4 พ.ค. เวลา 12:54 • ไลฟ์สไตล์

ตัวตนกู มันมีอยู่จริง (ep6)

ปริศนาพระสูตร
? “แผ่นดินนี้มีน้ำรอง ใต้น้ำก็มีลม ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์สําหรับรองน้ำไว้ ใต้ลมลงไปก็เป็นอากาศหาที่สุดไม่ได้ ที่สุดโลกเบื้องต่ำก็เพียงลมเท่านั้น”
หากเรามองรูปร่างหน้าตาของโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมาเป็นปริศนาธรรมคำใบ้ เช่นเดียวกับคำว่า “โลกคือจุดศูนย์กลางของจักรวาล” ของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นรูปร่างหน้าตาของโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมามันเป็นมิติสลับด้านกลับหัวกลับหางกัน
เพราะมิติโลกฝั่งที่เราอาศัยอยู่แผ่นดินเป็นฝ่ายรองน้ำ น้ำเป็นฝ่ายรองลม และเหนือลมขึ้นไปก็เป็นอวกาศที่หาที่สุดไม่ได้เช่นกัน ตรงข้ามกับโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมา
โครงสร้างองค์ประกอบของโลกที่เรากำลังอาศัยอยู่ จึงเป็นมิติโลกคู่ขนานกลับหัวกลับหางกัน ดั่งมิติโลกวงในกับมิติโลกวงนอก หรือมิติโลกไข่แดงกับมิติโลกไข่ขาวทับซ้อนมิติกลับหัวกลับหางกัน
โดยมีค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ของลมเก้าแสนสี่หมื่นโยชน์ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานคลื่นวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นรอยเชื่อมต่อขั้วประจุไฟฟ้า เผาไหม้พลังงานไฟฟ้าต่างขั้วต่างมิติของกันและกัน เป็นพรมแดนขวางกั้นระหว่างมิติคู่ขนานของโลก
โลกจึงมีแรงดึงดูดหมุนสวนทิศทางกันระหว่างซีกโลกเหนือกับซีกโลกใต้ มีแผ่นวงแหวนแผ่นบางๆกั้นกลางระหว่างแรงดึงดูดสองด้าน อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวหมุนสวนทิศทางกันระหว่างมิติคู่ขนาน
คำว่า “อากาศหาที่สุดไม่ได้” ใจแกนกลางโลกในความหมายของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสิ่งเดียวกันกับอวกาศที่อยู่เหนือศีรษะของเราขึ้นไป เพราะมันก็หาที่สุดไม่ได้เช่นกัน จักรวาลคู่ขนานที่ประกอบด้วยดวงดาวและกาแล็กซี่ต่างๆมากมาย จึงแตกต่างกันเป็นมิติกลับหัวกลับหางกันเท่านั้น
โลกจึงเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลคู่ขนานจริง อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกกับเรามา
ปริศนาพระสูตร
? “อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ในที่สุดนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบไม่ได้”
? “อย่าเข้าใจว่า เมืองพระนิพพานตั้งอยู่ในที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้ อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานหากมีอยู่ในที่สุดของโลก เป็นของจริงไม่ต้องสงสัย ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลก รู้โลกเสียให้ชัดเจนก็จะเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็หากตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั้นเอง”
เมื่อศึกษาโลกจนเห็นแจ้งชัดตามที่พระพุทธเจ้าได้ชี้ทางแนะนำ คราวนี้เราก็มาศึกษา นรก สวรรค์ และพระนิพพานในความหมายของพระพุทธเจ้ามันคืออะไรกันแน่ ตามที่พระพุทธเจ้าได้เน้นย้ำ อย่าไปเข้าใจว่าอยู่ในที่แห่งนั้นแห่งนี้หรืออยู่ในที่ใดที่หนึ่ง เพราะมันอาจอยู่ที่ดวงจิตตัวตนของเรากับการใช้ชีวิตของเรานี่เอง
การค้นพบมิติโลกคู่ขนานโลกียะกับโลกุตระของพระพุทธเจ้า กับการค้นพบจักรวาลคู่ขนานเอกภพกับพหุภพของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้เชื่อได้ว่าชีวิตของเรากำลังตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างโลกและจักรวาลคู่ขนาน
ข้อมูลของผู้ตายแล้วฟื้นกับข้อมูลของนักวิปัสสนากรรมฐาน (ep1) เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการมีตัวตนอยู่จริงของคำว่า “เรา” ในความหมายของพระพุทธเจ้า นั้นหมายความว่า ชีวิตของเรามีคู่ขนานอยู่จริง เราจึงมีการมองเห็นและสัมผัสกับภาพเหตุการณ์สองด้านคู่ขนาน ระหว่างมองออกไปภายนอกตัวตนกับมองเข้าไปภายในตัวตน
ดวงจิตตรงกึ่งกลางคิ้วของเรามีโครงสร้างเดียวกันกับโลก มีรูหนอนเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมิติคู่ขนานของดวงจิต ดวงจิตของเราจึงมีมิติคู่ขนานระหว่างวงในกับวงนอก หรือมิติโลกไข่แดงกับมิติโลกไข่ขาว
เมื่อตื่นนอน เราจะรู้สึกว่าเราตั้งอยู่ด้านนอกดวงจิตตัวสร้างสรรค์ภาพ ตั้งอยู่กับมิติวงนอกหรือมิติโลกไข่ขาว เราจึงต้องมองภาพนึกคิดจินตนาการเข้าไปภายในดวงจิตตัวสร้างสรรค์ภาพ หรือมองเข้าไปภายในตัวตนของๆตนเอง
แต่เมื่อนอนหลับ เราจะรู้สึกว่าเราเข้าไปตั้งอยู่ภายในดวงจิตตัวสร้างสรรค์ภาพ ตั้งอยู่กับมิติวงในหรือมิติโลกไข่แดง เข้าไปตั้งอยู่ท้ามกลางภาพเหตุการณ์ความฝันที่มีสัมผัสเหมือนจริงกับโลก จนแยกกันไม่ออก
และเมื่อเรานอนหลับไม่ฝันไม่รู้สึกรับรู้อะไร เหมือนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เราก็กำลังตั้งอยู่กับค่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ ค่าที่ปราศจากความรู้สึกรับรู้ ค่าที่ปราศจากเวลาของคู่ขนานหมุนสวนทิศทางกัน การตั้งอยู่กับค่านี้นานๆเมื่อตื่นนอนเราจึงรีบไขว่ขว้ามองหา..เวลา
เมื่อนำข้อมูลของพระศาสดาทั้งสองท่านมาวิเคราะห์พิจารณา กับความเป็นสิ่งมีชีวิตของเราที่มีการมองเห็นและสัมผัสกับภาพเหตุการณ์คู่ขนานสองด้าน เราก็จะพบว่า โลกและจักรวาลคู่ขนานของพระศาสดาทั้งสองนั้นก็คือ ระหว่างโลกและจักรวาลที่มีระเบียบ มีระบบ และมีรูปแบบที่ตายตัว กับโลกและจักรวาลที่ไม่มีระเบียบ ไม่ระบบ และปราศจากความมีรูปแบบ
โลกและจักรวาลที่เรากำลังสัมผัสและมองออกไปภายนอกตัวตน เป็นโลกและจักรวาลที่มีระเบียบ มีระบบ และมีรูปแบบที่ตายตัว เป็นเหตุให้เกิดรูปแบบ “กรรมสะท้อนกลับ”
แต่โลกและจักรวาลที่เรามองเข้าไปภายในดวงจิตตัวสร้างสรรค์ภาพ หรือมองเข้าไปภายในตัวตนของๆตนเอง เป็นโลกและจักรวาลที่อัดแน่นด้วยมวลพลังงานมืดพลังงานดำ อยู่กันอย่างไม่มีระเบียบ ไม่มีระบบ และปราศจากความมีรูปแบบ
โลกและจักรวาลที่ปราศจากความมีรูปแบบภายในดวงจิตตัวสร้างสรรค์ภาพของเรา จึงเป็นโลกและจักรวาลแห่งกรรมใครกรรมมัน ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกและจักรวาลที่มีรูปแบบ
ด้วยเพราะมวลพลังงานอยู่กันอย่างอัดแน่นอย่างไม่มีระเบียบ ไม่มีระบบ และปราศจากรูปแบบ เราจึงสามารถกำหนดโลกและจักรวาลที่ไม่มีรูปแบบให้สร้างสรรค์ภาพเหตุการณ์อะไรก็ได้ตามต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นภาพความคิดย้ำๆซ้ำๆวกไปวนมาตราบนานเท่านาน ก็ทำได้
ไม่ว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่มีการเดินเรื่อง เช่น หนัง ละคร ซีรีย์ ก็ทำได้
ไม่ว่าจะเป็นภาพความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง อาฆาต สรรเสริญ ก็ทำได้
ไม่ว่าจะเป็นภาพความคิดสร้างสรรค์ ประดิษฐ์คิดค้น สนองตอบอารมณ์และตอบความสงสัย หรือแสวงหากำหนดเป้าหมายของชีวิตด้วยภาพภายในจักรวาลที่ปราศจากรูปแบบ ก็ทำได้
ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินแผ่นน้ำ แผ่นฟ้าอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า สิ่งที่เป็นธรรมชาติหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ คนรู้จักและคนไม่รู้จักมากมาย คนเป็นและคนที่ตายไปแล้ว ล้วนสร้างสรรค์ได้หมดทั้งสิ้น ทั้งโลกและทั้งจักรวาล
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมพระศาสดาทั้งสองท่าน จึงบอกให้เราปล่อยว่างทุกๆสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกใบนี้ไปเสีย เพราะทุกๆสรรพสิ่งที่เราปรารถนาและต้องการล้วนมีอยู่ภายในจิตภายในใจของเราอยู่แล้ว
ปริศนาพระสูตร
? “ดูก่อนอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทําให้ได้ให้ถึงแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง”
? “ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึงพระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึงไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ในใจเขา มีแต่คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า”
? “เพราะว่าใจเป็นใหญ่ เป็นประธาน สุขทุกข์ทั้งสวรรค์และพระนิพพานสําเร็จแล้วด้วยใจ คือว่ามีอยู่ที่จิตใจของเราทั้งสิ้น บุคคลจําพวกใดไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีอยู่ในตน แล้วไปเที่ยวค้นคว้าหาในที่อื่น บุคคลจําพวกนั้นชื่อว่าเป็นคนหลงคนเมา เป็นผู้หนาอยู่ด้วยกิเลสตัณหามืดมน อยู่ด้วยมลทินแห่งนรก”
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
!
โฆษณา