2 พ.ค. เวลา 09:45 • ปรัชญา

เรื่องของการที่จะสร้างจิต สร้างใจ..มาสร้างบุญกุศล และเกิดเป็นบุญเป็นธรรมเกิดขึ้น

ก็อยู่ที่ความตั้งอกตั้งใจที่จะกระทำขึ้น แม้แต่นามธรรม รูปธรรมต่างๆ ซึ่งได้ประกาศออกไปนั่น แล้วจะมีผู้ที่มีบุญ หรือว่าตั้งใจที่อยากจะรับฟังธรรม ในการแก้เรื่องราวของกรรม ก็มาพรั่งพร้อมกัน มิได้กีดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด หรือ นามธรรม จิตทุกดวง ก็มีการส่งเสริมเพื่อประกัน การบกพร่องของกรรมนั่นเอง
การสร้างบุญสร้างกุศลนั่น เพื่อเป็นการจูงใจให้เรา ไม่ใช่หาบุญ ..บุญเพียงแต่ตบแต่ง หนุนนำให้มีกายดี มีความสุข ป้องกันอันตรายได้นิดหน่อยเท่านั้น บุญจะหนุนนำจิตนั้น ไปหาธรรมเป็นที่พึ่ง
แต่โดยมากตั้งแต่เลย พุทธกาลมานี้ ก็มีผู้เสาะแสวงหาบุญอย่างเดียว เหมือนเปรตอสุรกาย ร้องหาบุญ หาบุญที่โน้นหาบุญที่นี่ ก็เพียงแต่ขอได้กินข้าวไปมื้อหนึ่งๆเท่านั้นเอง แต่ก็สร้างกรรม สร้างเวรกันเป็นนิจสิน เพราะบุญไม่ได้ประกันการสร้างกรรม แต่ธรรมะที่เราต้องเสาะแสวงหานั้น คือบุญนั้นเอง
ถ้าเราเสาะแสวงหาธรรมเป็นที่ประคองจิตประคองใจของเรา เราก็หยุดยั้งในการสร้างกรรม ที่เราจะทะเลาะเบาะแว้งกัน ตำหนิติเตียนใคร โกรธเคืองใคร ถึงแม้ว่า นิสัยมันจะมีบ้าง มันก็เบาบางลงๆ มันก็ยุติ ในวันข้างหน้า เพราะธรรม เป็นเรื่องหารคลี่คลายเรื่องราวของกรรม ไม่ให้เราไปสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มขึ้น หรือให้ยุติในการสร้าง
บุญ ..เมื่อเราเสาะแสวงหาบุญ ..หาบุญ ..ไม่มีอะไรมาแก้นิสัยของกรรม มันก็แต่กายเท่านั้น .จิตอาศัยกายที่เป็นบุญเท่านั้น เมื่อจิตอาศัยกาย ไปสร้างความสุขให้แก่กาย อารมณ์ก็หนุนนำให้จิต ใช้กายไปหาเงินหาทอง หาลาภยศสรรเสริญเกิดขึ้น แล้วจะหยุดยั้งเรื่องราวของอบายภูมิได้มั้ย ..ก็ไม่ได้
บุญ..ทำให้เรามีความสุข เหมือนกับ การกระทำนี้ แต่ว่าบุญนั้นต้องทำด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เรามาทำบุญในครั้งนี้ เหมือนกับว่า เราเก็บไว้ ..ตาของเราถ่ายรูป ..สิ่งของที่เราทำ หูของเราได้ยินเสียงของตัวเอง ที่จะเปล่งเสียงอนุโมทนาสิ่งนี้ให้เป็นเนื้อนาบุญ ก็ไปกอง ..หนุนนำให้เรามีสังขารที่ดี
..หรือ มีความสุขที่ดี ในวันข้างหน้า หรือ ชาติหน้า ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีของกรรม..มาหนุนนำกายให้ ก็ไม่มีกายที่ดีได้ เพราะไม่มีโภคทรัพย์ต่างๆ ภัตตาหารมิตตาหาร มาส่งเสริมให้กาย ..ที่จะมีกายสมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น..ก็อาศัยวัตถุธาตุที่เป็นกรรมเนี่ย มาเป็นเนื้อนาบุญให้แก่กายของเรา หรือ การอยู่อาศัยในวันข้างหน้า
เหมือนกับว่า ขณะนี้เราไปกินเป็ดกินไก่กินกุ้ง เนื้อนั้นมีเป็นผู้มีกรรม เพราะฉะนั้น ต้ำเลือดน้ำหนองของเค้าก็เป็นผู้มีกรรม แต่มาอยู่ในสังขารของเรา ก็หนุนนำให้เรามีสังขาร ต่างกายที่แข็งแรง มีน้ำเลือดน้ำหนองที่แข็งแรงเกิดขึ้น ..แต่ถ้าเราเอาไปใช้ ..ใช้น้ำเลือดน้ำหนองไม่เป็น ..ไปไนนำเลือดน้ำหนองที่มีกรรม..เราก็มีแต่กรรม สะสมนิสัยของกรรมเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพร้อมที่จะเสาะแสวงหาง.ธรรม เราก็ต้องไปหาธรรม เพื่อจะไปแก้ไข ปรับปรุง ..สังขาร ..ให้สังขารที่..สังขารวันนี้..ไม่มีกำลัง .ให้มันมีกำลังที่จะ ไปต่อสู้อุปสรรค แล้วให้มีปัญญาเกิดขึ้น..ที่รู้สิ่งไหนที่เป็นกรรม ก็เดืนหลีกหนีไป สิ่งไหนที่เป็นบุญ ที่จะแก้ไข ไม่มีการกระทำอีก เราก็ไปสถานที่ ที่นั้นๆ นั่นคือ ธรรมะแก้กรรม
