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์
2. ลองจิจูดและละติจูดที่แสดงถึงตำแหน่ง "เอวเสือ" ในเกาหลีใต้
แต่ในความเป็นจริงอย่าไปคีย์หา เพราะไซต์นี้เป็นพื้นที่ควบคุมและไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมนะครับ
1
ในอดีต ค้นพบว่ามีการตอกตะปูเหล็กแบบนี้เข้าไปในทำเนียบสีน้ำเงินอีกด้วยนะเออ
1
การค้นพบครั้งนี้ทำให้ชาวเกาหลีจำนวนมากเชื่อว่า มันได้ทำลายฮวงจุ้ยของราชวงศ์ และนำไปสู่การสิ้นพระชนม์ของทั้งเชื้อพระวงต์และประธานาธิบดีเกาหลีทั้งหมด
และนั่น คือ.... ”คำสาปประจำบ้าน”
ยกเว้นมุนแจอิน "ชายผู้หนีคำสาปไปได้อย่างไม่รู้ตัว"
1
เอาล่ะๆๆ ผมขอพากลับมาที่ภาพยนต์กันต่อ ภาพโลงศพแสดงให้ผู้ชมดูเป็นแนวตั้งที่ซ้อนทับกันให้ดูเป็นสัญลักษณ์ของ "ตะปู"
แต่โปรดทราบว่านี่เป็นเพียงสัญลักษณ์ ของตะปู
ตอกตะปู​สะกดวิญญาณ ที่ฝังหลอก ก่อนเผาปลดปล่อยไปสู่ภพ​ภูมิ
ในภาพยนต์ ที่บ้านคนตาย ​นายลิชู ชาวนาและหมอประจำตำบลดงคู่ เล่าว่า หากไม่ทำพิธีสะกดวิญญาณ
จะทำให้วิญญาณออกมาเร่ร่อน​ และก่อกวน​ คนในหมู่บ้าน​ให้ต้องอยู่กันแบบไม่สงบสุข
1
เขาขึงเริ่มพิธีสะกดวิญญาณตามความเชื่อโบราณของคนท้องถิ่น
พ่อหมอ​ เริ่มจากบนบ้านชั้น 2 บริเวณตู้เสื้อผ้า เป็นจุดซ่อนศพ(น้อง)ไอ แอล ใช้ค้อนตอกตะปูตู้ทั้งหมด 4 จุด
จากนั้นไปบริเวณห้องน้ำจุดพบศพน้องไอแอล ใช้ค้อนตอกตะปู​ ไปที่หิน 2 จุด
และเมื่อกล่าวถึงตะปู ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฮานะ ลิน เคยกล่าวไว้ว่า"วิญญาณ มักจะประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตบางชนิดและวัตถุผสมกัน"
นั่นคือการใช้ดาบเป็นตะปู
วิญญาณของนายพลและคาทาน่า(katana ดาบญี่ปุ่น มีลักษณะคมด้านเดียว เพื่อฟันหรือตัด ไม่หัก ไม่งอ และคม มีวิธีการผลิตเฉพาะในญี่ปุ่น) ของเขาจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และ katana ก็กลายเป็นตะปู
นี่คือสาเหตุที่คิมซังด็อกไม่พบตะปู(ที่แท้จริง)ในสุสาน
อีกฉาก เมื่อตัวละครเอกแบกโลงศพที่บรรจุนักรบโอนิไปที่วัดฟูกัว
ฉากข้าวเหนียวที่กระจัดกระจายอยู่ในป่าดอกไม้และล้อมรอบด้วยเลือด อาจทำให้ฉากนี้รู้สึกคุ้นเคย
ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับการใช้ข้าวสารเสกและเลือด(สุนัขดำ)เพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายในภาพยนตร์ไทย และจีน
จากมุมมองแบบชาวบ้านๆ ข้าวเหนียว(ข้าวสารเสก)ถือเป็นสิ่งมงคล และความเหนียวของข้าวสามารถดูดซับสนามแม่เหล็กที่ไม่ดีได้(เอ้า..ไม่เชื่ออย่าลบทิ้งนะครับ)
ที่ฮา อีกวิธีหนึ่งที่จะฮาก็ คือ ซอมบี้หรือผีจะต้องนับข้าวที่ผ่านหน้าไปก่อนจึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้
ดังนั้นข้าวเหนียวจึงสามารถสกัดกั้นความก้าวหน้าและการบุกรุกของสัตว์ประหลาด ผี และซอมบี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฮาาาาา
2
ในภาพยนต์เกาหลีใต้ ข้าวเหนียวยังเป็นวัตถุดิบในการทำเกี๊ยวข้าวในช่วงเทศกาลแข่งเรือมังกร
และเทศกาลนี้มีพลังหยางที่แข็งแกร่งที่สุด
ทำให้ข้าวเหนียวสามารถป้องกันหยินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นสุนัข (ดิน-หยาง) หรือม้า (ไฟ-หยาง) ล้วนเป็นหยางและเป็นวัตถุหยางมากที่สุด และล้วนมีผลในการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย (นี่เป็นธรรมเนียมพื้นบ้านนะครับ โปรดอย่าเชื่อโชคลางให้มาก ฮาาา)
ในตอนท้ายของเรื่อง ความปรารถนาอันแรงกล้าที่ลุกไหม้อยู่รอบๆ ซอมบี้ญี่ปุ่นก็ก่อให้เกิดองค์ประกอบ "โลหะ(ไฟ)" อันทรงพลัง
ตามหลักการของการยับยั้งซึ่งกันและกันของธาตุทั้งห้า ไฟและโลหะสามารถถูกจำกัดได้ด้วยน้ำและไม้
ดังนั้น คิม ซังด็อก ใช้เลือดของเขาเอง (ที่มีปริมาณน้ำในเลือด 83% -85%) เพื่อเคลือบแท่งไม้
ต้านทานและยับยั้งพลังแห่งไฟและทองคำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ "ฉีกผีญี่ปุ่นสำเร็จได้ด้วยมือเปล่า ฮาาาา"
1
ส่วนในเรื่องต้นแบบของนายพลชาวญี่ปุ่นนั้น แท้จริงแล้วเป็นการผสมผสานระหว่างนายพลหลายคนจากยุคสงครามในรัฐในญี่ปุ่น
เหตุการณ์นี้สามารถย้อนกลับไปถึงยุคสงครามระหว่างรัฐในญี่ปุ่น เมื่อโทโยโทมิ ฮิเดโยชิส่งกองกำลังไปพิชิตเกาหลี
ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "กบฏอิมจิน" (หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม คุณสามารถกลับดูซีรีส์ "Kingdom" เวอร์ชัน Netflix ได้)
ในหมู่พวกเขา อิชิดะ มิตสึนาริเป็นผู้บัญชาการทหารคนสำคัญ
และสุสานของเขาตั้งอยู่ในวัดดาเดจิ ไม่ได้ย้ายไปที่ศาลเจ้าหนานซานตามข่าวที่ออกมา
"Exhuma" ยังสะท้อนถึงความเจ็บปวดอันลึกล้ำและอารมณ์ที่ซับซ้อนของเกาหลีใต้ในเชิงสัญลักษณ์
1
เกี่ยวกับมรดกแห่งการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยนำเสนอภาพของผี ภูตผี และองเมียวจิที่ชั่วร้ายของญี่ปุ่น
ในความเป็นจริง อุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีมักเลือกช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์นี้เป็นพื้นหลัง
สำหรับการสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์
ตัวอย่างเช่น "Monster in the Capital", "Boston 1947", "Song of Thieves" และ "I Remember"เป็นต้น
ทำให้ผมต้องขอเขียนอีกฉากหนึ่งในหนังเรื่องนี้
นั่นคือ หลังจากที่พัค จียง ลูกครึ่งอเมริกันเชื้อสายเกาหลีถูกปู่ของเขาครอบงำ(เข้าสิง) เขาก็เลียนแบบการทำท่าทักทายของทหารญี่ปุ่นที่หน้าหน้าต่างร้านอาหาร
สถานที่ที่การกระทำนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของผู้ว่าราชการเกาหลี (สัญลักษณ์การปกครองของญี่ปุ่น)
ซึ่งปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่โดยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเคียงบกกุง
และต่อมา ถูกรื้อถอนในปี พ.ศ. 2538 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีเกาหลีใต้
ในความเป็นจริง "Iron Blood " เป็นองค์กรเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของเยาวชน ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2463 โดยมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
ชื่อของตัวละครเอกทั้งสี่คนในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังหยิบยืมมาจากชื่อของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์
1
ที่เป็นสมาชิกที่แข็งขันของขบวนการเอกราชของเกาหลีอีกด้วย นะครับ
ปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยที่รับบทโดยชเว มินซิก จริงๆ แล้วคือบุคคลในประวัติศาสตร์
คิม ซังด็อก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นอิสระของเกาหลีและทำลายล้างฝ่ายที่สนับสนุนญี่ปุ่น
สัปเหร่อที่รับบทโดยยูแฮจินนั้นมีพื้นฐานมาจากโคยงกึน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยลอบสังหารบุคคลที่ญี่ปุ่นนับถือมากๆคนนึงนั่นเอง
นอกจากนี้หมายเลขทะเบียนรถในภาพยนตร์ยังเต็มไปด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์อีกด้วย
1
หมายเลขทะเบียนของ คิม ซังด็อก"0815" แสดงถึงวันปลดปล่อยของเกาหลี
ป้ายทะเบียนของ โก ยองกึน "1945" ถือเป็นปีแห่งการปลดปล่อยเกาหลี
ป้ายทะเบียนของ ฮัวหลิน "0301" เป็นสัญลักษณ์ของวันทรินิตี้และขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นระดับชาติในเกาหลีใต้
1
โดยการถ่ายทำภาพยนตร์จะเริ่มในวันที่ 16 ตุลาคม 2565 และแล้วเสร็จในวันที่ 1 มีนาคม 2566
ซึ่งดันไปสอดคล้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของขบวนการ 1 มีนาคมในประเทศเกาหลีใต้
2
ขบวนการ 1 มีนาคม
ในการดำเนินโครงเรื่อง ผู้ชมอาจรู้สึกว่ามีการแตกหักระหว่าง ครึ่งหน้าและครึ่งหลังของโครงเรื่อง
จนดูเหมือนว่า ทั้งสองส่วนจะไม่สอดคล้องกันมากนักและสามารถรับชมแยกกันได้
ผู้กำกับอธิบายเรื่องนี้ในการให้สัมภาษณ์ว่าเขาตั้งใจสร้าง "จุดแตกหัก" นี้ในภาพยนตร์ เหมือนกับ "สุนัขจิ้งจอกกัดเอวเสือ"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางของภาพยนตร์ มีเสียงเตือนเนืองๆว่า "เส้นทางมีการเปลี่ยนแปลง และเส้นทางใหม่กำลังถูกค้นหา"
นั่นคือ จากนี้ไป หนังจะเข้าสู่บทใหม่ และผู้กำกับเป็นผู้ตัดสินใจให้ใส่ในช่วงพักนี้
ในความเป็นจริง เกาหลีใต้ได้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่ต่อเนื่องและเป็นระบบในการฉ้อโกงทางวัฒนธรรม เช่น การยักยอกฮวงจุ้ยในระยะยาว
ทำไมที่ผมกล่าวว่า ยักยอกน่ะหรือครับ กล่าวคือ ตั้งแต่ปี 2546 เกาหลีใต้วางแผนที่จะประกาศฮวงจุ้ยเป็นมรดกโลก
1
และได้ยื่นคำขออย่างเป็นทางการในปี 2549 แม้ว่าจะถูกตีกลับ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้
เมื่อล้มเหลวในการยื่นขอมรดกโลก เกาหลีใต้จึงหันไปหาคนดัง รวมถึงผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมนี้
"Exhuma" ขึงเป็นการแสดงออกที่รวมเอาองค์ประกอบฮวงจุ้ยจำนวนมาก และเพิ่มอิทธิพลทางวัฒนธรรมอย่างชาญฉลาด
รวมถึงด้วยการ(ครอบงำ)วาดลวดลายตัวอักษร(จีน)บนร่างกายและใบหน้าของตัวละครนั่นเอง
โฆษณา