คราวนี้ ธรรมะ เค้าก็สอนชี้ .ไม่อยากมี ความเหน็ดเหนื่อย หรือ ไม่อยากมีความร่างกายบกพร่อง..เราก็อยู่เฉยๆ
..กายเฉย นิ่งๆๆ เป็นกายบุญ ไม่ต้องออกกำลัง ไม่ต้องออกอะไรทั้งนั้น ..เมื่อได้กายบุญ จิตเราอยู่ที่กาย..กายที่ไม่ได้ทำงานทำการ ไม่สร้างเวรสร้างกรรม ไม่สร้างอะไรทั้งนั้น ดีชั่วไม่เอา เราก็ก็อยู่ในกายที่เหมือนกับเสาต้นนี้ต้นหนึ่ง หรือ ต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ตั้งตระหง่านขึ้น เราก็อยู่อย่สงนั้น มีสุขมั้ย ..มันก็มีสุขที่แท้จริง เพราะร่างกายไม่หวั่นไหวอย่างหนึ่งอย่างใด แม้แต่วิญญาณทั้งหก ก็ไม่ต้องไปสัมผัสเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น
ถ้าวิญญาณทั้งหก ไปสัมผัส .มันก็มีภาระที่เกิดขึ้น เช่น หูแว่ว ได้ยินเสียง.เสียงที่เค้าเป็นกรรมก็ดี เป็นเรียกว่า ที่จะต้องสร้างเวรสร้างกรรม แล้วเสียงที่สร้างเวรสร้างกรรม ที่มีความเพลิดเพลินของอารมณ์..ก็มี
เช่นเสียงเพลง อย่างนี้ ก็เป็นกรรมเหมือนกัน แต่ว่า มันเพลิดเพลิน ..แต่ว่าเสียงที่เค้าทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือว่า เค้ามาตำหนิมาด่าเรา มันก็เป็นเสียงของกรรมเหมือนกัน แต่ว่า..ต้องมาแยกแยะ กันว่า ..เราจะอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ถ้าไม่เอาทั้งสองอย่าง เราก็ไม่ต้องไปเพลิดเพลินกับเสียงเพลง หร่อ เสียงอารมณ์ต่างๆ ก็หยุดยั้งได้ เราก็ไม่ต้องไปหลงเพ้อ เรื่องราวต่างๆ ตามที่เราได้ยินเสียง
คราวนี้ ไม่ได้ยินเสียงเลย หยุดเสียง..มาได้ยินเสียงของตัวเอง แต่เสียงของตัวเอง..เปล่งออกมา ..เป็นเสียงอะไร เสียงของกรรมหรือ เสียงที่จะไปหา ไขว่คว้าเรื่องราวผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างนี้ เราเรียกร้อง ..สิ่งที่ ..ที่มีพระคุณของจิตของเรา
มาสมัยนี้ เค้าไม่รู้จักคำว่า ธาตุที่สองของบิดามารดา แม้แต่จะอายุมากมายเท่าไหร่ ก็หามีความรู้สึกไม่ คิดว่ากายนี้ได้มาฟรีๆ ไม่นึกถึงว่า ..ก่อเกิดเนื้อก้อนหนึ่ง ที่อยู่ในครรภ์มารดา มารดาเฝ้าถนุถนนเลี้ยงก้นนั่นมา จนเติบใหญ่ มีแข้งมีหูมีตา เป็นรูปเป็นร่างเรา ตัวเราเกิดขึ้น ประคับประครองอยู่ในท้อง แล้วก็ประคองแปดเก้าเดือน.นั่นลำบากขนาดไหน จะนั่งจะนอนจะเดินก็ลำบาก จะกินจะอยู่ก็ลำบาก ลำบากไปทั้งหมด
แม้แต่จะหลุดจากท้องมารดามาแล้วท่านก็ไม่ได้ทิ้งขว้าง จะป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลเรา จนเติบใหญ่ แล้วก็ในทีสุด พอรู้นิติภาวะ ก็หนุนนำให้เรารู้จักความกตัญญูรู้คุณ
สิ่งที่น่ากลัว ..คนสมัยนี้ไม่รู้จักความกตัญญูรู้คุณ คำว่า ธาตุทั้งสองของบิดามารดา จึงตกอยู่ในบ่วงของกรรม เกิดมากี่ชาติๆ ก็ต้องไปเปรตอสุรกาย ไปเป็นสัตว์ต่างๆ แล้ววนมาถึงมนุษย์ เมื่อไหร่ถึงได้เป็นมนุษย์ เปรตอสุรกายไม่ต้องไปพูดถึง พูดถึงหมูหมาเป็ดไก่ ชาติเดียว ไม่รู้ว่า หมุนไปใช้ตัวกระทำต่างๆ ที่ต้องไปคล้องกรรม กับคนนั่นคนี้มากมายก่ายกอง
จิตนามธรรมทุกดวงเค้าก็เสาะแสวงหา เรื่องราวต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถจะสร้าง คำว่า บุญให้เกิด ..ให้เกิดเป็นกายบุญเกิดขึ้นได้ เป็นกายมนุษย์นั่นเอง จึงตกอยู่ใน คำว่า ลำบากในที่สุดเรื่องราวต่างๆนั่น
นี่แหละสิางที่น่า กลัว ที่ท่านบอกว่า การมาเนี่ย มาความกตัญญูรู้คุณอหนึ่ง แล้วก็เป็นการมาเพื่อ ..มาศึกษา มาหาธรรมเป็นที่พึงของจิต ก็ให้มากายที่ดีเกิดขึ้น ก็มาตักเตือน มาบอกกล่าวแค่นี้แกละน่ะ เรื่องราวกรรมก็กรรม บุญก็บุญ..,สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา